=[+] ฉิกจับอิด [+]= นิยายจีนร่วมแต่งแนวทดลอง : ตอนที่ 32 "ผู้นำคนใหม่"

    ตอนนี้ยาวเป็นพิเศษจ้า

    เหวินเหม่ยชิงฟาดฝ่ามือธรรมเดียวออกมาแล้ว!!

    กระบวนท่ารวดเร็ว เด็ดขาด ฉับไว ประกอบกับประสบการณ์ที่เคยใช้ฝ่ามือนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ทำให้อานุภาพของมันยังร้ายกาจกว่าฝ่ามือที่เอาชนะหลิวหยงเคอเสียอีก

    ผู้คนทั้งสนามต่างลุกขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ทุกคนตื่นเต้นระทึกใจ ลุ้นว่ากระบวนท่านี้ของเหวินเหม่ยชิงจะเป็นกระบวนท่าตัดสินหรือไม่!!?

    เจ้าสำนักหันซานนั้นรู้ดีว่าฝ่ามือนี้คือตัวตัดสินชะตาของสำนักตน จึงทุ่มเทพลังเต็มที่ รีดเร้นลมปราณทั้งกายใส่ในฝ่ามือ ซัดพุ่งไปอย่างรุนแรงที่สุด รวดเร็วที่สุด ในจังหวะและแง่มุมที่เหมาะสม และดีเยี่ยมที่สุด!

    จื่ออิงเองตกใจแทบสิ้นสติ อานุภาพฝ่ามือธรรมเดียวช่างร้ายกาจ ทั้งรวดเร็ว รุนแรง ยามคับขันหมดสิ้นหนทาง มันพยายามเบี่ยงตัวหลบพ้นจากขอบเวที ทว่ามิสามารถรอดพ้นวิถีของฝ่ามือ

    พลั่ก!!!

    ฝ่ามือนั้นกระแทกเข้ากับไหล่มันอย่างจัง มันรู้สึกปวดแปลบที่ไหล่ เลือดลมปั่นป่วน หัวสมองมึนงง ร่างลอยละลิ่วดั่งว่าวขาดป่านไปไกลหลายวา

    ผู้ชมส่งเสียง อื้ออึง หลายคนมั่นใจว่า เหวินเหม่ยชิง ย่อมต้องเป็นผู้ชนะในการประลองครั้งนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากนางสามารถคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด ซ้ำยัง ฟาดฝ่ามือใส่เจ้าสำนักบู๊ตึ้ง จนหมดทางต่อสู้

    "ไม่ ข้าต้องไม่แพ้" จื่ออิงร่ำร้องในใจ เขานึกถึงภาพหลิวหยงเคอลอยมา “ข้าต้องชนะสิ …ข้าต้องเป็นเจ้ายุทธภพ …ท่านสัญญากับข้าแล้ว"

    “ข้าอุตส่าห์ยอมร่วมมือกับท่านซึ่งเป็นผู้สังหารอาจารย์ตัวเอง ยอมทำเรื่องน่าละอายหลายประการก็เพื่อตำแหน่งเจ้ายุทธภพนี้ ไม่นะ… มันจะจบอย่างนี้ไม่ได้ มันจะจบเช่นนี้ไม่ได้!!!!!!”

    ทั้งๆ ที่จะได้เป็นใหญ่อยู่แล้ว… ทั้งๆ ที่จะได้เป็นใหญ่อยู่แล้ว…

    “ทำไม… ทำไม… !!!!”

    เหวินเหม่ยชิงจ้องมองเจ้าสำนักบู๊ตึ้ง นางเห็นชัยชนะตรงหน้าชัดเจน จื่ออิงแม้นจะสามารถหลบหลีกพลังฝ่ามือของนางได้บางส่วน ทว่าพลังส่วนใหญ่ก็กระแทกถูกร่างของเขาอย่างเต็มที่

    …หากเพียงแต่นางมีกำลังใช้ได้อีกสักครึ่งกระบวนท่า
    …ไม่สิ เพียงมีกำลังทรงกายอยู่อีกสักชั่วครู่ยาม เพื่อยืนยันชัยชนะของตน

    …แต่กำลังนั้นหมดไปแล้ว นางทุ่มเทให้กับฝ่ามือสุดท้ายจนหมด…

    อาการบาดเจ็บเก่ากำเริบขึ้นมา พร้อมๆ กับร่างของนางทรุดฮวบล้มลงกับพื้น

    เหวินเหม่ยชิงล้มแล้ว… พร้อมกับความหวังของสำนักหันซานที่จะเป็นผู้นำยุทธภพก็ดับวูบลงเช่นเดียวกัน

    จื่ออิงแม้นบาดเจ็บไม่น้อย ทว่าในที่สุดยังสามารถกระเสือกกระสนลุกขึ้นได้ เขาหันไปมองเห็นเหวินเหม่ยชิงล้มสลบตรงหน้าและคนดูทั้งสนามอยู่ในอาการนิ่งอึ้ง

    “ทะ… ทำไม?” เขากล่าว

    หลิวหยงเคอเป็นผู้เรียกสติได้คนแรก รีบตะโกนว่า “เจ้าสำนักบู๊ตึ้งชนะแล้ว!!!!” แล้วหันไปให้สัญญาณ ศิษย์บู๊ตึ้งและหัวซานก็ร้องต่อกันเป็นทอดๆ ว่า “เจ้าสำนักบู๊ตึ้งชนะแล้ว!!!!”

    ผู้คนทั้งสนามเปลี่ยนจากเงียบสงัดกลายเป็นอลหม่าน บ้างก็พลอยร้องตามพวกสำนักบู๊ตึ้ง หัวซาน บ้างก็ไม่เข้าใจ ไยเหวินเหม่ยชิง ที่ดูเป็นต่อ กลับเป็นฝ่ายล้มลงเสียเองได้

    "ดูเหมือนว่า เจ้าสำนักหันซาน จะใช้พลังเกินขีดจำกัดของตัวเอง ไม่ซิดูเหมือนนางจะมีพลังอยู่จำกัดมากกว่า"
    บุรุษผู้คลับคล้ายสตรีกล่าวขึ้น

    “ขะ… ข้าชนะรึ?” จื่ออิงทำหน้าตกใจ จากนั้นก็หัวเราะออกมาดังๆ “ฮาฮาฮา ข้าชนะแล้ว ข้าได้เป็นเจ้ายุทธแล้ว!!!!”

    “ยินดีกับเจ้ายุทธคนใหม่!!!” พวกบู๊ตึ้งหัวซานร้องพร้อมกันอีก ยิ่งทำให้บรรยากาศสับสนมากขึ้น

    ตุลาการเที่ยงธรรมเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ร้องว่า “ช้าก่อน!” คำเดียวที่เฉียบขาดของเขาจึงทำให้ทุกคนนิ่งเงียบได้

    “การประลองนี้ข้าเป็นคนตัดสิน มิอาจปล่อยให้ตัดสินกันเองตามใจชอบ” เขาพูดต่อ

    หลิวหยงเคอแย้งขึ้นทันทีว่า “ก็เห็นชัดๆ ว่าแม่นางเหวินสลบไปแล้ว จื่ออิงยังยืนอยู่ ท่านยังมีคำตัดสินเป็นอื่นอีกหรือ?”

    ตุลาการหันไปมองเหวินเหม่ยชิงอย่างลังเล “เจ้าสำนักเหวินเป็นฝ่ายรุกไล่ตลอดเวลา สุดท้ายล้มลงก็มิใช่เกิดจากฝีมือของเจ้าสำนักจื่อ แต่อย่างใด จะให้ข้าตัดสินให้เขาชนะ กลัวจะเป็นที่กังขาของผู้คน น่าจะมีการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าแท้จริงเกิดอะไรขึ้น …”

    “แม้นมิได้ล้มลงภายใต้กระบวนท่าของน้องแซ่จื่อ แต่นางก็ล้มลงเพราะหมดสิ้นเรี่ยวแรง เนื่องจากสิ้นเปลืองพลังลมปราณในการประมือกับน้องแซ่จื่อ เยี่ยงนี้ยังจะต้องตรวจสอบอันใดอีก?!! ท่าตุลาการคงไม่เอนเอียงไปทางเจ้าสำนักเหวินกระมัง?” หลิวหยงเคอเอ่ยดักคอ ทำเอาตุลาการคอแข็ง มิสามารถกล่าวอันใดได้อีก

    หลวงจีนหัวหลินเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวว่า “เรื่องนี้ความจริงมีเบื้องหลัง แม่นางเหวินความจริงบาดเจ็บจากการประลองรอบที่แล้ว ต้องใช้เวลารักษาตัวสิบวันครึ่งเดือน แต่นี่ได้หยุดพักเพียงแค่ห้าวัน อาการนางจึงยังไม่ทุเลาดี ดังนั้น….”

    หลิวหยงเคอรีบกล่าวว่า “การประลองเป็นรอบๆ เช่นนี้ ขึ้นอยู่กับโชควาสนาประการหนึ่ง อีกประการคือพลังฝีมือ หากแม้นตัวข้าเป็นผู้เข้ารอบประลองในวันนี้ แม้นจะบาดเจ็บอยู่ก่อน เมื่อพ่ายแพ้ ก็จะไม่บิดพลิ้วคดโกง ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี”

    หลวงจีนชราแย้มยิ้มน้อยๆ ท่วงท่าสง่างามตามแบบของผู้ทรงศีล

    “อมิตพุทธ หากแม้นการแบ่งสายต่อสู้ครานี้เกิดขึ้นจากโชควาสนาจริงๆ ก็คงหาเป็นไรไม่ เกรงแต่ว่าเป็นการจัดฉากขึ้นของผู้คนเท่านั้น!” คำพูดนี้ของหลวงจีนชราสร้างความแตกตื่นแก่ผู้คนยิ่งนัก เหล่าผู้ชมยิ่งส่งเสียงเอ็ดอึงด้วยความสับสนยิ่งขึ้น

    หลิวหยงเคอเองแม้มีสติปัญญาเฉียบแหลม ไหวพริบฉับไว แต่นึกไม่ถึงว่าหลวงจีนชราจะพูดเรื่องนี้ออกมาโดยตรง กระทันหันกลับมิสามารถกล่าวอะไรได้

    “ฮึ่มม หลวงจีนเฒ่า ร้ายกาจนัก กลับดูออกว่านี่เป็นแผนที่จัดเตรียมขึ้น เอาเถอะ อย่าไรก็ตาม เจ้าจะมาคัดค้านเอาตอนนี้ก็สายเสียแล้ว หากเราจะดึงดันให้จื่ออิงเป็นผู้ชนะเจ้าจะทำเช่นไร” คิดได้ดังนั้นจึงกล่าวว่า

    “ไต้ซือหัวหลินกล่าวเช่นนี้ มิทราบหมายความเช่นไร? ตอนจับฉลากแบ่งสาย ท่านก็อยู่ด้วย มิเห็นคัดค้านอะไร เวลานี้ไฉนกล่าวเช่นนี้เล่า?”

    “อาตมาก็เพียงตั้งข้อสันนิษฐาน เรื่องจริงจะเป็นเช่นไร น่ากลัวมีเพียงฟ้าดิน กับ “ผู้กระทำ” ที่ทราบ” หลวงจีนชราตอบเน้นเสียงตรง “ผู้กระทำ” ชัดเจนยิ่ง

    ตุลาการเห็นว่าปล่อยไว้เรื่องราวจะบานปลาย จึงเข้ามาไกล่เกลี่ย ในที่สุดจำต้องประกาศให้จื่ออิงเจ้าสำนักบู๊ตึ๊งเป็นผู้ชนะการประลองในครั้งนี้

    และการประลองในวันนั้นจบลงเพียงแค่นี้ ผลคือสำนักบู๊ตึ้งยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำของตนเอาไว้ได้
    อย่างไรก็ตามชาวยุทธต่างประจักษ์ว่ามันเป็นการรักษาตำแหน่งอย่างทุกลักทุเล และปราศจากความสง่างามโดยสิ้นเชิง ซ้ำร้ายยังเป็นที่กังขาของทุกฝ่ายว่าเรื่องราวเป็นเช่นไรแน่…

    พร้อมๆ กับการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำหอห้ากระบี่ของ…จื่ออิง ที่ทุกฝ่ายต่างจับตามองว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลัง…..

    แก้ไขเมื่อ 30 ม.ค. 47 10:03:58

    จากคุณ : ทีมแต่งนิยาย - [ 29 ม.ค. 47 23:31:03 ]