เรื่องของหนู ตอนที่2

    เรื่องของหนู ตอนที่2 (อีกเฮือกของลมหายใจของผม)

    ชาววัยกลางคนเบื้องหน้า   มีแรงดึงดูดที่หนูไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดออกมาได้   ความน่าเกรงขาม  ผิวสีดำแดง  รอยเหี่ยวย่นตรงหน้าพากดั่งผู้ที่เคร่งเครียดกับการทำงานมาตลอดชีวิต  สายตาดุดันราวกับราชสีห์ที่จ้องคอยตะปบกวางน้อย   หนูกลืนน้ำลายลงคอลำบากยากเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
     
    “สวัสดีคะ”  หนูหลุดคำพูดนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว  

    เขารับไหว้หนู  แล้วหันกลับไปพินิจทีวีด้านหน้า   สายตาสมาธิจรดจ่อกับเนื้อหาในจอตู้        หนูเหลือบมองสิ่งที่เขาเพ่งพิจ     มันเป็นรายการข่าวภาคค่ำนั้นเอง     ทำไมหนูถึงตรึงสายตาอยู่กับชายด้านหน้า   เปลือกตาแทบไม่กระพริบ
    บริเวณแก้มน้อยรู้สึกว่ามีเม็ดเหงื่อโยงสายผ่านทิ้งไป  

    “เป็นอะไรของแก” นังเอมจิกเนื้อที่ข้อคอกหนูอย่างแรง
    “ปะ  เปล่านิไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย  แต่เออ  เอ็งพามาที่นี่ทำไม   อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันนอนที่นี่” ต้องตีสีหน้าเบี่ยงประเด็น  เดี๋ยวนังเอมมันรู้หมดว่าหนูคิดอะไรอยู่
    “ไม่ได้ให้แกนอนที่นี่หรอก   แต่ก่อนจะไปห้องฉัน  จะแนะนำให้รู้จักพี่เอก   พี่เอกเขาเป็นแกนนำกลุ่มประท้วง”  อย่างนี้นี่เอง  หนูถอยหายใจอีกหนึ่งเฮือก  อุตส่าห์ดีใจนึกว่าจะได้นอนที่นี่ซะอีก   ที่แท้ก็พามาแนะนำให้รู้จักกับพี่เอกนี่เอง
    “แล้วเพื่อนเอมชื่ออะไรละ”  ประโยคแรกที่หลุดออกจากปากของพี่เอก  แต่หนูคิดว่าเขาก็ขี้เก็กเหมือนกันนะ  พูดกับพวกหนูโดยไม่ยอมมองหน้าเลย   ไม่รู้ว่าไอ้จอนั้นมันมีอะไรดี
    “ชื่อสะ...”  นางเอมกำลังเผยชื่อหนูออกไป
    “ชื่อสาวคะ”  หนูพูดแทรกทับก่อนที่นังเอมจะหลุดชื่อหนูออกมา   นังเอมนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย  บอกชื่อจริงไปอย่างนั้นได้ยังไง     เสียราคาหมด
    “แล้วมาทำไมกันดึกๆอย่างนี้  ทำไม่กลับห้องนอน  พรุ่งนี้มีงานต้องทำกันแต่เช้านะ”  น้ำเสียงของพี่เอกเรียบชา  ยังกะน้ำแข็งในตู้เย็น
    “ก็เพิ่งกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ   กำลังจะกลับแล้วคะ  พอดีผ่านมาเลยพาเพื่อนมาแนะนำ  ตั้งแต่พรุ่งนี้สะ...สาวจะมาเป็นสมาชิกใหม่คะ  ยังไงขอฝากเพื่อนเอมไว้ด้วยนะคะ”  หนูจิกข้อศอกนังเอมคืนบ้าง  เกือบแล้วไหมละ  มันเกือบหลุดชื่อจริงหนูออกไปแล้ว
    “ไม่รบกวนแล้วนะคะ  ขอตัวก่อน”  หนูปิดฉากการสนทนา  ดึงนังเอมออกมาจากกล่องสีขาว

    หลังจากออกจากกล่องสี่เหลี่ยมหนูเร่งเร้าให้นังเอมพาหนูไปที่ห้อง   เพราะตอนนี้รู้สึกคันเนื้อคันตัวเต็มที   อยากอาบน้ำใจจะขาด  และรู้สึกแปลกๆกับตัวเองอย่างบอกไม่ถูกทำไมนะ  ทำไมหนูอยากกลับไปทำตัวให้ดูดี  อยากหากระจกส่องดูเงาสะท้อนของตัวเองว่ามีอะไรต้องแต่เสริมเติมแต่งอีกบ้าง     ว่ากันง่ายๆคือว่าอยากสวยขึ้นกว่าเดิม   มุมปากทั้งสองดันแทงแก้มกรุ้มกริ่ม  นี่หนูเป็นอะไร

    “เป็นอะไรของแกวะนังสวิง แค่นี้ก็อายชื่อจริงด้วย”  นังเอมสำรอกชื่อจริงหนู   มันพูดออกมาได้ไงนี่  อย่างนี้คนอ่านก็รู้หมดละสิ
    “ปะ  เปล่า  ไม่ได้อายอะไรหรอก  แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนชื่อแล้ว  ลืมบอกแกไว้ก่อน”  ลิ้นตวัดพัลวัน    นังเอมจอมแส่เดี๋ยวก็ด่ากราดซะหนึ่งชุดเลย
    “ฉันรู้ว่าเอ็งอาย  อายทำไมวะ ชื่อสวิงออกจะเพราะ  เก๋ดี ไม่ซ้ำกับใครด้วย”  นังเอมพูดน้ำเสียงหัวเราะในลำคอ

    หนูแทงตาเขียวใส   เริ่มคันมือแทนปากแล้วละสิ  

    “เออๆๆ  ขอโทษๆ  ไม่เรียกชื่อเดิมแล้วก็ได้   ตอนนี้แกชื่อสาวใช่เปล่า   ต่อไปฉันจะเรียกแกว่าสาวแล้วกัน”  

    ดีนะที่นังเอมไหวตัวทัน   ถ้าขอโทษหนูช้ากว่านี้อีกนิดละก็  อาจจะมีลงไม้ลงมือ

    แสงจันทร์สาดส่อง ไฟถนนเหลืองอ่อนริบหรี่บรรยากาศค่ำคืนนี้ช่างโรแมนติกเหลือเกิน   อารมณ์ได้  บรรยากาศได้  ถ้ามีเขาเดินอยู่เคียงกายนะ   อึ๊ยๆๆๆ  ไม่อยากจะคิด  แต่ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ก็ได้เจอเขาแล้ว  คนอะไรดูดีไปหมด  อาการของหนูตอนนี้มันหมายความว่าอย่างไรน้า  หรือว่าหนูจะตกหลุมเข้าแล้ว   หลุมระ......

    “แกเป็นอะไรวะ  ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว”  นังเอมโพลงคำถาม
    “เปล่านิ  ก็แค่ดีใจที่ได้งานใหญ่  ก็แค่นั้น”  หนูเกาหัวแกรก  เบื่อนหน้ามองทัศนีย์ภาพซ้ายขวา
    “เออ  งั้นก็ดีแล้ว  พรุ่งนี้ตั้งใจทำงานละ   ตรงหัวมุมเลี้ยวซ้ายก็ถึงห้องฉันแล้ว”  

    เลี้ยวซ้ายไปได้อีกห้าสิบเมตรก็ถึงห้องนังเอม   ห้องไม้ซอยแบ่งเช่า  เล็กอย่างกับรังหนู   พยายามกลบเกลื่อนสีหน้า  ไม่ให้แสดงอาการออกมามากนัก  ตอนอยู่บ้านเจ้านายห้องหนูหรูกว่านี้เยอะ  

    “ดีกว่านอนเต็นท์ข้างทางละว้า”  นังเอมแค่นเสียงใส่     มันรู้ได้อย่างไรว่าหนูคิดอะไรอยู่ในใจ   เฮ้อ  ไม่น่าเกิดเป็นคนบ้านเดียวกันกับนังบ้านนอกนี่เลย  

    บรรทัดนี้หนูจะไปอย่างรวดเร็วแล้วกันขี้เกียจอธิบายภาพ   อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆอะ   ก็คือเมื่อหนูมาถึงห้องก็อาบน้ำ  แล้วก็นอน  หลับโดยไม่ได้ฝัน  ทั้งๆที่อยากฝันใจจะขาด

    ตอนเช้าหนูตื่นด้วยอารมณ์แจ่มใส   อยากจะออกไปทำงานเหลือเกิน   ริมฝีปากคันยุบยิบอยากหาที่ระบายสุดๆ  หลังจากปลุกนังเอม  ก็จัดเตรียมความพร้อมในภาระกิจวัน    นังเอมงัวเงียเดินไปอาบน้ำปากบ่นพึมพำอะไรไม่รู้   นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนนะ  หนูว่าจะบริหารปากตอนเช้ากับมันสักยก

    ปิดประตูห้องเสร็จหนูกับนังเอมพุ่งตรงไปยังจุดนัดหมาย   มีคนนั่งจับกลุ่มคุยกันบางตาไม่คึกคักเหมือนเมื่อวาน  หนูหันซ้ายขวา หาพี่เอกแกนนำ  หายไปไหนนะ    แล้วเมื่อไหร่จะเริ่มประท้วงกันสักที  คันปากยุบยิบแล้ว   นังเอมสะกิดหนูบอกว่าไม่ต้องตื่นเต้นไป เดี๋ยวตอนเที่ยงมีประท้วงหนึ่งรอบ  ต้องรอนักข่าวมาก่อน  

    ตื่นเต้นอะไรกัน  หนูไม่ได้ตื่นเต้นเลยสักนิดเดียว  รู้สึกว่านังเอมจะเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ   สะกิดคำพูดเมื่อกี้ของนังเอม  ตั้งเที่ยงเชียวเหรอ   ตอนนี้เพิ่งเก้าโมงเช้าอีกตั้งนานกว่าจะเที่ยง  แล้วหนูจะไปทำอะไรละเนี้ย   เริ่มรู้สึกเซ็งปากขึ้นมาทันที  

    เดินกระวนกระวายสำรวจสถานที่รอบๆ  ผู้คนส่วนใหญ่ดูจากลักษณะผิวพรรณน่าจะเป็นคนที่มาจากต่างจังหวัด  หรือที่คนกรุงชอบเรียกว่า “พวกบ้านนอก”   อะไรประมาณนั้น  บางคนมีสายตาอิดโรยราวกับแบกความทุกข์ของคนทั้งโลกไว้   บางคนก็ตีหน้าซื่อแตกต่างกับคนอื่นอย่างสิ้นเชิงถ้าลองสังเกตดีๆ  

    เหลือบดูนาฬิกาจากข้อมือคนข้างๆ อีกนานกว่าจะเที่ยง   ลองเดินเข้าไปทักทายคุณป้าใบหน้าแบบโลกในเต็นท์ผ้าใบ  

    “ทำอะไรอยู่คะป้า” เริ่มคำถามด้วยประโยคสิ้นคิด
    “เปล่า” หนูคิดว่านี่ก็เป็นคำตอบสิ้นคิดเหมือนกัน
    “คุณป้านอนที่นี่เหรอคะ”  สายตาหนูสอดส่องรอบๆ  ในเต็นท์มีที่นอนหมอนมุ่ง   ผ้าห่ม   จานชาม  ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้อาศัยอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว
    “ป้านอนที่นี่   แล้วหนูละนอนเต็นท์ไหน”   ป้าตอบพร้อมยิงประโยคคำถาม  

    หนูกระแอมไอหนึ่งครั้ง   คุณป้าพูดอะไรออกมา  หน้าอย่างหนู  ผิวพรรณอย่างหนู จะนอนเต็นท์สกปรกอย่างนี้ได้อย่างไร   ป้าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า  ปากอยากจะตอกกลับไปแต่ก็ต้องเก็บอารมณ์ไว้ก่อน  ยังไม่อยากมีเรื่องตั้งแต่วันแรกที่ทำงาน  

    “เปล่าป้า  หนูนอนห้องไม้ตรงโน้น  อยู่กับเพื่อน”   หนูวาดนิ้วชี้ไปทางห้องพักด้านโน้น
    “แล้วเอ็งมาทำอะไรทีนี่ละ   มาประท้วงเรื่องอะไร”  คำถามนี้ช่างแสนซื่อจริงๆ
    “ก็  มาเรื่องเขื่อนนีแหละป้า   ที่บ้านหนูโดนเวรคืน  ที่ดินทำมากินโดนทั้งยวงเลย”  โกหกเก่งเหมือนกันนะเรา
    “ใช่ๆ  ไม่รู้ว่าพวกมันจะสร้างกันไปทำไมนักหนา   เขื่อนบ้าบอคอแตกอะไรก็ไม่รู้    ทำชาวบ้านเขาเดือดร้อนกันทั่ว”   ป้าเริ่มบ่นมั่งแล้ว  
    “ใช่ป้า   หนูตั่งใจแล้วนะ  ถ้าเกิดประท้วงไม่สำเร็จหนูจะแขวนคอตามมันหน้าทำเนียบเลย”  ไหนๆก็ไหนๆแล้ว  โม้ทั้งทีต้องให้มันสุดๆไปเลย
    “เอ็งคิดดีแล้วเหรอนังหนู”  ป้าถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง  ตกใจเล็กน้อย
    “จริงๆ ป้า  ถ้ายังปล่อยไว้อย่างนี้   พวกเราชาวบ้านก็มีแต่เสียเปรียบเราต้องทำอะไรให้ชาวโลกได้รับรู้บ้าง”   ชูกำปั้นขึ้นมากำแน่น  สายตาเหวี่ยงขึ้นฟ้า   แววตาแห่งความมุ่งมั่น  ใช่แล้วหนูเกิดมาเพื่อผดุงความยุติธรรม







     




     


     







         





       



     


       


















     



       
    -ขอคุยนิดนึงนะครับ

    คือช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาสักเท่าไหร่

    งานเยอะ

    ต้องเตรียมตัวไปประจำการต่างจังหวัด(ขอนแก่น)

    ไปวันที่ 14 กุมภาพันธ์ซะด้วย

    เซ็งชีวิตเลยเรา

    เลยกะว่าคืนวันที่14จะไปเรื่อยเปื่อยที่ขอนแก่น

    ช่วงเวลาที่อยู่กรุงเทพฯอีกสี่ห้าวันจะเขียนเรื่องราวมาบอกเล่าเป็นระยะ

    ถ้าที่ขอนแก่นอุปกรณ์พร้อมก็จะโพสต์มาเรื่อยๆ(เปื่อยๆ)

    จากคุณ : เรือ่ยเปื่อยไปวันๆ - [ 9 ก.พ. 47 11:28:04 A:203.146.112.110 X: ]