คำอธิษฐาน


    นั่งมองแผ่นฟ้าตรงระเบียงบ้าน  แหงนจนเมื่อยคอไม่มีดาวตกให้เห็นสักแอะ   หรือว่าดาวตกเป็นแค่คำบอกเล่าที่แม่กล่าวอ้างเพื่อหลอกเด็กๆอย่างผม  เปลี่ยนอริยาบทเป็นนอนเหยียดกาย  มือทั้งสองไขว่หนุนศีรษะไว้  คืนนี้พระจันทร์มารายงานตัวเพียงเศษเสี้ยว  ดูไปดูมาคล้ายกับกล้วยหอมในครัว  ดาวระยับเล็กน้อยที่ปลายตา  ท้องฟ้าระบายไปด้วยพู่กันสีดำ  ยังไงวันนี้ก็ต้องรอ   ผมมีฝันบางอย่างที่อยากจะขอกับดวงดาว   แค่ครั้งเดียวเท่านั้น   ขอให้ดาวตกผ่านสายตาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น  

    สายลมฤดูหนาวกำลังพัดผ่านไป   ไอร้อนแทรกกับสายลมโชยปะทะใบหน้าเป็นระยะ  ชีวิตนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หกของผมกำลังจะหมดไปเหมือนกับลมหนาว  

    พรุ่งนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย   ทำไมในหัวจึงไม่ครุ่นคิดถึงวิชาที่จะสอบพรุ่งนี้เลย  ตอนนี้ในหัวมีแต่ความหมกมุ่นซ้ำซาก  ตรงอกข้างซ้ายที่ทุกคนมักเรียกติดปากกันว่าหัวใจเต้นเป็นจังหวะ “คิดถึง”

    อยากจะสารภาพกับเธอคนนั้นถึงความคิดถึง ความห่วงใยที่มีให้  แต่ก็ไม่กล้า  ได้แต่แอบมองอยู่ห่างๆ  ความเขินอายมันเบียดบังความกล้าไปจนเมียดมิด   อยากจะทำอะไรสักอย่างที่จะทำให้เธอรับรู้ถึงความรู้สึกที่มีอยู่ภายใน

    สารพัดวิธีที่จะสารภาพความนัยที่เก็บงำไว้ตลอดหกปี ยังจำได้ดีที่ผมย้ายเข้ามาเรียนตอนป.1 ก็มีเธอนี้แหละที่สะดุดตาจนใจหกขะล้ม  เธออยู่ห้องหนึ่งส่วนผมอยู่ห้องห้า   ทุกวันตอนเข้าแถวผมจะแอบมองเธอ   มันกิจวัตรหนึ่งที่ทำให้ผมเต็มใจที่จะมาโรงเรียนทุกเช้า  

    หกปีผ่านไปผมยังเฝ้ามองเธอตรงแถวเคารพธงชาติตอนเช้าเหมือนเดิม  

    ตอนนี้ผมอยู่ป.6/5  เธออยู่ป.6/1  และวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันสอบวันสุดท้ายแล้ว  หลังจากวันพรุ่งนี้ผมคงไม่มีโอกาสได้เจอกับเธออีกแล้ว  เธอกำลังจะจากไปทั่งๆที่ความในใจมันยังอัดแน่นอยู่ในอกข้างซ้าย   แล้วต้องทำยังไงดี...  

    “แม่ครับถ้าพรุ่งนี้ผมต้องการสอบได้คะแนนเต็มต้องทำยังไงครับ”  ถามแม่เมื่อเย็น

    “ก็อ่านหนังสือสิ”  เป็นคำตอบที่ผมรู้อยู่แล้ว

    “แล้วถ้าอ่านแล้วยังไม่ได้คะแนนเต็มละ” ถามแบบเอาสีข้างเข้าชน

    “ก็อ่านให้เยอะกว่าที่เคยอ่านสิ”  เป็นคำตอบที่ทำให้ต้องเดินคอตกเลี่ยงออกมา

    ที่จริงผมไม่ได้ต้องการถามคำถามอย่างนี้สักเท่าไหร่หรอก  ใจจริงอยากจะถามแม่ว่าทำอย่างไรดีให้เธอคนนั้นรู้ว่าผมชอบ  ทำอย่างไรถึงจะทำให้เธอยิ้มแก้มป่องหลังจากที่ผมสารภาพคำบางคำหลุดออกไป   แต่บางทีผมก็ไม่กล้าพอที่จะเอ่ยเรื่องราวแบบนี้ให้ใครรับรู้ก็เป็นได้   ต้องเก็บกดมันไว้ในใจเพียงคนเดียว  

    รักคนเดียว  ทุกข์คนเดียว  รักข้างเดียว   นี้อาจจะเป็นคำจำกัดความของผมในตอนนี้ก็เป็นได้

    “ลองอธิษฐานกับดาวตกดูสิ  เพื่ออะไรๆจะดีขึ้น”  แม่โพลงคำพูดที่ไม่คาดคิดออกมา

    ผมหยุดนิ่งหันหลังกลับมองแม่   เริ่มมีความหวังในแววตา   จริงหรือครับแม่  มีอย่างนี้ด้วยเหรอ  ขอกับดาวตกได้ด้วย  แล้วถ้าขอแล้วมันจะสัมฤทธิ์ผลหรือเปล่าละ   แล้วต้องทำอย่างไรบ้าง  คำถามมากมายกระจุกอยู่ตรงกระพุ้งแก้ม

    “จริงหรือครับ”  คำถามทั้งหมดรวมกันได้แค่นี้

    แม่อมยิ้มพยักหน้า   ผมรีบวิ่งขึ้นห้องพาตัวเองไปตรงระเบียง  เงยหน้ามองท้องฟ้าสีส้ม  เมื่อไหร่จะมืดสักที

    นั่งมองท้องฟ้าตรงระเบียงห้อง  สายลมร้อนแผ่วไอมาเป็นระยะ   ยังไม่มีดาวตกให้เห็นสักดวง

    “เต๋า  ทำอะไรอยู่ลูก”  แม่ตะโกนถามจากข้างล่าง

    “อ่านหนังสืออยู่ครับ”  โกหกอย่างเลี่ยงไม่ได้

    “ลงมากินข้าวก่อน  กินข้าวเสร็จค่อยอ่านหนังสือต่อก็ได้”  

    “ครับ  เดี๋ยวลงไป”

    สะบัดร่างกายสองสามครั้ง  ไม่หิวข้าวเลย  แต่ก็ต้องลงไปกิน  เดินไปจนถึงประตูห้องก็วิ่งกลับมาตรงระเบียง  เผื่อดาวข้างบนจะแอบตกลงมาตอนผมลงไปกินข้าว   สอดส่ายสายตา  แต่ก็หามีไม่  

    รีบกินข้าวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  ไม่ถึงห้านาทีก็รีบวิ่งขึ้นห้อง  

    “จะรีบกินไปไหน”  แม่ถามไล่หลัง

    “ไปอ่านหนังสือ”  สั้นๆแต่ได้ใจความ

    พาตัวเองกลับมาตรงระเบียงห้องอีกครั้ง  มองท้องฟ้าดาวทุกดวงยังอยู่ครบ  ยังไม่มีดวงไหนหนีตกลงมาตอนผมลงไปกินข้าว   กวาดสายตามองรอบท้องฟ้า  รอเวลาที่ดาวดวงหนึ่งจะร่วงหล่นลงมา

    การรอคอยที่ยาวนานเหมือนคำคืนที่ไม่มีวันสิ้นสุดทำให้ผมเผลอหลับไป  ลืมตาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง  สงสัยผมจะละเมอเดินเข้ามาเอง  แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรสักเท่าไหร่  

    หูแว่วๆได้ยินเสียงแม่ตะโกนเรียกอยู่ข้างล่าง  ใช้แล้ววันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย  ไปสายไม่ได้ซะด้วย  ผลุนผลันกระโจนลงจากที่นอน  ต้องรีบไปเข้าแถวตอนเช้าให้ทัน  เพราะวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้เฝ้ามองเธอคนนั้นตอนเข้าแถวเคารพธงชาติ

    แล้วเมื่อคืนมีดาวตกมาจากฟ้าหรือเปล่านะ?

    ผมไปถึงโรงเรียนทันเข้าแถวพอดี   รีบพุ่งตรงไปที่ประจำ  มุมที่สามารถเห็นเธอได้อย่างแจ่มชัด  วันนี้เธอดูน่ารักกว่าทุกวัน  แต่ทุกวันที่ผ่านมาเธอก็น่ารักไม่แพ้วันนี้เช่นกัน

    หลังเคารพธงชาติ  นักเรียนแต่ละห้องต่างแยกย้ายกันไปเข้าห้องสอบของตัวเอง  ผมพยายามหาโอกาสเข้าไปสารภาพความในใจเธอ   อึกอักอยู่พักใหญ่  แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปประจันหน้ากับเธอคนนั้น  จนกระทั่งเสียงกริ่งดัง ผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อเข้าสอบวิชาแรก

    วันนี้ผมทำข้อสอบไม่ค่อยได้เลย  ในหัวมีแต่ภาพเธอลอยว่อนเต็มไปหมด  พยายามสลัดภาพเธอให้หลุดพ้นไปแต่ก็ทำได้ไม่นาน   ภาพเธอก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าอีกแล้ว   พยายามคิดในแง่ดีมองเธอไปทำข้อสอบไป

    หลังจากทำข้อสอบในช่วงเช้าเสร็จก็เป็นเวลาพักกลางวัน  ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะใช้เวลาช่วงนี้แหละเป็นบททดสอบความกล้า  รวบรวมสมาธิ  ตรงนั้นไง  โต๊ะม้าหินสีขาวใต้ต้นหูกวางเธอกำลังอ่านตำราเรียนกับเพื่อนสามคน  

    ผมย่องเข้าไปนั่งตรงโต๊ะม้าหินที่อยู่ถัดไปจากเธอสามตัว  หยิบหนังสือขึ้นบังหน้า  พยายามแอบสบตาหวังว่าเธอจะมองมาทางนี้บ้าง   แต่ก็ไม่ได้เรื่องเลยเธอไม่หันมองมาทางผมเลย  

    กระสับร่างกายอีกครั้งเอายังไงดี   ช่องว่างระหว่างผมกับเธอเริ่มมากขึ้นอีกแล้ว   ระหว่างโต๊ะม้าหินของเธอกับผมเริ่มมีนักเรียนมานั่งแทรก  มันเบียดบังจนผมไม่สามารถแอบมองเธอได้ถนัดตานัก  ถึงมองเห็นเธอก็คงไม่มีทางมองเห็นสายตาผม

    ยีหัวหมุนเป็นวง  ไม่รู้จะทำยังไงดี  ทำไมความกล้าถึงไม่ฟูมฟักอยู่ในร่างกายผมเลยสักนิดเดียว  นี้เป็นวันสุดท้ายแล้วนะ  โอกาสสุดท้ายที่จะได้สารภาพความนัย

    ปล่อยเวลาผ่านไปโดยไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง  เสียงกริ่งเข้าสอบตอนบ่ายดังขึ้น  ผมชะเง้อคอเห็นเธอกับเพื่อนลุกเดินขึ้นห้องสอบ  พยายามเดินตามเรียบๆเคียงๆไปด้านหลัง  แต่ก็ทำได้แค่มอง  ไม่มีความกล้าผุดเข้าเลยสักนิดเดียว

    วิชาสอบตอนบ่ายผมร้อนรนในทรวงอก  ความร้อนยามบ่ายมันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งรุมร้อนกลัดกลุ่มในอก   ความอัดอั้นมากมายกระจุกตัวจนแทบจะระเบิด    

    ผมปั่นข้อสอบเสร็จก่อนเวลาเล็กน้อย   แต่ยังไม่อยากส่งข้อสอบ  ในหัวคิดคำพูดที่จะสารภาพกับเธอ  ความอัดอั้นทำให้ต้องถ่ายทอดเป็นข้อความลงในเศษกระดาษ  

    ...สวัสดีเราชื่อเต๋า อยู่ป.6/5  เต๋าแอบมองแพรวมานานแล้ว  อยากจะเข้าไปทำความรู้จักแต่ก็ไม่กล้าสักที   จำได้ไหมตอนวันวาเลนไทน์ตอนป.5  เต๋าเองนี่แหละที่เอาดอกกุหลาบสีแดงไปวางไว้ในลิ้นชักโต๊ะแพรว   นี่ก็เป็นวันสุดท้ายของการเรียนชั้นป.6แล้ว  เต๋าอยากจะสารภาพคำที่เก็บไว้ตลอดหกปี   หวังว่าแพรวจะรับไว้...  
     
    ...คิดถึงเธอมากจนทนไม่ไหว
     คิดถึงเธอตลอดเวลาที่ฝันหา
     ไม่รู้ว่าเธอจะเป็นไหมเวลา
     ที่ฉันสบตาแอบมองเธอทุกเช้าเย็น...

    เขียนในห้องสอบวิชาเลข   วิชาที่เอา1+1= เต๋าชอบแพรว

    พับเศษกระดาษชิ้นน้อยลงกระเป๋ากางเกง  นี่อาจจะเป็นวิธีสุดท้ายที่จะใช้หากมันถึงที่สุดจริงๆ  เสียงกริ่งหมดเวลาดังขึ้นผมเก็บกระดาษข้อสอบเดินไปส่งคุณครูที่หน้าห้อง   ถึงเวลาตัดสินกันซักที

    ออกจากห้องสอบเดินมาดักรอเธอที่หน้าหน้าห้องสอบของเธอ  ชะเง้อคอดูอยู่สักพักไม่เห็นแม้แต่เงา  หรือว่าเธอจะกลับไปแล้ว  

    รีบกระวีกระวาดลงจากอาคารเรียน  สอดส่ายสายตามองหา  กลัวว่าวันสุดท้ายนี้จะไม่มีโอกาสได้สารภาพความนัย  

    และความหวังสุดท้ายก็ยังไม่หมดไปเสียทีเดียว  เธอนั่งรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนตรงใต้ตนหูกวาง  ตรงม้าหินตัวเดิม  ผมสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เป็นไงเป็นกัน  ยังไงวันนี้ก็เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว

    แวะนั่งรวบรวมสมาธิตรงม้าหินตัวที่นั่งเมื่อตอนพักกลางวัน  มือทั่งสองสั่นอย่างไร้สาเหตุ  หัวใจเต้นแรงราวกับภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุลาวาออกมา

    หยิบเศษกระดาษข้อความออกมาพลิกอ่าน  ถ้าผมไม่กล้าพูดจริงๆคงต้องยื่นกระดาษแผ่นนี้ให้เธอ

    เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า  พระอาทิตย์เคลื่อนต่ำลงทุกขณะ  ทำไมร่างกายผมยังหยุดนิ่งอยู่กับที่  ทั้งที่หัวใจกระโจนเข้าไปหาเธอคนนั้นแสนนานแล้ว

    พยายามสบตาเธอหวังว่ามันจะได้เรื่อง  และชะตาชีวิตก็เป็นใจเธอหันมาสบตาหนึ่งแวบ  ความชาวูบเข้ามาเฉียบพลัน  รักใจเต้นเร้า  รู้สึกว่าความอุ่นชามันพวยพุ่งขึ้นมาบริเวณใบหน้า  เพียงการสบตาแวบเดียวครั้งนี้มันทำให้คิดไปไกล เข้าข้างตัวเองว่าเธออาจจะแอบมองผมอยู่ก็เป็นได้

    ...และเย็นวันนั้นผมก็ปล่อยให้เธอเดินจากไปโดยไม่ได้บอกกล่าวอะไรเธอสักคำ

    มองดูเศษกระดาษในมือเรื่องนี้ผ่านไปสี่ปีแล้วสินะ   เวลาที่ผ่านทำให้ข้อความนั้นซีดจางอย่างเห็นได้ชัด  เยื้อกระดาษเปื่อยยุ่ยเป็นสีเหลืองหม่น   แต่ความหมายของข้อความในนั้นมันไม่ได้ซีดจางเหมือนเวลาที่ล่วงเลยไป       มันยังคงครุกรุ่นไอรักวันวานไม่จางหายไป

    ผมเหม่อมองท้องฟ้าตรงระเบียงห้อง  คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง  แสงดาวพร่างพราวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า   ผมยังคงเฝ้าคอยดาวตกไม่ถดถอย

    แต่บางทีผมอาจจะเฝ้ารอมากเกินไป  คงยากที่ดาวบนฟ้าจะล่วงตกลงมาสู่พื้นดิน  ความจริงผมควรจะเอื้อมมื้อขึ้นไปคว้าดวงดาวบนฟ้าถึงจะถูก  มัวแต่เฝ้ารอการมาเยือนของดวงดาวมันทำให้ผมต้องเหม่อลอยอยู่อย่างนี้  

    คืนนี้แอบคิดถึงเธออีกครั้ง  ภาพเก่าๆมันทำให้ผมมีความสุขยิ่งนัก  สุขที่ได้เฝ้ามอง  สุขที่ได้ปันความรู้สึกดีๆให้ใครสักคนแม้ว่าเธอจะไม่มีโอกาสได้รับรู้เลย

    ทบทวนคำอธิษฐานที่เคยเตรียมไว้เมื่อดาวตกก็อดอมยิ้มในใจไม่ได้   ความรักมันทำให้คนๆหนึ่งเป็นไปได้ขนาดนี้  

    มองดูท้องฟ้าอีกครั้งให้เต็มตาก่อนจะเข้านอน   มีแสงสีขาวละมุนตาล่วงหล่นจากฟากฟ้า

    ดาวตก

    ผมตรึงตาอยู่กับเหตุการณ์เบื้องหน้า   มันเป็นสิ่งที่ผมเฝ้าคอยมาตลอดสี่ปี   ตั้งแต่คืนนั้น  คืนที่เฝ้าคอยอธิษฐานกับดวงดาว

    ดาวตกลาสายตาไป  ผมยังคงหยุดนิ่งร่างกายไว้กับที่ราวกับเวลาของโลกได้ตราตรึงไว้ชั่วกาล   คำอธิษฐานที่เคยเตรียมไว้มาแสนนาน  ผุดขึ้นมาเวียนวนในสมอง  ภาพเธอคนนั้นลอยเด่นขึ้นมาเหนือดาวบนฟ้า

    ก้มมองเศษกระดาษข้อความสีเหลืองยุ่ยในมือ  พับเก็บในกระเป๋าเสื้อ   เดินกลับเข้าห้องนอน   คำอธิษฐานถูกกลืนลงลำคอ   ผมไม่ได้อธิษฐานขออะไรจากดวงดาว   เวลานั้นเลยมานานแล้ว   ผ่านมานานมากแล้ว

    ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป   ผมจะเดินตามรอยดวงดาว  คงจะไม่รอวันที่ดวงดาวตกลงมาจากฟากฟ้าเพื่ออธิษฐานอีกแล้ว

    ดั่งวันวาน  

    วันที่ดาวดวงนั้นได้หายลับไปจากท้องฟ้า

    หายไปพร้อมกับความนัย   ที่ผมไม่มีวันที่จะได้บอกเธอ

    สักครั้งเดียว











    จากคุณ : เรือ่ยเปื่อยไปวันๆ - [ 10 ก.พ. 47 13:38:19 A:203.146.112.110 X: ]