จ้าวสมุทร ตอนที่ 24 คำขู่

    จ้าวสมุทร ตอนที่   24                           -คำขู่-

     สามชั่วโมงต่อมา อูวดลและมาลาตีก็นั่งอยู่ในโบกี้พิเศษสำหรับจ้าวสมุทรและราชเทวีของไซมาความเร็วสูงที่เคลื่อนตัวจากสถานีจีนตะวันออก จะว่าไปสภาพที่ไม่แออัดและเย็นสบายของโบกี้นี้ก็ทำให้อูวดลและมาลาตีนั่งได้อย่างสบายเลยด้วยซ้ำ ถ้าปราศจากแววตาเย็นชาและคำบ่นของราชเทวีดาหวัน ที่ดังขึ้นตลอดทาง

     “ไม่มีทางที่จะไม่การลงโทษ.. ทั้งสองคนนั่นแหละ.. ไม่ต้องเป็นห่วง..”

     จ้าวสมุทรและราชเทวีคนอื่น ๆ ตัดสินใจอยู่ค้างต่อที่แปซฟิกเดวิล แต่จ้าวสมุทรวาสุกรีและราชเทวีดาหวันขอตัวกลับก่อน ทำให้โบกี้หัวขบวนไซมาความเร็วสูงไม่มีใครนอกจากจ้าวสมุทรราชเทวีแห่งอ่าวไทย อูวดล และมาลาตี

     “พรุ่งนี้ ฉันนัดหัวหน้าหมู่บ้านทั้งสี่ เพื่อประชุมเกี่ยวกับเศรษกิจของอ่าวไทย..” จ้าวสมุทรวาสุกรีบอกถึงสาเหตุที่ต้องรีบกลับ อูวดลลอบถอนใจเล็กน้อย เขาคิดมาตลอดทางว่าสาเหตุที่จ้าวสมุทรวาสุกรีต้องกลับก็เพราะจะต้องมาลงโทษเขา

    “ในฐานะที่เธอเองก็เป็นนักรบรัชทายาท ฉันคิดว่าเธอก็ควรจะได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับ อ่าวไทยบ้างนะ..”

     “ครับ..” อูวดลพยักหน้าช้า ๆ

     “เศรษฐกิจของอ่าวไทยในปีนี้ถือว่าดีขึ้นมากเลยนะ ตั้งแต่เราวางโครงการส่งเสริมให้หมู่บ้านเอราวันเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เมื่อห้าปีที่แล้ว ก็มีนักท่องเที่ยวจากท้องทะเลอื่น มาเที่ยวมากมาย ทำให้ระบบเศรษฐกิจเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีและมีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้นทุก ๆ ปี..” จ้าวสมุทรวาสุกรีหยุดพักหายใจสักครู่ อูวดลเพิ่งสังเกตใบหน้าของจ้าวสมุทรวาสุกรีอย่างชัดเจนในเวลานี้ ใบหน้าเหี่ยวย่น ตกกระ แก่กว่าที่เขาได้เห็นในระยะไกลมาก แต่ภายในใบหน้าที่แก่ชรานั้น กลับแฝงไปด้วยความอบอุ่น หนักแน่น ซึ่งอูวดลสัมผัสได้

     “เมื่อก่อนสักเจ็ดปีได้ อ่าวไทยจะต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างคาดไม่ถึง มันเป็นปัญหาที่เลวร้ายที่สุดในระยะเวลาสี่สิบห้าปีในการดำรงตำแหน่งจ้าวสมุทรของฉันเลย..”

     “แต่ท่านก็แก้ปัญหาได้ไม่ใช่เหรอครับ..” อูวดลพูดกลับไป เป็นครั้งแรกที่อูวดลพูดคุยกับจ้าวสมุทรวาสุกรี ถ้าไม่นับตอนที่จ้าวสมุทรบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง ตอนนั้นเขาปล่อยให้จ้าวสมุทรวาสุกรีพูดคนเดียว

     “ไม่ใช่ความคิดของฉันหรอกอูวดล.. วรุณเป็นคนเสนอนโยบายการปรับปรุงหมู่บ้านเอราวัน ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว.. เป็นความบกพร่องอย่างร้ายแรงของฉัน.. ที่หลงลืมหมู่บ้านที่แสนสวยงามไปเสียสนิท..” จ้าวสมุทรวาสุกรีมองหน้าอูวดล แล้วถามออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อูวดล.. ตลอดเวลาที่เธอได้อยู่ที่โลกบนพื้น เธอเคยได้ยินคำว่า ‘จ้าวสมุทร’ บ้างหรือเปล่า..”

     “ก็มีบ้างครับ..” อูวดลตอบ “แต่เป็นในรูปแบบของเทพนิยายตะวันตกเสียมากกว่า เป็นผู้ปกปักรักษาท้องทะเล.. มีง้าวด้ามยาวเป็นอาวุธ.. คำรามออกมาเป็นพายุ.. ฟาดฟันง้าวเป็นอสุนียบาต..” อูวดลพูดไปตามข้อมูลที่เขาได้อ่านจากหนังสือที่ห้องสมุดที่เขาจำมันได้อย่างแม่นยำ หนังสือเล่มนั้นเป็นผลงานเขียนของศาสตราจารย์พีรพล ซึ่งพ่อของพีรยาเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา

     “คนในโลกบนพื้นเชื่ออย่างนั้นเลยหรือ..” จ้าวสมุทรวาสุกรียิ้มมุมปาก  “อูวดล ‘จ้าวสมุทร’ ในความเป็นจริง.. ก็มีหน้าที่อย่างที่เธอว่านั่นแหละ แต่มันต่างกันตรงที่วิธีการ..” จ้าวสมุทรยกมือซ้ายมาจับบ่าอูวดลที่กำลังนั่งตัวตรงฟังอย่างสนอกสนใจ “จ้าวสมุทรไม่มีง้าว ไม่มีฤทธิ์เดช ไม่สามารถคำรามออกมาเป็นพายุ เขาไม่สามารถดูแลพื้นทะเลอันเป็นที่รักด้วย ‘กำลัง’ จ้าวสมุทรไม่ได้น่าเกรงขามและน่าหวาดกลัวอย่างที่เธอคิด ไม่แปลกถ้าจ้าวสมุทรไม่มีรูปร่างสูงใหญ่ ไม่แปลกที่จ้าวสมุทรจะยกง้าวไม่ไหว แต่แปลกแน่.. ถ้าจ้าวสมุทรไม่มีตรงนี้..” จ้าวสมุทรวาสุกรีชี้นิ้วของตัวเองไปที่ศีรษะ  “มันสมอง.. เป็นสิ่งสำคัญที่จ้าวสมุทรทุกคนต้องมี ฉันอยากให้เธอตระหนักเอาไว้ อูวดล..”

     “ครับ เอ่อ จ้าวสมุทรครับ..” อูวดลพูด น้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย “แต่ท่านมีพลังเวทไม่ใช่เหรอครับ..”

     จ้าวสมุทรวาสุกรีมองหน้าอูวดล ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “มาลาตีบอกเธอใช่มั๊ย.. ไม่หรอก.. ไม่ใช่แค่ฉัน.. แต่ทุกคนมี.. เธอก็มี.. มาลาตีก็มี ดาหวันก็มี.. มันขึ้นอยู่กับว่าเธอสามารถที่จะชักนำมันออกมาจากตัวเธอได้หรือเปล่า..”

     “มันคงยากน่าดูเลยใช่มั๊ยครับ..”

     “ไม่หรอก..” จ้าวสมุทรส่ายหน้าช้า ๆ “มันไม่ยากเกินไปกว่าความพยายามที่เรามีหรอกนะอูวดล.. แต่ที่หลายคนไม่คิดที่จะฝึกพลังเวท ก็เพราะว่าคนเหล่านั้น ‘เกรงกลัว’ มัน..”

     “กลัวเหรอครับ..” อูวดลพูด คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน

     “ใช่.. พลังเวทคืออำนาจ.. เป็นจิตด้านมืดของสิ่งมีชีวิต ฉะนั้น.. การดึงเอาพลังเวทออกมาจากตัว มันก็ไม่ต่างอะไรกับการดึงจิตด้านมืดของตนออกมา จิตด้านมืดที่กระหายอำนาจ.. ความยิ่งใหญ่.. หยิ่งทะนง.. มันไม่สร้างผลดีเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าคน ๆ นั้นมีพลังจิตที่ด้อยไปกว่ามัน..” จ้าวสมุทรวาสุกรีหยุดหายใจสองสามวินาทีแล้วพูดต่อ “ฉันแค่พูดเปรียบเทียบน่ะ อูวดล.. ฉันคิดว่าเธอฉลาดพอที่จะตีความประโยคที่ฉันพูดออกไปได้.. พลังเวทไม่ได้ยากที่จะดึงมันออกมา.. แต่ยากที่จะควบคุมมันต่างหาก..”

     เหมือนคำพูดของจ้าวสมุทรจะมีอำนาจสะกดอูวดลให้หยุดนิ่ง เขาคิดไปขณะที่ฟังคำพูดของจ้าวสมุทรวาสุกรีจบ เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด บางทีจ้าวสมุทรวาสุกรีคงจะคาดเดาอะไรเกี่ยวกับตัวเขาผิด เขาไม่ได้ฉลาดเลยสักนิด แต่เขา ‘โง่’ ต่างหาก อูวดลคิดเช่นนั้น

     “อูวดล.. ฉันคิดว่า ถ้าเธอเอาเวลาไปศึกษาเล่าเรียน และหาความรู้ใหม่ ๆ จะเกิดผลดีกับเธอมากกว่าการไปฝึกพลังเวทแน่นอน..” จ้าวสมุทรวาสุกรีพูด

     หลังจากนั้น โบกี้หัวขบวนก็อยู่ในความเงียบตลอดเส้นทาง ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ราชเทวีดาหวันเลิกบ่นแล้ว และดูเหมือนว่ามาลาตีจะหลับไปด้วย จนกระทั่ง

     โครม !!! ตึก ตึก.. !!

     เหมือนกับว่าไซมาความเร็วสูงจะชนอะไรเข้าอย่างจัง ร่างของอูวดลเซไปข้างหน้า มาลาตีล้มตัวหล่นจากเก้าอี้ จ้าวสมุทรวาสุกรีเซเล็กน้อย โบกี้หัวขบวนที่พวกเขานั่งอยู่สั่นเครือ

     “เกิดอะไรขึ้นน่ะ..” มาลาตีพูด พลางลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตามเดิม เธอบิดคอไปมาเพื่อให้หายปวดเมื่อย

     ทันใดนั้น ประตูด้านข้างที่เชื่อมติดกับระเบียงทางเดินก็เปิดออก ทำให้อูวดลได้ยินเสียงโห่ร้องของผู้คนที่โดยสารมาด้วยเสียงนั้นบ่งบอกถึงความตื่นเต้นและหวาดกลัวปะปนกัน ชายที่เป็นพนักงานโผล่หน้าเข้ามา

     “เป็นอะไรหรือเปล่าครับท่าน..” ชายคนนั้นพูด พร้อมไปพยุงให้ราชเทวีดาหวันลุกขึ้นจากพื้น

     “ไม่เป็นอะไรหรอก นี่ ! เกิดอะไรขึ้น..” ราชเทวีดาหวันถาม

     “คือ มีมีอะไรมาขวางจรวดไซมาไว้ครับ เราเบรกไม่ทันก็เลยชน..” ชายที่เป็นพนักงานพูด อย่างตื่นเต้น

     “อะไรนะคะ.. มีอะไรมาขวาง..” มาลาตีถาม

     “ผมเองก็เห็นไม่ชัดนักหรอกนะครับ.. มันเหมือนกับก้อนหินขนาดใหญ่..”

     “เป็นไปได้ยังไง.. จะมีใครเอาก้อนหินมาขวางอุโมงค์ไซมาได้ยังไง..” ราชเทวีดาหวันพูด

     “พาฉันไปดูหน่อยสิ” จ้าวสมุทรวาสุกรีถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบและมีสติ

     “ได้ครับ..” ชายคนนั้นเดินออกไปพร้อมกับจ้าวสมทุรและราชเทวี

     “ไปดูกันเถอะ..” มาลาตีชวนอูวดล และเขาทั้งสองก็เดินตามจ้าวสมุทรไปตามระเบียงทางเดิน จนถึงประตูทางออก ชายพนักงานเปิดประตูให้ จ้าวสมุทรวาสุกรี ราชเทวีดาหวัน อูวดลและมาลาตี เดินลงจากจรวกไซมา สู่อุโมงค์มืด ๆ และเหม็นอับ ตรงหัวขบวนมีผู้คนกำลังรุมดูอะไรสักอย่าง ใบหน้าของพวกเขาดูหวาดกลัว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงสิ่งของที่พวกเขาเห็นดังจนไม่รู้ว่าใครพูดอะไรบ้าง

     “หลีกทางให้ท่านจ้าวสมุทรหน่อย.. เร็ว..” ชายพนักงานแหวกทางให้จ้าวสมุทรและราชเทวีเดิน อูวดลและมาลาตีเดินตามไปอย่างกระชั้นชิด จนถึงหัวจรวดไซมาความเร็วสูงที่บุบเล็กน้อยเมื่อชนกับก้อนหินขนาดใหญ่เท่า ๆ กับตึกสองชั้น

     “ใครกันนะเอาวันมาวางขวางเอาไว้ได้..” มาลาตีพูด อูวดลเองก็จินตนาการไม่ออกเลยว่า จะมีใครที่แบกหินใหญ่ขนาดนี้ มาวางไว้ในอุโมงค์ที่มืดมิดและทอดยาวไม่รู้จบแบบนี้ได้ แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่ชวนให้หลายคนหวาดผวาไม่ใช่แค่เรื่องก้อนหิน แต่เป็นข้อความบนก้อนหินต่างหาก

     “ท่านจ้าวสมุทรดูข้อความสิครับ..” ชายพนักงานอีกคนหนึ่งที่สำรวจอยู่ก่อนแล้วพูด พลางชี้มือไปที่ข้อความสีแดงบนก้อนหินที่เดาได้ไม่ยากเลยว่าเขียนด้วยเลือด..


                    [b]..ของมีค่าแห่งมหาสมุทรจะสูญหาย
                   ยุคแห่งจ้าวสมุทร.. จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง..[/b]

     “ข้อความแบบนี้..” ราชเทวีดาหวันพูดเสียงสั่น ยกมือขึ้นปิดปาก “ใช่.. ใช่แน่ ๆ ใช่มั๊ยท่านจ้าวสมุทร..”

    จ้าวสมุทรวาสุกรีหันมาพยักหน้าให้ราชเทวีดาหวันช้า ๆ แววตาของจ้าวสมุทรดูราบเรียบ ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึกและทุ้มต่ำ

     “ใช่.. เป็นฝีมือของ ‘กลุ่มโจรทะเลเลือด’..”

     ทันทีที่จ้าวสมุทรวาสุกรีพูดจบ เสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นเป็นสองเท่า จ้าวสมุทรวาสุกรียังคงจ้องข้อความบนหินอยู่เช่นนั้น มาลาตีก็เช่นกัน อูวดลยืนนิ่งอยู่กับที่ ‘กลุ่มโจรทะเลเลือด’ เขาคิดว่าเขาเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนสักแห่ง ประสาทของอูวดลเริ่มชาอีกครั้ง ปมขมวดใหม่เพิ่มเข้ามาในหัวสมอง.. แต่อย่างน้อย มันก็ยังดีที่เขาไม่ปวดศีรษะ เหมือนครั้งก่อน ๆ

    จากคุณ : Waasuthep - [ 15 ก.พ. 47 23:20:19 A:203.113.81.9 X: ]