สารตะรำพึงหัวชนฝา --ริเป็นพลร่มในวัยเรียน--

    หว่า…ว๊อย!!   รำคาญฉิบ!! อ้ายพวกเด็กวัยเห่อขนพึ่งขึ้นพวกนี้นี่  ส่งเสียงเอะอะรบกวนความสงบอยู่ได้!!

    ข้าพเจ้าบ่นงึมกับตัวเองอย่างหัวเสีย  ขณะกำลังขมักเขม่นส่งจดหมายถึงลูกค้าต่างประเทศ  โดยผ่านเครือข่ายแมงมุมโยงใยทั่วโลก  หรือเรียกให้ดูอินเตอร์ๆ หน่อยก็อีเมล์นั่นเอง  ภายในร้านให้บริการอินเตอร์เน็ต  หนึ่งในร้านที่มีอยู่ทั่วไปทุกหัวระแหง  ซึ่งขยันผุดกันขึ้นมาราวกับร้านสะดวกซื้อหน้าเจ็ดหลังสิบเอ็ด   หรืออ้ายร้านเซเว่นอีเลเว่นที่ทุกท่านรู้จักและต่างก็เคยเข้าไปให้ถูกถามว่า “จะรับซาลาเปาทานเพิ่มมั้ยคะ” นั่นหละ        

    ต้นเหตุที่ทำให้ต่อมฉุนเฉียวของข้าพเจ้าต้องแตกกระจาย  จนหลั่งน้ำเชื้อแห่งความหงุดหงิดออกมาทั่วร่างก็คือ  เด็กมัธยมกลุ่มใหญ่ซึ่งจับกำลังสุมหัวกันเล่นเกมอยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน    หากดูอายุอานามและทรงผมหัวเกรียนอันเหม็นเขียวชวนอ้วกแล้ว   เป็นเด็กชั้นมัธยมต้นนี่เอง   วัยซึ่งพึ่งทลายกำแพงจากเด็กแสนสดใสบริสุทธิ์ดุจผ้าขาว   และก้าวมาสู่อาณาจักรผู้ใหญ่ที่แสนโสมมชอบสวมหน้ากากเข้าหากันได้หมาดๆ   ข้าพเจ้ามองดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ   สิบโมงเช้ากว่าๆ    ของวันธรรมดา   ไม่ใช่เวลาที่เด็กในระดับนี้จะมาฉุยฉายเล่นเกมกัน  ไม่ไปโรงเรียนหรือไงวะ  ข้าพเจ้านึกสงสัย  โรงเรียนเลิกเร็วก็ไม่น่าจะใช่   หยุดสอบก็ไม่น่าจะใช่   ไม่งั้นคงไม่ใส่ชุดนักเรียนหรอก     เพราะฉะนั้นจึงมีข้อสรุปเพียงหนึ่งเดียวก็คือ  พวกนี้เป็นพลร่ม

    หลายท่านอาจจะพึ่งเคยได้ยินและสงสัยว่า  พลร่ม คืออะไร   อันนี้มันเป็นคำที่นิยมใช้กันในหมู่เด็กนักเรียนในสมัยก่อน  เช่นโรงเรียนเก่าของข้าพเจ้าเอง  ซึ่งเป็นโรงเรียนชายล้วนและยังเป็นโรงเรียนวัดอีกด้วย  มันหมายถึงกลุ่มนักเรียนที่ชอบโดดเรียน  หรือหนีเรียนนี่เอง  ปกติแล้วพลร่มใช้เรียกทหารหน่วยหนึ่งซึ่งสามารถเข้าถึงสมรภูมิรบโดยการไปกับเครื่องบิน   พอถึงบริเวณเป้าหมายก็จะกระโดดผลอยลงมา  พร้อมกับกระตุกร่มกางเป็นดอกเห็ดเต็มท้องฟ้า    เด็กนักเรียนสมัยนี้หรือสมัยก่อนก็เหมือนกัน  เวลาจะหนีออกนอกโรงเรียนก็ต้องแอบปีนข้ามกำแพงและก็กระโดดผลอยลงมาเช่นหน่วยพลร่ม   ถ้าในสมัยนี้คงจะเรียกว่า  พวกเด็กโดดเรียนนี่เอง

    พวกพลร่มหน่วยนี้กำลังทำอะไรของมันอยู่นะ  อ๋อ.. เล่นเกมแร็กนารกนี่เอง    กำลังฮิตเลยนี่  น้องชายข้าพเจ้าก็เล่น  แถมยังเคยชวนข้าพเจ้าเล่นด้วยนะ  แต่ว่าข้าพเจ้าก็ไม่เคยเล่นซักที  เลยไม่ทราบถึงความวิเศษวิโสของเจ้าเกมแร็กนารกว่ามันสนุกยังไง   รู้แต่ว่ามันเป็นเกมออนไลน์ที่ฮิตที่สุดในขณะนี้  แถมกว่าจะเล่นได้ก็ต้องเสียเงินเสียทองไปซื้อชม.มาซะก่อน    อ้ายเด็กเห่อขนพวกนี้พ่อแม่มันรวยนักหรือไงวะ  ถึงได้มีเงินมีทองมาให้ลูกๆ ไปผลาญกับอ้ายเกมพรรณนี้ได้   สิ่งเสพย์ติดชัดๆ  แต่ว่าจะไปโทษคนผสมโครโมโซมและคลอดพวกนี้ออกมาก็ไม่ถูกนัก  ส่วนหนึ่งก็เป็นที่ตัวของเด็กเอง   และก็สภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่  สมัยนี้มันมีสิ่งเร้ายั่วกิเลสเด็กๆ มากมาย  มากเสียจนน่ากลัว   ทั้งแหล่งบันเทิงต่างๆ  ไหนจะเรื่องยา  เรื่องการพนัน  เรื่องเซ็กส์  จนเดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นค่านิยมไป  หากใครไม่ได้เสพสิ่งเหล่านี้ก็จะเชย  ไม่สามารถเข้ากลุ่มกับเพื่อนๆ ได้  แล้วสิ่งที่ตามมาคืออะไรล่ะ  สิ่งที่ตามมาก็คือการทำแท้ง  การบำบัดให้เลิกยา  ติดหนี้โต๊ะบอล  ถูกไล่ออกจากโรงเรียน  หมดอนาคตทางการศึกษา  ถ้าหนักหน่อยก็ติดคุก   หรือติดสถานพินิจเยาวชนเพราะไปลักขโมยของไปใช้หนี้การพนัน  หึ.. น่าสังเวช  แล้วใครกันล่ะที่ต้องลำบากลำบนไปประกันตัว  พาไปบำบัดยา  หาเงินมาใช้หนี้  หรือไม่ก็รับเลี้ยงหลาน  ขณะที่พ่อแม่มันกำลังหิ้วกระเป๋าไปโรงเรียน  ไม่ใช่พ่อแม่พวกเด็กนี่หรอกรึ  อ้ายพวกรักสนุกบนกะบาลของคนอื่น  

    เอาละ นี่ถ้าต่อความยาวสาวความยืดอีกหน่อย  ข้าพเจ้าอาจพาดพิงไปถึงระบบการศึกษาและก็รัฐบาลทักษิโนมิกส์ก็ได้  เดี๋ยวจะรำพึงหัวกระแทกฝาไม่จบซักที  เอาเป็นว่าปกติแล้วข้าพเจ้าแทบไม่เคยไปใช้บริการร้านอินเตอร์เน็ตเลย  โดยมากข้าพเจ้าใช้เครื่องที่บ้านหรือไม่ก็ที่ทำงาน   แต่เผอิญวันนั้นดวงคนจะซวย   เครื่องที่บ้านเกิดมีปัญหาเข้าเน็ตไม่ได้   แถมวันนั้นจำเป็นต้องตอบอีเมล์สำคัญถึงลูกค้าเสียด้วย    ข้าพเจ้าเลยจำต้องแบกหน้าไปเสียสตางค์อันมีค่า  ที่ข้าพเจ้าเฝ้าเก็บถนอมมาไปให้กับร้านอินเตอร์เน็ตพวกนี้มัน    แต่จะเรียกว่าร้านอินเตอร์เน็ตก็รู้สึกระคายเคืองที่ริมฝีปากตะหงิดๆ ยังไงไม่รู้  เพราะเห็นมีแต่เกมทั้งนั้น  น่าจะเรียกว่าร้านเกมเสียมากกว่า    

    แต่จะว่าไปแล้วพอนึกถึงสมัยที่ข้าพเจ้าเคยผ่านวัยเห่อขนเหมือนเด็กพวกนี้  ก็อดนึกขำตัวเองไม่ได้  เพราะตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้ดีเด่ไปกว่าเด็กกลุ่มนี้ซักเท่าไหร่      ข้าพเจ้าก็เคยเป็นหนึ่งในพลร่มเช่นกัน  

    อย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ข้างต้น  โรงเรียนเดิมของข้าพเจ้าเป็นโรงเรียนวัด  กำแพงสูงตระหง่านด้านหนึ่งของโรงเรียนจึงติดกับวัด   ข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ อีกสองสามคนมักใช้เส้นทางนี้หลบหนีอาจารย์  เพื่อออกไปยังด้านนอกของโรงเรียนโดยผ่านวัด   ตอนนั้นเรียกได้ว่าเพราะเพื่อนมันชวน  และอีกอย่างมันเหมือนเป็นการแสดงความกล้าหาญ (แบบโง่ๆ) ในการท้าทายอำนาจและไม้เรียวอาจารย์ฝ่ายปกครอง  ใครไม่เคยเป็นพลร่มถือว่าเป็นไอ้ขี้ไก่  ปอดแหก   เพื่อนๆ จะไม่ยอมคบหาด้วย   และอาจถึงขั้นนัดกันไปฟาดปากกันที่หลังวัด  โทษฐานไม่ยอมทำตาม พ.ร.บ. ของกลุ่ม   พวกเราโดดกันไปตีสนุ๊กบ้าง  โดดไปเล่นเกมบ้าง  บางทีก็ไปขลุกอยู่บ้านเพื่อนบ้าง  แถมมีเด็กผู้หญิงจากโรงเรียนข้างๆ หนีบไปด้วยนะ   หน้าตาก็สวยดีเสียด้วย   โดยเป็นข้าพเจ้าเองที่รับหน้าที่ในกลุ่มที่ต้องไปหลอกเด็กสาวๆ ให้เป็นพลร่มในวัยเรียนเฉกเช่นเดียวกับพวกเรา  

    ด้วยสาเหตุที่ข้าพเจ้าหล่อ  ขาว  สูงและดูเป็นหนุ่มน้อยหน้าใสที่สุดในกลุ่ม   นี่ข้าพเจ้าไม่ได้ยกหางตัวเองนะ  มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ  สมัยนั้นเด็กสาวๆ นิยมผู้ชายตี๋ๆ หน้าตาดี  ดูสะอาดสะอ้านที่สุด  ข้าพเจ้าจึงมีผู้หญิงมาชอบหลายคน   ที่จริงข้าพเจ้าเป็นคนขี้อายนะ  เรียกได้ว่าค่อนข้างโคม่าเลยทีเดียว  แต่ว่าช่วงนั้นเพื่อนๆ มันข่มขู่แกมบังคับ  ข้าพเจ้าเลยจำเป็นต้องทำใจกล้าให้เพื่อนเห็น  แล้วเข้าไปหลอกจีบจนสาวยอมโดดเรียนไปกับพวกเราได้       ดีนะที่วันนั้นไม่มีเรื่องอย่างว่าเกิดขึ้น    เพราะแต่ละคนเกิดอาการปอดแหกกันขึ้นมา  กลัวว่าผู้หญิงจะไปฟ้องพ่อแม่และตำรวจ  มิเช่นนั้นอาจเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นกับข้าพเจ้าและก็เพื่อนๆ ก็ได้  และอาจเป็นเพราะว่าบังเกิดมโนธรรมขึ้นในจิตใจ   ด้วยความที่พวกเราเป็นเด็กโรงเรียนวัด  อยู่กับวัดกับวามานาน   ถึงจะเกเรและคึกคะนองไปบ้าง  แต่ก็ยังพอมีธรรมะเป็นเครื่องฉุดรั้งจิตใจ    มิให้จมปลักไปกับกิเลสตัณหาจนยากจะถอนตัวกลับได้  

    หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ทำตัวเป็นพลร่มอีกหลายครั้ง  บางทีก็โดดหมู่บ้าง  บางคราก็โดดคนเดียวเลย  จนกระทั่งเวลาเรียนแทบไม่พอ    อาจารย์ต้องทำหนังสือถึงผู้ปกครอง  เรื่องมันจึงแดงขึ้นมา   ข้าพเจ้าเลยโดนพระเดชพระคุณแม่ไปเสียขนานใหญ่   แสบก้นไปหลายวันเลยทีเดียว    เดี๋ยวนี้พอเห็นเด็กเหล่านี้แล้ว  ข้าพเจ้าก็อดสมเพชตัวเองในวัยนั้นไม่ได้   อยากจะบอกพวกเขาจริงๆ ว่า  ริรักสนุกก็ทุกข์ถนัดนะน้อง  

    แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 47 21:15:39

    แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 47 21:04:43

    จากคุณ : ณัฐกร - [ 17 ก.พ. 47 21:02:57 ]