ขออนุญาตสำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ไม่เคยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เราขอไม่เล่าย้อนเนื่องจากอยากบอกคนที่รู้เรื่องเท่านั้น
วันนี้ตอนเย็นๆ เราได้คุยกับพี่เปี๊ยกผู้จัดการของสนพ.เซเปี้ยนส์ คุยกันประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เราจึงเข้าใจกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรากับสำนักพิมพ์
เราขอตั้งชื่อเรื่องนี้ว่าความผิดพลาดอันเกิดจากเจตนาบริสุทธิ์ (คุ้นไหม)
พี่เปี๊ยกเป็นผู้ใหญ่ที่อดทนมาก เพราะครึ่งชั่วโมงแรกเราไม่สามารถสื่อสิ่งที่เราทำทุกอย่างออกไปได้ แต่พี่เปี๊ยกก็อดทน
ฟัง
และในที่สุดพี่เขาก็บอกเราว่าเข้าใจเราแล้ว
สิ่งที่ทำให้เราอยากมาเขียนเรื่องผลสรุปต่อทั้งที่คิดว่าจะจบเรื่องไป เพราะพี่เปี๊ยกบอกว่าเข้าใจเราแล้ว และทีแรกพี่เขาบอกว่าจะหาทางทำให้เราเขียนขอโทษเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อเขาเข้าใจ เขาก็บอกว่าจะไม่บังคับให้เราขอโทษแล้วล่ะ เพราะความผิดพลาดนั้นเกิดจากตัวดร.โจ้
เรามันคนประหลาด
พี่เปี๊ยกเข้าใจเรา เราซาบซึ้งใจมาก จึงอยากตอบแทนพี่เขาที่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งอดทนต่อเหตุผลของทั้ง 2 ฝ่าย เพราะสิ่งที่เราได้มาจากการคุยกันในครั้งนี้ก็คือเราเข้าใจดร.โจ้มากขึ้นเช่นกัน
เราจะเริ่ม
ตั้งแต่เราชี้แจงให้พี่เขาฟัง ว่ากระทู้แรกที่เราตั้งนั้นเป็นการรำพันการเสียความรู้สึก
เราถามพี่เปี๊ยกว่า พี่เปี๊ยกรู้ไหมว่าทำไมคนที่อ่านกระทู้เขาถึงคล้อยตามเราเกือบหมด ประมาณ 95% นั่นก็เพราะในสายตาของเราและเพื่อนๆ ที่เห็นด้วยกับเรานั้น มองการกระทำของพี่โจ้ ผิด
เรากับคนที่คล้อยตามกัน พูดง่ายๆ ก็คือคนที่อยู่บนเส้นทางนี้มีสายตามองเหมือนกันเพราะเราคือ สังคมเดียวกัน แต่พี่โจ้พยายามหักดิบให้เราซึ่งอยู่ในสังคมนี้ยอมทำตามสิ่งที่พี่โจ้ยื่นให้ซึ่งมันก็มีหลายอย่าง แต่ที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นร่างสัญญาฉบับนั้น
พี่เปี๊ยกถามว่าแล้วทำไมเราไม่คุยกับพี่โจ้ให้รู้เรื่อง
เราขอเล่าเหมือนที่ชี้แจงให้พี่เปี๊ยกฟัง
ว่าเราพยายามแล้วถึง 3 ครั้ง 3 คราด้วยกัน (เหมือนเล่าปี่ไปหาขงเบ้งเลย)
ครั้งที่ 1.เราบอกพี่โจ้ว่าสัญญาแบบนี้มันไม่เคยมีมาก่อนในวงการหนังสือนะ พี่เขาก็บอกว่ามันดีมันเหมือนของเมืองนอกซึ่งคุ้มครองนักเขียน บรา บรา บรา
ครั้งที่ 2. เราพยายามบอกในวันนั้นอีกว่ามันแปลกๆ มันไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ มันน่าจะคิดแบบนี้ๆ (ซึ่งก็คือแบบสนพ.ทั่วๆ ไป) พี่โจ้ก็ยืนยันว่าอย่างของเขาดีกว่า มันไม่ใช่สัญญาจ้าง ฯลฯ
ครั้งที่ 3. เรายังท้วงอีกว่ามัน
ไม่ใช่
มาถึงตอนนี้เราเริ่มเถียงเขาไม่ได้แล้วล่ะ ก็อย่างที่เล่าความรู้สึกในวันนั้นให้ฟังว่ามันมึนมากเพราะนั่งกัน 3 ต่อ 1 เขายืนยันว่าเขาต้องการให้มันได้มาตราฐานอย่างเมืองนอก
หลังจากนั้นเรายังพยายามกลับมานั่งคิดทบทวนที่บ้าน โดยนำมาถามพ่อบ้าง ถามแม่บ้าง (ซึ่งแม่ก็บอกมาแล้วว่ามันเหมือนยืมเงินจากสหกรณ์) กระทั่งถามน้องการตลาดที่รู้จักกันในเน็ต
เราถามทุกคน ใครๆ เขาก็คิดเหมือนเราว่ามันไม่ดีแล้วล่ะ ถ้าจะให้เขาเอาไปเป็นต้นแบบที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา เราจึงพยายามโทรไปหาเขาอีก 2 ครั้งถ้วนเรื่องสัญญาแบบนี้ แต่ก็ยังได้รับการยืนยันเจตนาเดิม เราจึงคิดหนัก
และเครียดมาก
มันจึงเดินมาถึงเรื่องที่พี่เปี๊ยกว่ามันร้ายแรงมากนะ
ก็คือที่บอกว่าเรากลัวจะเป็นควายตัวแรก
ถ้าเพื่อนๆ ตกอยู่ในฐานะเราย่อมเข้าใจความรู้สึกเรา ว่าวันนึงวันนี้ฉันไปนั่งฟังไอ้นี่มาแหละและมึนมาเต็มที่เลย ไหนมันจะเกี่ยวโยงไปถึงอนาคตข้างหน้าว่าไอ้นักเขียนคนนี้มันจะต้องถูกประนาม ว่ามันเป็นคนทำให้นักเขียนรุ่นหลังเดือดร้อนจากการยอมทำสัญญาต้นแบบที่กรมทรัพย์สินฯ มันอึมครึม เครียด มันต้องถามพ่อมัน ต้องหาทางออก และในเมื่อเลี่ยงไม่ได้มันก็เลยเลือก 10% จากยอดขายทั้งที่ในใจรู้สึกเหมือนถูกไล่ให้มาเลือกไอ้ข้อนี้แหละ
หลังจากนั้นเราไม่เห็นพี่โจ้ดี (ก็พูดกันตรงๆ) เก็บมาคิดตลอด ไหนจะเห็นเขาเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย ไหนจะเป็นพวกวัตถุนิยม จนในที่สุด 12 เดือนผ่านไป วันหนึ่งในโค้งสุดท้ายพี่โจ้ก็ยังมาพูดอย่างไม่ถนอมน้ำใจกันอีกว่า พิมพ์ไม่ได้แล้วล่ะมันอย่างนั้นอย่างนี้และอาจจะไปลอกเลียนเขามาเพราะเราไม่มีหลักฐานครบถ้วน
เพื่อนๆ คิดตามเรา
วันหนึ่งเอางานไปเสนอ บ.ก.แล้วเขาก็ตกลงจะพิมพ์ มีการเตรียมงานทำปก ทำรูปเล่มติดต่อสายส่งครบถ้วนจนเราวางใจ 12 เดือนผ่านไป โดนสัญญากดดันหัวแทบโกร๋น เสร็จแล้วในท้ายที่สุดก็บอกว่า ไปลอกใครหรือเปล่าเนี่ย เหมือนหนังสือแปลเลย?
ความวางใจถูกหักหลังอย่างแรง แรงมาก
พี่โจ้จะทำงานกับนักเขียน
แต่ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับสังคมของนักเขียน ตอนที่นั่งคุยกันวันนี้มีพี่กองบ.ก.คนหนึ่งบอกว่าแล้วการคิดค่าเรื่องนิยายเขาทำยังไงล่ะ?
ขอโทษพี่ด้วยนะคะ เราไม่ได้ตั้งใจจะเอาคำพูดพี่มาตั้งแง่ เพียงแต่มันทำให้เราเข้าใจกับพี่เปี๊ยกได้เร็วยิ่งขึ้นเหมือนกัน ว่าสนพ.ไม่ได้ศึกษามาจริงๆ
การคิดค่าเรื่องนิยาย การจ่ายค่าเรื่องนิยาย มันไม่เหมือนงานเขียนเชิงวิชาการหรือหนังสือขายดีที่ขายได้เร็วที่เขาสามารถคิดตาม% จากยอดขาย (ยกเว้นนักเขียนใหญ่ๆ) และการเช็คยอดขายนั้น
แน่นอน นักเขียนไม่สามารถไปเช็คจากสายส่งได้ว่าเขาส่งไปกี่เล่ม ส่งตามที่บอกจริงไหม แล้วขายได้กี่เล่มแล้ว นักเขียนจะทราบก็ต่อเมื่อไปขอดูต้นขั้วหรือบิลที่สนพ.ยื่นมาให้นักเขียนดู หลังจากนี้คิดเอาว่ามันสามารถเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง ที่มันสามารถคิดได้เพราะมีกรณีตัวอย่างนับไม่ถ้วนอย่างที่เราๆ เคยได้ฟังมา
ดังนั้นการจ่ายค่าเรื่องนิยายนักเขียน ไม่เคยมีแบบที่เป็นสัญญาอย่างที่พี่โจ้ร่างมาให้ดูมาก่อนแน่นอน
เราถามมามากมาย และก็มีคนยืนยันว่าไม่เคยมีอย่างที่ว่ามาก่อนเช่นกัน
พี่เปี๊ยกบอกว่าพี่โจ้เจตนาดี สัญญาที่พี่จะทำเป็นการปกป้องนักเขียน เอาล่ะ
เรารู้แล้วว่านี่คือเจตนาดี แต่มันทำได้จริงไหมในสถานการณ์จริง? นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราแอบคิดประชดในวันนั้นว่าทำไมไม่เปลี่ยนการปกครองเป็นแบบเมืองนอกไปเลย และมันก็กลายเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากเจตนาบริสุทธิ์
การจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างถ้ามันโยงถึงเรื่องราวใหญ่โต อย่างการทำเป็นต้นแบบในกรมทรัพย์สิน <- คำๆ นี้มีความหมายยิ่งใหญ่มาก เราถึงได้กลัวการเป็นควายตัวแรก ซึ่งหลายๆ คนที่อ่านก็คงคิดเหมือนเรา เพราะมันน่ากลัวจริงๆ แถมยังมาพูดกับเราเสียอีกว่าเป็นที่ปรึกษาในกรมฯ ซึ่งเหมือนขู่กลายๆ
เสียความรู้สึกตลอดมา แต่เมื่อได้คุยกับพี่เปี๊ยกก็ทำให้เห็นอีกมุมหนึ่งว่ามันไม่ใช่อย่างที่เราคิดทั้งหมด เพราะอย่างน้อยทางสำนักพิมพ์ก็แสดงสปิริต (เขาใช้ทับศัพท์กันก็ขอใช้มั่งล่ะนะ)
พี่เปี๊ยกบอกว่าเขารู้แล้วว่าใครเป็นยังไง ตอนนี้เรายกย่องทางสนพ.เซเปี้ยนส์ ว่าไม่หักดิบเราอีกเรื่อง แต่มาพูดกับเราเหมือนผู้ใหญ่คุยกับเด็ก ทำให้เราเชื่อมากยิ่งขึ้นว่าเขา ทั้งพี่เปี๊ยก ทั้งพี่โจ้ เป็นคนดี แต่ถึงอย่างไรถ้าจะให้รอคบกัน 10 ปีแล้วค่อยรู้ว่าดีอย่างพี่เปี๊ยกกับพี่โจ้ (พี่เขาเล่าให้ฟัง จำไม่ผิดใช่ไหมคะ?) เราคงไม่ใช่ลักษณะนั้น เราคบใครเราคบเหมือนเด็ก คือให้ก่อนเต็มร้อยแล้วค่อยๆ ลดลง
10 ปีมันคงนานไปสำหรับทำให้คนอื่นรู้ว่าคนๆ หนึ่งไม่อันตราย (ไม่ถึงขนาดเป็นคนดีก็ได้ เพราะบางคน 10 ปีค่อยออกลาย)
เราเองก็ไม่ได้อยากเป็นนักเขียนขาวีนหรอก เราอยู่บนเน็ตมาตั้ง 3-4 ปีเคยทะเลาะกับใครที่ไหน แต่ก็ขออธิบายให้ทุกคนเข้าใจ เหมือนที่พี่เปี๊ยกเข้าใจเรา และเราก็เริ่มเข้าใจพี่โจ้ ว่าทั้งหมดมันดำเนินมาเพราะการทำร้ายจิตใจกันระดับไหน
สุดท้ายนี้เราจึงยกย่องความจริงใจที่ผิดกาลเทศะอย่างบริสุทธิ์ใจของพี่โจ้ และขอบคุณพี่เปี๊ยกในความเมตตาต่อเด็กอย่างเราที่มันบ้าเลือดกล้าท้าชน เราหวังว่าต่อจากนี้คงจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เมื่อเรารับรู้ร่วมกันแล้วจะบอกพร้อมกันว่า ดี!
และเราก็ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เข้าข้างเรา สิ่งที่เราเป็นเหมือนๆ กันได้แสดงให้สนพ.ที่มีสปิริตสนพ.หนึ่งได้สังเกตเห็นด้วยความฉลาด ว่าทำไมเราจึงคล้อยตามกัน กำลังใจของเพื่อนๆ เป็นสิ่งที่มีความหมายมากแม้ว่าบางคนจะไม่คุ้นกับเราเลยก็ตาม
สุดท้ายนี้
อยากฝากคนที่เคยเอาเรื่องนี้ไปโพสท์ที่เว็บอื่น ได้นำผลสรุปนี้ไปโพสท์เผยแพร่กันด้วย เขาจะได้เข้าใจจนถึงที่สุด
ขอบคุณพี่น้องและบ้านของเราเจเจบุ๊ค อบอุ่นเสมอที่นั่น และขอบคุณถนนนักเขียนที่เป็นสถานที่สำหรับเรื่องนี้เสมอเช่นกัน (ถึงแม้จะภาวนาว่าขออย่าให้มีเรื่องเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ตาม)
หวังว่าเราจะเข้าใจตรงกันสำหรับเรื่องนี้ ขอบคุณมากค่ะ
จากคุณ :
ฯคีตกาล
- [
18 ก.พ. 47 22:32:40
A:203.150.192.17 X:192.168.4.80
]