คนย้อมผ้า ชายผู้แบกความหวังไว้ที่ขาทั้งสองข้าง...

    ป๋องแป๋ง ๆๆๆ เสียงของเล่นชนิดหนึ่ง แว่วมาแต่ไกล ดึงดูดผู้คนที่เดินอยู่ริมถนนให้หันมอง ก่อนที่ภาพของชายชราปั่นจักรยานมาตามถนนจะปรากฎขึ้นและเคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ พร้อมกับพาควันไฟสีดำลอยตามมาเป็นทาง ใบหน้าคล้ำแดดของเฒ่าชรา ดูไม่ยี่หระต่อแสงแดดยามบ่ายที่ส่องลงมากระทบผิวกายสักเท่าใดนัก  ขาทั้งสองข้างของแก ยังคงขยับสัมพันธ์กันอย่างเป็นจังหวะ เพื่อถีบรถจักรยานให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ดูไปก็เหมือนกับฟันเฟืองที่ทำงานสอดประสานกันอย่างกลมกลืนเป็นจังหวะ  แม้ว่าจะดูเมื่อยล้าไปบ้างก็ตาม
    ฉับพลัน ใบหน้าที่ดูเฉยเมยและอ่อนล้าของเฒ่าชรา กลับมีแววลิงโลดสดชื่นขึ้นมาในทันใด เมื่อหญิงวัยกลางคน คนหนึ่งเดินมากวักมือให้แกจอดรถเข้าข้างทาง
    “ตา ย้อมกางเกงคิดตัวเท่าไหร่ “ หญิงวัยกลางคน เอ่ยปากถามชายชรา
    “ 30 บาท ครับ” ชายชราตอบ พร้อมกับใช้มือปาดเหงื่อที่หน้าผาก
    ไม่วายที่หญิงคนนั้นจะตินิดหน่อย แต่ก็ยื่นกางเกงขายาวสีเทาให้ชายชราอยู่ดี อาจเพราะความสงสารหรืออะไรก็แล้วแต่  ตาลี สังเกตกิศ ชายชราผู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตมา กว่า 60 ฝนมิได้ปริปากพูดแต่อย่างใด กลับยิ้มรับคำบ่นของลูกค้าโดยดุษณี พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบปี๊บสีดำที่ดัดแปลงให้เป็นภาชนะสำหรับการย้อมผ้า ที่แขวนอยู่ตรงท้ายรถ มาวางลงกับพื้น ยัดดุ้นฟืน 3-4 ดุ้นเข้าไปตรงฐานปี๊บ จุดไฟ เป่าลมเข้าไปเร่งให้ไฟติด รอให้น้ำในปี๊บเดือด เทสีย้อมผ้าและดั่งลงไป แล้วจึงนำผ้าลงย้อมสี      

    “สังคมเปลี่ยน คนเปลี่ยน  ”

    นายลี สังเกศกิต เกิดที่บ้านขี้ตุ่น อำเภอรัตนะ จังหวัดสุรินทร์ ฝ่ามรสุมกาลเวลามากว่า 60 ฝน ผ่านกระบวนการเรียนรู้ชีวิตชาวนามาอย่างเต็มรูปแบบ โดยการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น  แต่เมื่อกลุ่มคนที่เรียกตัวเอง ว่า “รัฐบาล” ได้เข้ามามีบทบาทในฐานะผู้บริหารมีบทบาทในการสั่งการและมีประชาชนเป็นผู้น้อมรับคำสั่ง สภาพหมู่บ้านขี้ตุ่น ก็เปลี่ยนไปทีละน้อย  ความศิวิไลซ์แบบชุมชนเมืองก็คืบคลานเข้ามาทีละน้อย เริ่มจากถนนหนทาง เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ระบบการค้า ตลอดจนการพัฒนาทางวัตถุด้านอื่นๆ และนั่นก็คือ การเปิดทางให้ระบบทุนนิยมย่างกรายเข้ามาสู่ชุมชน
    ตาลี เล่าว่า
    “เมื่อก่อนชาวบ้านอยู่กันอย่างง่ายๆ ตอนที่ตายังเป็นเด็กไฟฟ้าก็ยังไม่มีใช้ ต้องใช้วิธีจุดตะเกียงแทนไฟฟ้า พอตะวันตกดินก็เข้านอนกันหมดแล้ว ข้าวปลาอาหารก็อุดมสมบูรณ์ ไม่ได้หากินลำบากเหมือนอย่างทุกวันนี้ เดินลงทุ่งแป๊บเดียวก็ได้กินปลา อยากกินผักก็เก็บเอาจากแถวๆบ้าน ถ้ามีมากๆก็นำไปขายนำไปแลกข้าว ข้าวของก็ราคาถูก เงินบาทสองบาทซื้อวัวซื้อควายได้สบาย แต่ทุกวันนี้เงินหนึ่งบาทซื้ออะไรก็ไม่ได้ ”  

    จากสภาพสังคมแบบโบราณ มีปลาแลกปลา มีข้าวแลกข้าว  กลับแปรสภาพมาเป็นสังคมทุนนิยม สังคมที่นับถือเงินเป็นพระเจ้า สิ่งของทุกอย่างถูกอำนาจของเงินตราสะกดให้อยู่ภายใต้นิยามของคำว่า “มูลค่า”  เสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงของคนในหมู่บ้านที่เคยได้ยินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  ค่อยๆเงียบหายไปพร้อมกับคนในหมู่บ้านที่เดินทางไปทำงานในเมืองหลวง แม้กระทั่งตาลี ก็มิอาจทานกระแสอันเชี่ยวกรากของระบบทุนนิยม  ต้องออกเดินทางไปทำงานเหมือนกับเพื่อนๆ เช่นกัน ด้วยความหวังว่าจะมีเงินมาเลี้ยงดูพ่อแม่ ได้รับการยอมรับนับถือจากคนในหมู่บ้าน มีบ้านหลังโตๆ มีรถคันงามขับ
     “ตอนที่ตาอายุประมาณ 14 -15 ปี เห็นเพื่อนไปทำงานที่กรุงเทพฯ พอถึงช่วงเดือนเมษายน ก็จะพากันกลับมาบ้าน มาร่วมรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ในประเพณีสงกรานต์ มีเงินมีทองกลับมาให้พ่อแม่ แต่งตัวดีๆ ดูแล้วมันโก้มันเท่ มีสร้อยมีทองเต็มคอ ตาก็อยากไปทำงานกับเขาด้วย เพราะอยู่ที่บ้านก็ไม่มีอะไรจะทำ พอหมดหน้านาก็ไปเลี้ยงควายเลี้ยงวัว ยิงกิ้งก่าไปเรื่อยเปื่อย ก็เลยขอพ่อกับแม่ลงไปทำงานที่กรุงเทพฯ ไปได้งานทำที่โรงงานทำรองเท้า ทำอยู่ 2-3 ปี ก็พอมีเงินส่งกลับมาให้พ่อกับแม่ และก็มีเงินเก็บให้ตัวเองอีกนิดหน่อย ”    

    และแล้วกระแสอันเชี่ยวกรากก็เป็นเพียงภาพลวงตา ชนชั้นกรรมาชนที่ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตก็ยังยากจนอยู่เช่นเดิม ส่วนคนที่ร่ำรวย คือ นายทุน บุคคลที่ลงทุนมาก ทำงานน้อยแต่รวยมากกว่าใคร เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปดังใจหวัง นายลี สังเกศกิต ในเวลานั้น จึงหวนคืนสู่บ้านเกิด และดำเนินชีวิตตามรอยทางเยี่ยงบรรพบุรุษ

    “2525 เปลี่ยน... เพื่อความอยู่รอด ”

    เนื่องจากสังคมเกษตรกรรมของไทย ยังต้องพึ่งพาน้ำฝนในการทำไร่ทำนา หากปีใดฝนแล้ง ความยากจนยกกำลังสองก็เข้ามาเยือนชาวนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากปีใดฝนดีก็ยังพอมีข้าวกิน นายลี สังเกตกิศ เมื่อพ.ศ. 2525 มีทายาทเป็นบ่วงคล้องคออยู่ถึง 9 เส้น กับการเลี้ยงดูเมีย 1 คน และลูกอีก 8 นับเป็นภาระอันหนักหนาสาหัส ที่จะดูแลได้อย่างเต็มที่  เพราะนอกจากรายได้จากการขายข้าวในการทำนา ที่ปีหนึ่งๆจะเหลือไว้แค่เพียงได้กินประทังชีวิต ก็ไม่มีรายได้อื่นใดอีก ที่จะนำมาจุนเจือครอบครัว  นอกเหนือจากการรับจ้างเล็กน้อยๆ ในยามว่างเว้นจากฤดูเก็บเกี่ยว
    เหมือนพระเจ้ามาโปรด เมื่อเพื่อนที่เดินสายตระเวนขับจักรยานยนต์รับจ้างย้อมผ้า อยู่กรุงเทพฯ กลับมาที่หมู่บ้านและแนะแนวทางให้นายลี ได้ลองเสี่ยงทำดู เพราะเป็นการลงทุนน้อย แต่ใช้แรงงานมาก โอกาสขาดทุนหรือได้กำไรขึ้นอยู่กับตัวเอง ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน  
    “ตอนที่เพื่อนมันกลับมาบ้าน ตาก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกว่าการรับจ้างย้อมผ้ารายได้มันจะดี แต่เห็นการแต่งตัว เห็นท่าทางของมันแล้วก็เลยเชื่อ เพื่อนมันก็แนะนำให้ลองทำดู ค่าใช้จ่ายก็ไม่มากอะไร แค่ลงทุนซื้อสีย้อมผ้า ซื้อดั่ง(ผงที่ทำให้สีย้อมผ้าติดกับผ้าดีขึ้น) ก็พอแล้ว ส่วนอุปกรณ์พวกถังน้ำ หรือปี๊บที่ใช้ย้อมผ้าก็มีอยู่แล้ว แค่นำมาดัดแปลงนิดหน่อยก็นำไปใช้งานได้เลย พวกไม้ฟืนที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงก็หาได้ตามธรรมชาติ  ”
    การเริ่มต้นอาชีพใหม่ของตาลี สังเกศกิต ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่คิด เพราะไม่มียานพาหนะในการเดินทางแม้แต่ชนิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นจักรยาน หรือ มอเตอร์ไซค์  ต้องเดินด้วยเท้าเปล่า หาบเร่ไปเรื่อยๆ ค่ำไหนนอนนั่น ใช้ชีวิตเหมือนนกไร้รัง
    “ช่วงแรกๆที่ไปรับจ้างย้อมผ้า จักรยานก็ไม่มีขี่ อุปกรณ์ในการย้อมผ้าทุกอย่างต้องเอาใส่หาบ เดินไปตามหมู่บ้านต่างๆ หาบจนบ่าทรุด ค่ำไหนนอนนั่น อาศัยวัดเป็นที่หลับนอน ขอข้าวก้นบาตรกิน  ตื่นเช้าขึ้นมา ก็ออกเดินทางต่อ จักรยานที่ขี่รับจ้างย้อมผ้าอยู่ทุกวันนี้ ก็ได้มาจากการไปรับจ้างย้อมผ้าที่ชลบุรี มีคนใจบุญให้มา เขาคงเห็นว่าผมต้องเดินก็เลยสงสาร  ”

    “ปั่นทั่วแคว้นแดนอีสาน”  

    ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ตาลี สังเกศกิต ประกอบอาชีพรับจ้างย้อมผ้า จังหวัดทุกจังหวัดในภาคอีสาน ตาลีเคยพาเจ้าสองล้อคู่ชีพ ไปประทับรอยล้อมาหมดแล้ว ทุกๆเดือนตาลี จะนั่งรถประจำทางไปยังจังหวัดเป้าหมาย พร้อมกับจักรยานคันเก่า ที่ตาลีเปรียบเสมือนแขนขาของแก
    ตาลี เล่าว่า “ จังหวัดในภาคอีสาน ตาไปมาหมดแล้ว ก็นั่งรถประจำทางไปเอาจักรยานขึ้นบนหลังคารถ เพราะถ้าจะให้ปั่นข้ามจังหวัดก็คงไม่ไหว พอถึงที่หมายก็เริ่มต้นปั่น ในหนึ่งวันจะปั่นได้ระยะทางประมาณ 20 –30 กิโลเมตร ค่ำไหนนอนนั่น อุดร ขอนแก่น เลย สกลนคร ฯลฯ ตาไปมาหมด ในหนึ่งเดือนตาจะออกไปย้อมผ้าประมาณ 3 อาทิตย์ และกลับมาพักผ่อนที่บ้านหนึ่งอาทิตย์  เป็นอย่างนี้อยู่ทุกเดือน ถ้าหากวัดเป็นระยะทางตลอด 20 ปีที่ปั่นจักรยานรับจ้างย้อมผ้าก็น่าจะถึงหมื่นกิโลเมตร ”
    เมื่อถามถึงรายรับที่ได้มาในแต่ละเดือน นัยน์ตาของเฒ่าชรา ฉายแววเศร้าหมองออกมา ก่อนที่จะตอบเสียงอ่อยๆว่า
    “ รายได้แต่ละเดือนในตอนนี้ ไม่คุ้มเลย เหนื่อยมาก ต้องปั่นจักรยานรับจ้างย้อมผ้าวันละ 20 –30 กิโลฯเป็นอย่างน้อย ตาก็ไม่ใช่คนหนุ่ม เหนื่อยแต่ก็หยุดไม่ได้ เพราะมีหลานอีก 3 คน ที่ลูกเอามาให้เลี้ยงรอคอยอยู่ที่บ้านแล้วไหนจะเมียอีกคน ถ้าไม่ออกไปรับจ้างย้อมผ้า หลานก็จะไม่มีเงินไปเรียนหนังสือ รายได้ตอนนี้ผิดกันเยอะกับเมื่อก่อน สมัยก่อนคนใช้ผ้าดิบผ้าฝ้ายในการทอผ้าตัดผ้า  ยังไม่มีเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากโรงงานใส่เหมือนอย่างทุกวันนี้  ชาวบ้านก็จะใช้บริการค่อนข้างดี มีรายได้เดือนละ 6 – 7 พัน สามารถเลี้ยงครอบครัวได้อย่างสบาย แต่ทุกวันนี้ มีรายได้เดือนละสี่พันห้าพันก็บุญแล้ว  คิดว่า อีกไม่นานก็คงต้องเลิก เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นแทน มันเหนื่อยและคนก็ไม่นิยมใส่ผ้าย้อมเหมือนเมื่อก่อน”
    น้ำในถังเดือดปุดๆ  ตาลี ใช้ช้อนเล็กๆตักสีย้อมผ้าสีดำใส่ลงไปในถัง ตามด้วยดั่ง ผงที่จะทำให้สีที่ย้อมติดกับเนื้อผ้าได้ดีขึ้น ใช้เวลาย้อมไม่กี่นาที กางเกงสีเทาที่เปื้อนคราบสกปรกจนใส่ไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นสีดำ สามารถนำไปใช้งานได้อีก นำไปซัก ตากแดดให้แห้งก็นำไปใช้งานได้เลย โดยไม่ต้องไปจ่ายเงินซื้อกางเกงดำให้สิ้นเปลือง
    ตาลี สังเกศกิต เฒ่าชราผู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตมากว่า 60 ฝน เป็นเพียงกระจกเงาเล็กๆบานหนึ่งที่สะท้อนภาพสังคมไทยยุคทุนนิยม ยุคที่มีนายทุนเป็นผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจ การพยายามทำให้สังคมไทยก้าวเข้าไปสู่ความเป็นนิกส์ โดยกลุ่มคนที่เรียกตัวเอง ว่า “รัฐบาล” ได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อกลุ่มคนระดับรากหญ้า หากว่ามีทางเลือก กลุ่มคนเหล่านี้ คงไม่ต้องทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดไปหางานทำในเมืองหลวงให้ความคิดถึงบ้านมันกัดกร่อนหัวใจเช่นนี้ดอก
    อีกนานไหมที่ประชาชนชาวไทย จะได้รับการเหลียวแลเอาใจใส่อย่างจริงจังจากภาครัฐ  เชื่อขนมกินได้เลยว่า เรื่องราวของตาลีจะเป็นเพียงบทเรียนอีกบทหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เป็นบทเรียนที่ทุกคนรับรู้ “ว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว” แต่เราก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ตราบใดที่เรายังเป็นทาสของระบบทุนนิยม
    ป๋องแป๋งๆ  รถจักรยานคันเก่ากับเฒ่าชรา เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ แสงอาทิตย์ยามเย็นก่อให้เกิดให้ความรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก “ หากยังมีลมหายใจ ต้องสู้ให้ถึงที่สุด”  คำพูดที่ชายชรากล่าวทิ้งท้าย ยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของผม ขณะที่ม่านแห่งราตรีเริ่มคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ   ค่ำคืนนี้ เฒ่าชราจากเมืองสุรินทร์จะนอนที่ไหนหนอ ?

    จากคุณ : ขาโถกเถก - [ 20 ก.พ. 47 20:17:58 A:203.113.61.232 X: ]