สมัยเรียน แทบทุกครั้งที่ได้ไปเดินเล่นตามสยามฯ กลับมา ความอยากได้เสื้อวัยรุ่นตัวละ 600 กว่าบาทเอง กางเกงแค่ 1,200 บาทเอง ล็อตโต้ (สมัยนั้นฮิตรองเท้าผ้าใบยี่ห้อนี้) แต่พันกว่า ๆ เอง ความรู้สึกตอนนั้นคือ ความอยากเป็นเจ้าของ กลับมาบ้านเล่าให้พ่อแม่ฟัง บอกท่านว่า ราคาเท่านี้เอง แค่นี้เอง ไม่กี่ร้อยเอง ซึ่งตอนนั้นดิฉันเห็นว่าเล็กน้อยมาก และพ่อแม่มีปัญญาควักเงินให้ซึ้อได้อย่างแน่นอน แต่ผิดคาด พ่อแม่ถามถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากมัน ดิฉันเองด้วยความอยากทั้งปวงที่ครอบคลุมจิตใจอยู่ ก็ยกแม่น้ำทั้งห้ามาสาธยาย แต่คนเป็นพ่อแม่จับจุดได้ถูกว่า เหตุผลทั้งหมดเหนืออื่นใดคือ การเลียนแบบในทางที่ผิด ความอยากทั้งหลาย อยากแข่งขันกับคนอื่น ที่ร้อนรุ่มอยู่ในใจลูกนั่นเอง พ่อพูดคำหนึ่งว่า เห็นช้างขี้อย่าขี้ตามช้าง
พ่อนั้นเป็นคนภาคใต้เกือบสุดเขตประเทศไทย สามารถพูดภาษายาวี (มลายู) ได้ดีเท่ากับภาษาไทย ในถิ่นที่พ่ออยู่นั้น จะนับถือศาสนาอิสลามกันเป็นส่วนใหญ่ ถึงพ่อเป็นไทยพุทธ การยอมรับในสังคมซึ่งกันและกัน ไม่ถือเขาถือเรา ถ้อยทีถ้อยอาศึยเฉกเช่นคนในครอบครัวเดียวกัน ความไม่เห็นแก่ตัว มีน้ำใจให้กันและกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้สังคมเล็ก ๆ นั้นอยู่กันด้วยกันอย่างสงบสุข พ่อมีชื่อเรียกเป็นภาษายาวีว่า " เจ๊ะหมะมะ " ฐานะทางบ้านพ่อนั้นเรียกว่าดีทีเดียว ปู่มีโรงสี มีบ้านห้องแถวไม้ในตลาดปลูกให้เช่า มีที่ดินเยอะมาก พ่อเป็นลูกเหนือนม มีพี่ชายคนโตอายุห่างกันเกือบรอบ พี่ชายคนโตมีอาชีพเป็นครูบ้านนอก ที่ใจดีมาก ๆ เมื่อพ่อโตขึ้นปู่ได้ส่งพ่อขึ้นมาเรียนที่กรุงเทพฯ โดยให้พักอยู่กับญาติ แต่พ่อเป็นเด็กเกเร อยากมีอิสระของตัวเอง พ่อหนีไปอาศัยอยู่กับเพื่อนใหม่โรงเรียนเดียวกันที่เป็นเด็กวัด ตั้งแต่นั้นมาพ่อก็ได้ชื่อว่าเป็นเด็กวัดตามเพื่อนไปด้วย ปู่จะลากตัวกลับใต้ แต่พี่ชายคนโตนั้นได้ช่วยขวางเอาไว้ และตั้งแต่นั้นมาอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับพ่อ พี่ชายคนนี้จะคอยเป็นกองกำลังสนับสนุนน้องชายอยู่เบื้องหลัง พี่ชายคนนี้จะเสียสละกำลังเงิน กำลังใจทุ่มเทให้กับน้องคนนี้อย่างสุดตัว ไม่ยอมแต่งงานแม้วัยจะมากขึ้นทุกวัน จนกระทั่งพ่อเรียนจบ เข้ารับราชการในกองทัพไทย ระดับนายทหารสัญญาบัตร พี่ชายคนโตของพ่อก็ยังไม่แต่งงาน
ไม่มีใครรู้เลย ถ้าพ่อไม่บอกว่าเป็นคนใต้ สำเนียงที่พ่อพูดนั้นคนกรุงเทพฯ ชัด ๆ ไม่มีทองแดงลอดออกมาให้ได้ยินสักคำ แต่ความเป็นใต้ของพ่อยังคงมีอยู่ในเรื่องอาหารการกิน ดิฉันเป็นลูกพ่อคนเดียวที่ชอบอาหารปักษ์ใต้ กินได้กินดีไม่มีเบื่อ มรดกที่ดิฉันได้รับจากพ่อคือหน้าตาและผิวคล้ำเนียนละเอียด พ่อเป็นหนุ่มหล่อ คมเข้มทีเดียว
แม่ดิฉันเป็นลูกชาวสวนผัก ลูกครึ่งไทยจีน ยายกับตามีลูกทั้งหมด 8 คน เป็นลูกสาว 5 คน ความงามของลูกสาวบ้านนี้เลื่องลือไปตลอดความยาวหลายกิโลเมตรของคลองนั้นเลยทีเดียว แม่มีความรู้ด้านตัดเย็บเสื้อผ้า ปักหน้าหมวกนายทหารด้วยดิ้นเงินดิ้นทอง งานที่แม่ทำนั่นสวยละเอียดทีเดียว มีหนุ่ม ๆ มาสมัครใจรักใคร่แม่มากมาย ไม่ใช่เพราะความสวยที่ไม่ต้องแต้มแต่งอย่างเดียว แต่เป็นเพราะความขยัน การวางตัว และใจคอที่โอบอ้อมอารีนั้นด้วยต่างหาก ความรักของพ่อและแม่ที่ต่างกันในเรื่องถิ่นฐาน ความรู้ ฐานะ และสภาพทางสังคม ไม่ได้ทำให้เกิดช่องว่างขึ้นแต่อย่างใด มันกลับกลายเป็นความลงตัวกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ ความโอบอ้อมอารี รักพี่รักน้อง การแบ่งปัน หรือแม้กระทั่งความสุข ความพอใจในฐานะความเป็นอยู่ เราลูก ๆ ได้รับเอามันไว้โดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ความคิดถึงบ้านเข้ามาเยี่ยมเยือนความรู้สึกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนคนเดียวที่เข้าใจคือ เจ้ (คนไทยออกเสียงเป็น เจ๊) เราสองคนจะเดินข้ามกันไปมา เราชอบชีวิตที่เรียบง่าย ไม่วุ่นวาย ไม่แข่งขัน เรามีลูกหมาตัวเล็ก ๆ ที่เจ้เอามาเลี้ยง เรามีมอเตอร์ไซด์คันเล็ก ๆ ที่เจ้เป็นเจ้าของ เจ้มักจะพาดิฉันซ้อนท้ายไปบ้านแม่เธอด้วยเสมอ ดิฉันคุ้นเคยกับครอบครัวเธอ สามารถพูดกับพ่อแม่เธอได้นิดหน่อย วันหนึ่งเจ้บอกดิฉันว่าใกล้เทศกาลที่ต้องทำขนมบ๊ะจ่าง เธออยากทำแทนแม่ในปีนี้ แต่เธอทำไม่เป็น ดิฉันบอกเธอว่า ดิฉันทำเป็น เพราะยายเคยทำที่บ้านสวนทุกปี เจ้ดีใจมากรีบโทรศัพท์ไปบอกแม่เธอว่าไม่ต้องทำ พวกเราจะทำกันเอง เราพากันไปตลาดหาซื้อวัตถุดิบที่ต้องใช้มาครบถ้วน เราช่วยกันออกเงิน และหอบของซ้อนท้ายกันมาอย่างพะรุงพะรัง รุ่งเช้าเจ้ข้ามมาแต่เช้า เราช่วยกันผัด ช่วยกันชิมจนว่าดีแล้ว เจ้ให้ดิฉันห่อให้ดู ดิฉันบอกว่า ทำเป็นแต่ห่อไม่เป็น เพราะยายไม่เคยให้ช่วยห่อ เจ้หัวเราะชี้หน้าดิฉัน เราสองคนช่วยกันอพยพหม้อบ๊ะจ่าง ไปบ้านแม่เจ้ เราเรียนรู้การห่อจากแม่เจ้ เจ้ห่อได้สวยกว่าดิฉัน แต่แม่เจ้ห่อได้สวยและเร็ว เรานั่งรอจนแม่เธอนึ่งสุก หยิบมาชิมแล้วชมว่าอร่อยดี เราสองคนยิ้มหน้าบาน
ดิฉันอยู่บ้านหลังนี้จนจะย่างเข้าเดือนที่ 5 แล้ว เพิ่งจะเริ่มมีความผิดปกติแปลกประหลาดเกิดขึ้น ถ้าสามีเตรียมตัวไปทำงาน ดิฉันจะหอบเสื้อผ้าลงมาผลัดเปลี่ยนอาบน้ำอยู่ข้างล่าง และจะขลุกอยู่แต่ข้างล่างทั้งวัน จนกว่าสามีจะกลับ อาการผิดปกตินี้คือขนลุก ขึ้นมาเองเฉย ๆ และบ่อยมาก มีความรู้สึกเหมือนมีสายตาลึกลับจ้องมองดูอยู่ข้างหลังตอลดเวลา พอหันขวับไปก็ไม่มีอะไร ดิฉันเล่าเรื่องนี้ให้สามีฟัง เค้าบอกว่าดิฉันดิฉันคงเครียด เลยทำให้เกิดอุปทานไปเอง ดิฉันรู้ตัวเองดีว่าไม่ได้เครียดเลย มีความสุขกายสบายใจอยู่กับเจ้สองคน อุปทานที่สามีว่าก็อาจเป็นไปได้ แล้วทำไมอุปทานตัวนี้ยังคอยตามมองดูดิฉันตลอดเวลา ดิฉันเล่าเรื่องประหลาดให้เจ้ฟัง เธอพาไปหาญาติของเธอคนหนึ่ง ญาติของเธอนั้นก็อุตส่าห์ขับรถตามมาดูให้ถึงบ้าน ญาติเจ้ได้กำชับให้พวกเราไปหาอีก 3 วัน บอกเพียงสั้น ๆ ว่าเจ้าที่ เขาได้มอบรูปปั้นพระจีนนั่งบัลลังก์มาให้ 1 องค์ไว้บูชา พระองค์นี้ท่านมีชื่อเรียกว่า ฟูเต๋อเจิ้นเซิน
ถึงแม้ดิฉันจะนำฟูเต๋อเจิ้นเซินมาบูชา แต่สายตาลึกลับนั้นก็ยังไม่หายไปทีเดียว ความคิดที่มีอยู่ในขณะนั้นคือเรื่องนี้เรื่องเดียว ที่ยังเป็นปัญหาคาใจ คิดไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าท่านอาจจะมาเตือนเรื่องอะไรสักอย่าง จิตใจพลอยไม่สบายไปด้วย วันหนึ่ง ๆ หมดไปกับการทำความสะอาด ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะขัดมันไปทำไมนัก เป็นการขัดจริง ๆ ถูวนไปวนมาจนเงาวับ เฟอร์นิเจอร์ที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้นข้างล่าง ก็จับย้ายไปย้ายมาแทบทุกวัน สามีกลับบ้านมาตอนเย็นมักพูดว่า " คิดว่าเข้าบ้านผิด " หรือว่า " เปลี่ยนอีกแล้ว " ซึ่งกลายเป็นคำพูดติดปากไปเลย ที่หน้าบ้านมีสนามหญ้าไม่กว้างนัก มีพุ่มไม้เตี้ย ๆ ปลูกเป็นแนวเรียงยาวตามทางเดิน ต้องคอยตัดแต่งให้เสมอกัน ด้วยกรรไกรตัดกระดาษอันใหญ่ที่มีอยู่ เหมือนช่างตัดผมที่ชำนาญ มันทำให้เพลินและลืมอุปทานลึกลับนั้นได้ดีทีเดียว อีกฝั่งหนึ่งของบ้านจะมีต้นสนสูงประมาณ 2 เมตรกว่า ๆ เรียงกันอยู่ 3 ต้น มีความรู้สึกว่าต้นสนนี้ชักจะสูงเก้งก้าง และรำคาญตาเหลือเกิน วันนั้นดิฉันคว้ามีดโต้ในครัวออกมา เริ่มริดกิ่งเล็ก ๆ เสียก่อน มันเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ต้องตัดให้กลมเท่ากัน เดินออกมายืนมองจากถนนหน้าบ้าน ต้องทำให้มันดูดีกว่านี้ เข้าไปในบ้านหาสายเมตรมาวัดระดับจากพื้นดินขึ้นมาทั้ง 3 ต้น จัดการเอามีดโต้ฟันฉับ ๆ ที่ลำต้นตรงที่วัดและบากเอาไว้ กว่าจะตัดได้แต่ละต้น ต้องใช้กำลังมหาศาลทีเดียว ต้นสน 3 ต้นบัดนี้ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม ตามความคิดของดิฉันแล้ว ความพอใจที่ได้รับนี้คุ้มค่าเหนื่อยจริง ๆ
สามีกลับบ้านมาตอนเย็น หน้าบ้านโล่ง ๆ ไป เค้ามองไปจนทั่วจึงได้เห็นว่า ต้นสน 3 ต้นนั้นได้ถูกเปลี่ยนให้มีสภาพเป็นไม้พุ่มดัดไปแล้ว เราชมสวนกันพักใหญ่ สามีพูดว่ามันก็สวยแปลก ๆ ดีอย่างที่ดิฉันตั้งใจ แต่ต้นสนนั้นธรรมชาติของมันมีรูปร่างที่สวยอยู่แล้ว โดยไม่ต้องไปตกแต่งมันมาก และการที่ไปตัดตรงกลางต้นมันก็เหมือนกับการตัดคอ ตัดหัว นั่นเอง ดิฉันเพิ่งรู้ว่าทำลายมันโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และเสียใจกับการกระทำของตัวเองจริง ๆ วันรุ่งขึ้นเจ้เดินมาที่บ้าน และมองเห็นมันเช่นกัน ตอนหนึ่งเจ้พูดขึ้นว่า ไปตัดมันกลางต้น มันก็เป็นแผลเปิด เดี๋ยวฝนตกก็ทำให้ซึมและก็ทำให้เกิดเชื้อราตรงที่ตัด มันก็จะตายหมดพอดี เจ้แนะว่าให้ไปหายาใส่แผล มาทาตรงที่ตัดไว้ให้หนา ๆ จะพอช่วยป้องกันได้ ดิฉันรีบเข้าบ้านไปหยิบครีมยาทาแก้แผลเป็น มาทาให้ต้นไม้ทั้ง 3 ต้นจนหมดหลอด เจ้ไม่ได้ยิ้มหรือมีพิรุธเลย ตอนเย็นเจ้เดินข้ามมาบ้านดิฉันพร้อมสามีเธออีกหนึ่งรอบ สามีดิฉันก็เพิ่งกลับมาเหมือนกัน เค้า 3 คนพูดกันด้วยภาษาเยอรมัน หัวเราะกันคิกคัก ดิฉันก็ไม่รู้ว่าหัวเราะกันเรื่องอะไร เค้ามาเฉลยให้ฟังตอนหลังว่า ดิฉันถูกเจ้ต้มจนเปื่อยเรื่องยาทาแผล ส่วนเจ้โดนดิฉันหลอกต้มเอาเรื่องทำบ๊ะจ่าง งานนี้เราหายกัน
สังคมไฮโซฯ ก็ยังดำเนินต่อไป แต่ดิฉันกับเจ้มีหลายสิ่งที่เหมือนกันในตอนนี้คือ ความเบื่อหน่าย เราสองคนมีความคิดตรงกันว่า อยากมุดดินไปหาโลกอยู่ใหม่ สัตว์ประเสริฐที่เรียกว่ามนุษย์ รอบ ๆ ตัวเราสองคน มีแต่ความอยากได้ อยากมี อยากอวด ความอยากทั้งหลายของพวกเจ้าหล่อน มีผลกระทบกับเจ้โดยตรง เพราะเจ้ต้องไปเสาะแสวงหาแหล่งสินค้าพิเศษเหล่านั้นให้แก่มาดามทั้งหลาย ความอยากนี้ทำให้เกิดการแตกแยกขึ้นในระหว่างชนกลุ่มน้อย สังคมเล็กๆ อย่างพวกเรา การเลียนแบบ นินทา ชิงดีชิงเด่นตามกันมา อิจฉาริษยานั่นเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว ดิฉันกับเจ้ เกิดอาการเซ็ง เบื่อ และหลบหน้าในที่สุด เรามีความสุขในโลกส่วนตัว ถึงเหนื่อยกายแต่ใจเป็นสุขเหลือเกิน ไม่ต้องเปิดหู เปิดตา รับฟังรับรู้ เพื่ออะไร และได้อะไรขึ้นมา
เจ้พาไปวัด เราไหว้พระตามแบบของคนที่นั่น เราไปกันแค่ 2 คนเสมอ เจ้แต่งงานมานานและติดตามสามีไปโน่นมานี่ตลอดหลังแต่งงาน เจ้เล่าเรื่องประสบการณ์ในสังคมไฮโซฯ ที่เคยพบเห็นมาให้ดิฉันฟัง ปัญหาที่เจ้พบทั้งเรื่องการยอมรับในกลุ่ม หรือการแข่งขันระหว่างคนในกลุ่ม หรือแม้กระทั่งความผูกพันกับวัฒนธรรม ประเพณี คำสอนของพ่อแม่เมื่อวัยเด็ก ดิฉันนั่งฟังด้วยความเข้าใจและเห็นใจ เจ้พูดถูกทุกอย่าง คำสั่งสอนของพ่อแม่ดิฉันเข้ามาในห้วงสำนึกอีกครั้งหนึ่ง " เห็นช้างขี้อย่าขี้ตามช้าง " ก็คงมีความหมายอย่างที่เจ้กำลังพูดถึง ความหมายที่ว่า " จงพอใจในสิ่งที่ตนมี "นั่นเอง เจ้มีความสุขเพราะเจ้าสิ่งนี้ ดิฉันก็มีความสุขเพราะเจ้าสิ่งนี้เช่นกัน เจ้ชวนกลับบ้านด้วยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ หลุดเป็นภาษาจีนออกมาว่า " เจ้อเก้อซึ่อเจิ้นเต๋อ หนี่ซิ่นปู๋ซิ่น ? " ดิฉันตอบว่า "ซื่อ" แล้วเราสองคนก็ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์คันเล็กกลับบ้าน ในใจนั้นก็คิดอิ่มเอิบไปกับคำพูดของเจ้ ใช่สิ เราสองคนนี้ช่างร่ำรวยความสุขเหลือเกิน
จากคุณ :
NATTI (นัทตี้)
- [
20 ก.พ. 47 22:35:41
A:62.167.56.89 X:
]