คนเมืองอยู่ป่า

    คนเมืองอยู่ป่า
    บทที่หนึ่ง

    ใต้หลังคาบ้านกลุ่ม หรือทาวน์เฮ้าส์ แถบชานเมือง ขอบๆกรุงเทพ  ผมนั่งอยู่ท่ามกลางไฟส่องสว่างนีออนไลท์สองดวง ยี่ห้อ…. ไทยไม่ได้ทำ…พัดลมตั้งพื้นสิบหกนิ้ว ยี่ห้อไทยไม่ได้ทำเช่นกัน…เปิดทำงานในเบอร์หนึ่งกับเบอร์สอง ที่อุณหภูมิห้องประมาณ 26 องศาเซลเซียส  พัดลมตัวหนึ่งไว้เป่าที่ผมนั่ง อีกตัวไว้เป่าควันบุหรี่แอลเอ็ม สีแดง  ที่ติดๆดับๆตลอดคืน…
    ผมนั่งหนาวๆเย็นๆภายใต้เสื้อยืดแขนกุดสีเขียว กางเกงยีนที่ใส่มาสามวันแล้ว และกางกางในสี…. สีอะไรก็ช่างเหอะ…ผมพยายามเปลี่ยนใส่ทุกวัน…กลับหน้าหลังบ้าง กลับในออกนอกบ้าง…ตากแดดบ้าง…ซักบ้าง…แล้วแต่โอกาส…
    ผมรินลอเกอร์เบียร์จากกระป๋องที่ได้รับรางวัลเหรียญทองจาก A.I.B.A. ใส่ถ้วยพลาสติก  หลังจากที่ดวดมันไปหมดสามขวดตั้งแต่เมื่อหัวค่ำ
    ตอนนี้ผมนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ต่ออินเตอร์เน็ตไม่ได้…และตีสองสิบนาที….
    เคยสงสัยมั๊ยว่าเวลาเราห่างจากสิ่งอำนวยความสะดวกเราจะเหงาขนาดไหน
    เกิดคำถามขึ้นทันที สิ่งอำนวยความสะดวกนั้น คือ แค่ไหน ระดับไหน หรือ???
    บ้านกลุ่ม หรือ ทาวน์เฮ้าส์ ซื้อจากเจ้าของโครงการเฮงซวย ด้วยเงินกู้ และยังเป็นหนี้แบงก์อยู่จวบชาตินี้ไปจนชาติหน้า แม้ว่าบ้านมันจะแตกจะร้าว ยังไงก็อยู่ไปก่อน วันหนึ่งถ้ามันถล่มลงมาทับผมตาย เสียงก่นด่านี้คงหายไปหนึ่งเสียง ผมไม่บ่นด่าอะไรไปมากมาย
    ทุกต้นเดือนตัวแทนกรรมการหมู่บ้านก็มาเดินเก็บเงินค่าบำรุงรายเดือน ไม่ว่าผมจะนอนอุตุ (หลับอุตุ)อย่างไร เค้าก็ทำหน้าที่ได้ดีเสมอ จะกดออดเรียกจนแกตื่นมาจ่ายเงินได้แหละแกเอ๊ยยย….ต่อให้เมาหลับคุดคู้ยังไง เดี๋ยวตอนบ่ายชั้นมาอีก…ซื่อสัตย์อย่างยิ่งทุกต้นเดือน
    เงินนี้เท่าที่รู้ก็เอาไปจ้างยาม จ้างให้ไฟส่องถนนติด จ่ายค่าขนขยะด้วย นอกนั้นไม่รู้ละ
    ผมเคยรู้สึกเหงาๆอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อหมู่บ้านผมขาดเทคโนโลยี
    คนขายหมู่บ้าน ซึ่งพักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับผมนี่แหละ  เค้าเป็นคนพัฒนามันขึ้นมาขาย ส่งตัวแทนมาเป็นคณะกรรมการหมู่บ้าน เขาทำตัวเป็นเจ้าของหมู่บ้านอยู่ เหมือนคนอื่นมาอาศัย และเขาเป็นผู้ใหญ่บ้านทำนองนั้น ชอบมาเดินด่าชาวบ้านจอดรถเกะกะทาง (ที่รถมันจะผ่าน) ไม่สนใจแม่มหรอก….ผมไม่มีรถใหญ่ขนาดไปเกะกะทางมันได้….
    รู้สึกว่าจะมีกองทุนส่วนกลางของหมู่บ้าน มาจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนนี้ตั้งแต่ผมมาอยู่ใหม่ๆ
    อยู่ๆวันหนึ่ง เงินนี้ก็หมดไป ต้องเริ่มเก็บเงินจากผู้อยู่อาศัยมาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนกลาง
    พอเงินหมด ยามเฝ้าหมู่บ้านก็ไม่มี  ไฟถนนก็ดับไป เงียบเหงา และวังเวงยังไงไม่รู้
    ดาวเป็นดาว หิ่งห้อยเป็นหิ่งห้อย เห็นกันชัดดี  ท่ามกลางความมืดสนิทและนิ่งเงียบนั้น…
    พออยู่ๆกับความวังเวงไปซักพัก เข้าใจว่าลูกบ้านแถวนี้คงจะทนกับความเหงาไม่ไหว เลยยอมช่วยกันจ่ายเงินส่วนกลางเป็นรายเดือน  ส่วนรายที่ไม่จ่าย ผมไม่รู้เหมือนกัน เค้าคงมีเหตุผลของเค้า
    เรามียามเป็นของตัวเอง  และไฟฟ้าส่องสว่างดังเดิม
    แต่จะว่าไป ยามก็ไม่ได้เป็นของเราเองสักเท่าไหร่ ยามมีหน้าที่ขี่จักรยานตอนดึก วนไปวนมา และไล่ฆ่าหมาตามที่คนขายหมู่บ้านนี้สั่ง หมาตายไปหลายรุ่น ตั้งแต่ผมอยู่มา บางตัวผมเคยเลี้ยงมัน เคยเปิดบ้านให้มันเข้ามานอน เคยพาไปหาหมอเวลามันป่วย วันที่คนขายหมู่บ้านอารมณ์ป่วยขึ้นมา เขาก็สั่งยามจัดการกับหมาพวกนี้ แล้วผมก็ไม่ได้เห็นมันอีกเลย (ไม่ได้เห็นหมา…แต่คนใจหมายังพอได้เห็น…ยกเว้นคนขายหมู่บ้านกับยาม…พวกนี้ใจไม่หมา…เพราะบางทีใจหมาอาจคนละระดับกับเค้า….)
    ทุกวันนี้คนขายหมู่บ้านมีลูกเป็นของตัวเองแล้ว ถึงจะมีตาเหมือนคนสวนเล็กน้อย สีผิวคล้ายช่างก่อสร้าง และมีริมฝีปากเรียวงามประดุจยามรักษาการณ์กะกลางวันก็ตาม….
    แต่ก็เดาว่าเป็นลูกจากฝีมือของเค้าจริงๆ จมูกดูแหลมๆ หูตูบๆเล็กน้อย…ไม่นับรอยด่างรอยแต้มตามตัว  เผื่อโตมารอยนี้อาจจะหายไปได้…
    พอนึกว่า facilities ครบถ้วน ในที่สุดเราก็จะได้มีทาวน์เฮ้าส์ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใกล้เคียงกับมหานคร เว้นแต่หน้าฝน เวลาลมกรรโชกแรงๆ ไฟมักจะดับเป็นระยะๆ สร้างอารมณ์ ให้เหมือนหนังไทยตอนพระเอกอยู่กับนางเอกในกระท่อมร้างกลางสายฝน เดี๋ยวไฟก็ติดเดี๋ยวไฟก็ดับ  แล้วอารมณ์โรแมนติคก็เกิดขึ้น….
    แต่แถวนี้ดับแล้วดับเลย เห็นหน้ากันอีกทีตอนช่างซ่อมไฟเสร็จ
    เบียร์หมดไปกระป๋องหนึ่งละ
    จากสถิติประชากรประจำสองปี  หมู่บ้านที่ผมอยู่มีอัตราการเกิดสูงกว่าหมู่บ้านอื่นๆ ในละแวกเดียวกันเล็กน้อย…  “ชาวบ้านแถวนี้ว่าง…และมีโอกาสโรแมนติด…ติด…”  ผมนึก…เงียบๆของผมคนเดียว…
    “โรมันอาจจะติด หรือไม่ติดก็ไม่รู้  รู้แต่ว่ามันน่าจะติดบ่อยกว่าบ้านอื่นเค้า….”
    หน้าร้อน  ฝนหลงฤดูมาทำร้ายผม
    ซู่ซ่า…ซู่ซ่า…กรรโชกมาแป๊บเดียว….ไฟดับ….
    คืนนั้นตีสอง…..อากาศก็ร้อนนรกเรยยยย…
    ผมใช้พัดโบกแทนพัดลมจนหมดแรงตอนหกโมงเช้า….
     ถ้าเป็นสมัยที่อยู่บ้านนอก บ้านผมอยู่ใกล้ทุ่งนา ไม่มีไฟฟ้า ไม่มียามมาเดินเฝ้า หมากับวัวไต้ถุน คอยเฝ้าเราไว้จากสิ่งที่เขาตื่นเต้นตามสัญชาติญาณอยู่แล้ว…
    อากาศร้อนมาก…เราเปิดฝาบ้านไว้ ลมก็พัดผ่าน…หน้าร้อน แค่เอาผ้าห่มออกจากตัว  ก็เย็นสบายเพียงพอ…
    เลี้ยงไก่ไว้ไต้ถุนบ้าน…ไม่ต้องรอต้นเดือน  ไก่ไม่กดออด ไม่เก็บเงินค่าส่วนกลาง…แต่ไก่ขันปลุกให้รู้…ว่าพระอาทิตย์กำลังจะมา…ในทุกๆเช้า…แล้วเราก็ตื่นไปทำงาน
    ไก่ไม่ตามมากดออดในตอนบ่ายด้วย….เพราะมันจะไม่ว่างตอนนั้น…
    ปล.คนกดออดเรียกค่าส่วนกลางอาจไม่ได้มีชื่อคล้องจองกับไก่…เพียงแต่วิถีคล้ายกันเล็กน้อย
    หลังจากไก่ประจำหมู่บ้านมาปลุกผมในบ่ายวันหยุด….ผมไม่ตื่นมาทำงาน แต่เอาเงินให้เขาแทน แล้วไปนอนต่อ….
    “เงินของเราที่ให้เค้าไปมีส่วนไปช่วยฆ่าหมาแถวบ้านเรารึเปล่าวะ…”  ผมคิดแว่บหนึ่งก่อนนอนหลับ


    จากคุณ : สมชาย - [ 22 ก.พ. 47 06:42:25 A:203.107.203.154 X: ]