เทพนิยายของเจ้าชายตาบอด

    เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกที่หัดแต่งและเขียน ถ้าทุกคนมีคำแนะนำ ติชม จะขอรับไว้เต็มที่และเต็มใจค่ะ กำลังคิดว่าเรื่องอย่างนี้มีคนแต่งไว้บ้างหรือยัง (knk_natsha@yahoo.com)

    =====================

    ถ้าคุณได้เจอเจ้าหญิงเงือกเป็นใบ้ ในขณะที่คุณเป็นเจ้าชายตาบอด…

    คุณคิดว่านิยายเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร…

    ====================

    เสียงคลื่นซัดหาด…

    เปลวแดดตอนเที่ยงวันร้อนจนเผาน้ำทะเลให้ระเหยกลายเป็นไอ แล้วพระพายก็พัดกลิ่นเกลือเข้ามาต้องปลายจมูกโด่งได้รูปของคิมหันต์

    กลิ่นเกลือและเสียงคลื่นทะเลของประจวบคีรีขันธ์แห่งนี้ทำให้ชายหนุ่มระลึกได้ถึงภาพในความทรงจำ ว่าเมืองเล็กๆ อย่างประจวบคีรีขันธ์ มีถนนราดยางอย่างดีขนาบไปตลอดความยาวของทะเล ถ้าหากเขาพักอยู่ในบังกะโลริมทะเล เมื่อมองออกไปทางหน้าต่าง ข้ามถนนราดยางเลียบชายหาดไปที่ท้องน้ำสีเขียวเขาก็จะเห็นเกาะเล็กๆ 3 เกาะที่เคยนั่งเรือไปตกปลาที่นั่น แต่ตอนนี้…แม้ว่าเขาจะออกจากบังกะโลมานั่งที่ร้านขายอาหารตรงข้ามกับชายหาด พยายามมองหาเกาะแก่งในท้องน้ำกว้าง หรือพยายามเหลียวไปทางขวามือเพื่อหาสะพานปลาที่ทอดตัวยาวลงไปในน้ำ เขาก็มองไม่เห็นอะไรเลย…นอกจากสีดำหลังม่านตา

    ประจวบคีรีขันธ์ตอนกลางวันสำหรับเขาคราวนี้มืดมาก รอบข้าง…มีเสียงพูดคุยกัน มีเสียงคนสั่งอาหารเป็นข้าวมันไก่ 1 จาน 2 จาน…แต่เสียงผู้คนเหล่านั้นก็ค่อยๆ ถูกกลืนหายไปในความมืดอันสงัด เหลือเขาเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ท่ามกลางความมืดนั้น โดยรอบข้างไม่มีใครสักคน

    “เฮ้ยหันต์ไปเล่นน้ำกัน!”

    เสียงของธราดลที่พุ่งเข้ามาสู่โสตประสาทพร้อมแรงหนักหน่วงจากฝ่ามือที่ฟาดเข้ากลางหลังทำให้คิมหันต์ถูกดึงออกจากความมืดที่ลึกมากอย่างฉับพลัน แต่เมื่อเขาหันไปมองตามเสียงเรียกเขาก็ยังพบว่าทุกอย่างยังคงมืดมิดอยู่ดี ไม่มีแม้ใบหน้าคมสันของเพื่อนรักที่ชื่อธราดล ทั้งที่อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง

    “…พวกนายไปกันเถอะ เราจะรออยู่ที่ร้านนี้แหละ” ชายหนุ่มตอบ

    ดาหลา…หญิงสาวหน้าตาสะสวย ท่าทางเป็นหญิงสาวทันสมัยส่งเสียงเล็กๆ ออดอ้อนของเธอแทรกเข้ามาบ้างเป็นเชิงต่อว่า

    “อะไรกันคะหันต์ พวกเราอุตส่าห์พาคุณมาเล่นน้ำทะเลพักผ่อนอย่างที่คุณชอบมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย คุณไม่ลงไปได้ไงกันคะ”

    “แต่…ผมไม่อยากเป็นภาระให้ ไปกันเถอะผมอยู่ตรงนี้ได้”

    “โธ่ไอ้หันต์ อะไรวะ ไปเถอะว่ะ พวกข้าตั้งใจพามาเล่นเต็มที่นะเว้ย!”

    ประพจน์ตรงเข้ามาฉุดเขา แต่พอคิมหันต์โดนดึงให้ลุกขึ้นเขาก็ทำไม้เท้ายาวสำหรับคนตาบอดหลุดจากมือ ไม้เท้าที่ทำจากแสตนเลสตกลงกระทบพื้นหินขัดเงาของร้านอาหาร คิมหันต์ได้ยินเสียงของมันชัดมาก อุปมาเหมือนวูบนั้นมีแต่เสียงไม้เท้าของเขาที่ดังขึ้นในความมืดอันเงียบงัน

    มันดัง แกร๊ง! แกร๊ง! …อยู่ 2 ครั้งก่อนจะกลิ้งไกลออกไป

    “เฮ้ย! โทษทีว่ะหันต์” ประพจน์รีบวิ่งไปเก็บมันเอามาให้เพื่อน

    คิมหันต์นึกถึงใบหน้าผอมๆ ใส่แว่นสายตาของประพจน์กำลังยิ้มเจื่อนๆ ขึ้นมาได้ในทันใด เขาบอกเพื่อนว่าไม่เป็นไรและคะยั้นคะยอให้ไปเล่นน้ำพร้อมคนอื่นๆ ดาหลากระเง้ากระงอดอีกเล็กน้อยก่อนจะประชดเขาด้วยการชวนธราดลตรงไปที่ทะเล

    และแล้วความมืด และเงียบ…ก็กลับมาเยือนเขาอีกครา

    ครืน…

    เสียงคลื่น…

    คิมหันต์ได้ยินเสียงคลื่น และเสียงพูดคุยกันในร้านอาหาร ป้าขายข้าวมันไก่ในร้านกระซิบกระซาบกับลุงที่กำลังสับไก่ว่า ‘นั่งเกะกะจริงๆ’

    เขาได้ยิน…จริงสิ ตั้งแต่เจออุบัติเหตุที่ทำให้เขาเสียตาไปเขาก็กลายเป็นคนหูดีขึ้นมา กลายเป็นคนพิการที่ใครๆ ก็ไม่ต้องการแม้แต่ดาหลาที่เป็นคนรัก เพราะเธอกำลังจะตีจากเขาไปหาธราดล

    ธราดล…เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยของคิมหันต์ เป็นคนที่เรียกได้ว่ารูปงามเหมือนเจ้าชายที่กล้าหาญดุดัน คิมหันต์เองแม้จะเป็นคนที่จัดว่าหน้าตาดีน่ามอง แต่ถ้าเทียบกันแล้วเขาก็คงเป็นเจ้าชายที่เอาแต่ทำงานดูแลบริษัท ว่างก็วาดรูปอยู่แต่ในสวนบ้าน ไม่ได้รู้เลยว่าดาหลาแอบไปมีใจให้เจ้าชายต่างเมือง

    คิมหันต์รักดาหลามากเพราะเธอเป็นรักแรกของเขา เธอเป็นหญิงสาวที่สวย ผมหยิกเป็นลอนยาวรับกับใบหน้ารูปไข่ที่ประดับด้วยเครื่องหน้าอันได้แก่ ริมฝีปากบางเป็นกระจับ จมูกไม่โด่งมากแต่เชิดขึ้นทำให้ดูเป็นคนรั้น และดวงตากลมโตนั้นก็มีแววเฉลียวฉลาดอย่างสาวยุคใหม่ ไม่ปิดบังความคิดในใจ แม้แต่แววตาที่บอกว่าเธอพึงใจธราดล
    เมื่อก่อนเขายอมตาบอดเพราะรัก…ไม่มองความจริงที่อยู่ในดวงตาของเธอคู่นั้น ให้ทุกอย่างที่เธออยากได้ ไม่ว่ารถ เสื้อผ้า หรืออะไรก็ได้ที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน แต่เมื่อเขาตาบอดเข้าจริงๆ …เธอก็กลายเป็นคนที่เขาไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินอีกต่อไป

    วันหนึ่ง…เขาได้ยินดาหลากับธราดลพร่ำพรอดคำรักกันอยู่ที่ชั้นล่าง ในขณะที่เขานอนพักฟื้นอยู่ในบ้านชั้นบน เธอบอกธราดลเพื่อนรักของเขาว่าเธอรักธราดล แต่ไม่รักเขาที่เห็นทุกอย่างซื้อหามาได้ด้วยเงินแต่ไม่มีหัวใจไว้คอยใส่ใจใคร

    เขาไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงคิดอย่างนั้น ในเมื่อตลอดมาเขาไม่เคยบอกปัดทุกสิ่งทุกอย่างที่เธออยากได้ เขาเองก็มีแต่เงินที่จะช่วยให้เธอรู้สึกดีใจ ทำให้เธอยิ้มแย้มได้ หากมันก็ไม่เป็นอย่างที่เขาเคยเข้าใจเลย…

    ตอนนั้น…เขาอยากจะเอาอะไรสักอย่างทะลวงใส่หูตัวเองที่มันบังอาจได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน ว่าดาหลาคิดจะทิ้งคนพิการอย่างเขาไปอยู่กับธราดล

    โลกที่มืดอยู่แล้วในครานั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกลอยกลับหัวอยู่ในกล่องสีดำ เขาอยากจะตกลงไปข้างล่าง หรือลอยขึ้นข้างบนก็ได้สักทางแต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น ดาหลากับธราดลยังคงปฏิบัติตัวกับเขาเหมือนเดิมทุกอย่าง กระทั่งชวนออกมาเที่ยวทะเลที่เขาชอบมากพร้อมเพื่อนอีกหลายคน

    ความรักของเขาไม่มีอีกแล้ว…มันหมดไปแล้วและเหลือเพียงไม้เท้าให้เขาถืออันเดียว

    คิมหันต์ทรงตัวขึ้นยืนแล้วเดินออกจากร้านอาหารเพราะป้าขายข้าวมันไก่ไม่ชอบให้เขานั่งอยู่ตรงนั้น เมื่อออกมากลางแจ้งได้ก็เลี้ยวขวาแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ โดยใช้ไม้เท้านำทาง เขามองไม่เห็นแม้แต่แดดที่ร้อนจนเผาเขาว่ามันสว่างสักแค่ไหน ไม่เห็นแม้แต่ถนนหนทางที่กำลังเดินไป คลำไม้เท้าไปข้างหน้าจนกระทั่งสัมผัสได้ถึงขอบถนนราดยางมะตอย…

    คิมหันต์ไม่รู้หรอกว่าเขาเดินมาจากที่เดิมไกลแค่ไหน รู้แต่ว่าตลอดถนนเลียบชายหาดของประจวบคีรีขันธ์นั้นมีพื้นที่กว้างสำหรับรถวิ่งสวนกันได้ 2 คัน และถ้าเขาข้ามมันพ้นเขาก็จะถึงชายหาดกับทะเล

    ดาหลาเข้าใจถูก…เขาชอบทะเล

    ทะเลในความทรงจำของเขานั้นเป็นสถานที่ที่ก่อให้เกิดเรื่องหลายอย่างขึ้น แม่กับพ่อที่ตายไปแล้วบอกว่าเขาเกิดบนเรือสำราญกลางฤดูร้อนจึงถูกตั้งชื่อว่าคิมหันต์ ตอนเด็กๆ เขาชอบเล่นน้ำทะเลมาก ชอบคลื่นสีขาว โตขึ้นเขาก็ยังชอบมาทะเลทุกครั้งที่มีเวลาว่าง

    ครั้งหนึ่งเขาเคยเล่นเรือใบแล้วเรือคว่ำ ขาเป็นตะคริวจนว่ายน้ำไม่ถนัดแต่ดีที่มีคนช่วยเอาไว้ทัน อีกครั้งเขาก็ล่องเรือออกไปจับปลาแล้วพลัดตกลงไปกลางดงแมงกระพรุนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาก็รอดกลับมาได้ เขาไม่เคยเกลียดทะเลที่ทำให้เขาพบอันตรายเพราะทะเลทำให้เขาพบมิตรภาพที่เกิดจากการช่วยเหลือกันมากมาย มันจึงเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจซึ่งเขามักจะมาหามันทุกคราเวลาที่มีปัญหาส่วนตัว

    หากแต่เวลานี้…ปัญหาส่วนตัวของเขามันหนักมาก หนักเกินกว่าที่ทะเลจะช่วยเขาได้ แม้ทะเลจะยังคงชัดเจนในความมืดมิดหลังม่านตาของเขาขนาดไหน มันกำลังรอคอยให้เขากลับไปเพียงไรเขาก็ยังเจ็บปวดที่มองไม่เห็นมัน

    คิมหันต์อยากไปสัมผัสน้ำเย็นๆ ที่พวกดาหลาพากันลงไปดำผุดดำว่ายแต่เขาก็ไม่อยากให้พวกนั้นสงสาร คอยมาช่วยพยุงเวลาเขาเล่นน้ำ เขาเกลียดความคิดที่มองเห็นสายตาของเพื่อนๆ ยามที่มองมายังเขาอย่างเวทนานัก คิดถึงภาพเหล่านั้นครั้งใดเขาก็อยากจะพุ่งเข้าไปบีบคอ ทำร้าย หรืออาละวาดให้สาแก่ใจ แต่เขาก็ทำไม่ได้จนอึดอัด

    หลายครั้งที่คอยถามกับลมกับฟ้าว่าทำไมต้องเป็นเขา ให้อุบัติเหตุคราวนั้นคร่าชีวิตเขาไปเสียดีกว่าต้องให้อยู่ในโลกอันมืดมิดทรมาน กลายเป็นคนพิการและต้องรับรู้ว่ากำลังจะสูญเสียคนรักกับโลกอันสวยงามไป

    คิมหันต์เดินขึ้นไปบนขอบถนนช้าๆ โดยไม่เหลือความอาลัยอะไรให้โลกใบนี้ เขาได้ยินเสียงรถวิ่งตรงเข้ามาจากทางขวาแต่เขาก็ยังยื่นไม้เท้าออกไปข้างหน้าและเห็นแเต่เพียงภาพท้องทะเลเบื้องหน้าในความทรงจำ

    ปี๊น!

    เสียงแตรรถดังก้องและใกล้หูเขามาก รถคันนั้นกำลังวิ่งเข้ามา…ถ้าเขาขยับไปข้างหน้าอีกนิดก็จะขวางทางรถวิ่ง  

    คิมหันต์จับไม้เท้าแน่นเข้าและสั่นน้อยๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นแต่มันก็ไม่เร็วเกินไปที่จะหักห้ามมัน ความมืดหลังม่านตาทำให้เขากลัวน้อยลง เขาไม่รู้ว่าจะเจ็บหรือเปล่าเวลาที่ตัวเขาลอยขึ้นเมื่อถูกปะทะ แต่เขาก็ทำใจไว้แล้วว่ามันน่าจะเจ็บไม่มาก เพราะขนาดตอนพบอุบัติเหตุเมื่อ 3 เดือนก่อนเขายังตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ากำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาลโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย

    ชายหนุ่มก้าวขึ้นไปบนถนนลึกขึ้นในขณะที่คิดอย่างนั้น แต่แล้ว…ก็มีมือเรียวเล็กมือหนึ่งกระชากแขนเขาให้ถอยลงจากถนน แล้วเสียงรถขนาดกลางคันหนึ่งก็วิ่งผ่านหน้าเขาไปด้วยความเร็ว

    คิมหันต์รู้สึกเสียดายและโล่งอกในคราวเดียวกัน เขาสะบัดมือที่ช่วยเขาไว้อย่างโกรธๆ แต่มือนั้นก็จับต้นแขนเขาอีก
    ชายหนุ่มสะบัดมือนั้นทิ้งอีก ตอนนั้นเอง…มีเสียงของผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลัง แต่เสียงนั้นไม่ได้พูดกับเขา

    “อย่าไปจับแขนเขารตี ถ้ารตีจะพาคนตาบอดข้ามถนนเราจะต้องให้เขาจับต้นแขนเราแล้วเราค่อยพาเขาข้ามถนน”

    รตีราวัน…เด็กสาวที่ทำให้คิมหันต์รำคาญหยิบมือซ้ายที่ว่างของเขาให้จับต้นแขนเธอ ทีแรกชายหนุ่มจะไม่จับเธอแต่เสียงของหญิงวัยกลางคนผู้นั้นก็ดังขึ้นอีก

    “จับเถอะค่ะคุณ รตีเขายกมือไหว้ขอโทษคุณแล้วนะ เขากำลังพูดภาษามือว่า ขอโทษที่ไม่ทราบว่า…ต้องให้คุณจับแขน”

    ภาพเลือนรางของเด็กสาวผมสั้นผิวคล้ำแดดคนหนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นมาหลังม่านตาของคิมหันต์ทันที เขาเห็นภาพตัวเองกำลังหงุดหงิดใส่คนใบ้คนหนึ่งที่อยากจะช่วยเขาอย่างเต็มใจ

    ใช่ ความจริงเขาหงุดหงิดตัวเองต่างหากที่ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ เขาไม่แคร์เลยว่าตัวเองจะโดนรถชนตายในขณะที่พิการ แต่รตี…เด็กใบ้คนนี้ก็ยังพยายามช่วยเขาอีก ทั้งที่เธอน่าจะหงุดหงิดที่เขาแสดงอาการถือตัว

    เธออาจจะอายุราว 14-15 ซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกประหลาดที่เขามั่นใจอย่างนั้น แต่ความสงสัยก็หายวับไปพลันเมื่อเธอดึงเขาขึ้นไปบนถนนช้าๆ และมีเสียงรถยนตร์คันหนึ่งแล่นใกล้เข้ามา คิมหันต์ยืนอยู่ใกล้เธอได้สักพักรถยนตร์คันนั้นก็วิ่งผ่านเขาไป รตีราวันจึงพาเขาข้ามไปที่หาดทราย
    ครั้นเท้าของชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าตนกำลังเหยียบย่างลงบนพื้นทรายเขาก็ค่อยๆ เดินตรงเข้าไปที่ทะเลโดยไม่ยอมปล่อยมือจากรตี

    ซ่า…

    คลื่นซัดโดนปลายขา คิมหันต์เห็นภาพพรายฟองสีขาวสะอาดที่กำลังโลมเลียอยู่ปลายขาของเขา มันพุ่งขึ้นจากทะเลโอบล้อมขาของเขาด้วยสัมผัสที่เย็นจัดจนสะดุ้งวาบ มันช่างหนาวเย็นและมืดดำเหลือเกินแม้เขาจะมองไม่เห็นมัน

    เขาไม่มีวันจะมองเห็นมัน…นับจากนี้และตลอดไป

    คิมหันต์ทรุดตัวลงนั่งช้าๆ แล้วปล่อยมือจากรตีราวัน เขาได้ยินแต่เสียงคลื่นที่ซัดสาดกับเสียงร้องไห้อย่างอัดอั้นของเขาในทะเล

    มือน้อยๆ ของเด็กสาว…หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาให้เขา คิมหันต์ร้องไห้กับเธออย่างหมดอาย ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมาเขาได้แต่ตกใจที่ถูกทิ้งให้อยู่ในความมืดอันเดียวดาย ไม่มีใครอยากได้เขาแล้ว เขาไม่อยากอยู่ต่อไป แต่ความอ่อนแอก็ไม่ได้ช่วยทำให้เขาสามารถฆ่าตัวตายได้เลย


    (มีต่อค่ะ)

    จากคุณ : กนกณัชชา - [ 22 ก.พ. 47 09:17:53 A:203.150.192.17 X:192.168.4.24 ]