Diary of a madman (ผู้แพ้ 1)

    คำเตือน

    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ห้ามมิให้เด็กอายุต่ำกว่า 40 ขวบอ่านโดยไม่มีผู้ปกครองควบคุม โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะต้องโทษตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด

    +++++++++

    Diary of a madman (ผู้แพ้)

    อากาศตอนบ่ายร้อนและอบอ้าวจนอยากจะบ้า แต่จิตแพทย์วัยกลางคนซึ่งนั่งเพียงลำพังในห้องทำงานหรูหราชั้นสามของตึกใหญ่ไม่มีสิทธิ์บ้า เพราะกฏหมายข้อหนึ่งบังคับว่า ห้ามไม่ให้จิตแพทย์บ้าโดยเด็ดขาด เพราะจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่จิตแพทย์รุ่นน้อง ถ้าฝ่าฝืนต้องโทษคดีอาญา ทั้งจำนำทั้งปรับ

    เมื่อบ้าไม่ได้เขาจึงนั่งอ่านบันทึกของคนไข้ทางจิต ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการให้คนไข้เขียนเรื่องราวอะไรก็ได้มาให้อ่านกัน โดนนัยว่าเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาและงานวิจัย อีกนานกว่าจะถึงเวลานัดพบกับอาหารเย็น เขาจึงพลิกสมุดบันทึกของคนไข้คนหนึ่ง อ่านอย่างช้าๆเพราะไม่ได้รีบร้อนแบบจะรีบไปตายที่ไหน

    ++++++++++++

    ผมจำตัวเองไม่ได้

    อย่างน้อยผมก็ไม่รู้ว่าผมชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ทำไม อย่างไร เมื่อไร แต่เท่าที่รู้มีพวกแพทย์และพยาบาลมาดูอาการผมเป็นสม่ำเสมอ พวกหมอผมไม่สนใจเท่าไรหรอก สนใจพวกพยาบาลมากกว่า แต่ละคนน่ารักทั้งนั้น น่ารักขนาดว่าต่อให้ถูกฉีดยาจนตายคาเข็มก็ยอม แต่ถ้าพวกหมอมาฉีด มันต้องมีเรื่องฟาดปากการบ้างล่ะ

    สองวันก่อนพวกเขาบอกว่าผมอาการดีขึ้นมากแล้ว อีกไม่นานคงสามารถกลับไปอยู่ในสังคมได้อย่างคนปรกติ แต่ต้องมีการทดสอบอะไรอีกหลายๆอย่างที่ฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ

    “คุณต้องฝ่าด่าน 18 มนุษย์ทองคำ ออกไปให้ถึงหน้าตึก เราจึงจะปล่อยคุณกลับบ้าน”

    คุณหมอหนุ่มคนหนึ่งบอกด้วยใบหน้ากวนๆ ขณะที่พยายามถอยออกไปให้พันจากรัศมีเท้าของผม เจ้าหมอคนนี้ไม่ค่อยถูกชะตากับผมมากนัก เพราะว่ามันหล่อเกินกว่าเหตุ  หมอมีสิทธิอะไรจะมาหล่อเกินหน้าเกินตาคนไข้จนป่านนี้ โลกนี้ไม่มีความยุติธรรมเลยจริงๆ

    “ด่าน 18 มนุษย์ทองคำ เป็นการทดสอบว่าคุณพร้อมที่จะอยู่ในสังคมได้หรือไม่ ถ้าคุณไม่ผ่านคุณต้องกลับมารักษาตัวอีกครั้ง”

    ตอนแรกผมไม่ยอมหรอก หนอย... มันเรื่องอะไรจะให้คนไข้ฝ่าด่านมนุษย์ทองคำ ไม่ใช่หนังจีนสักนิด แต่พวกหมอใช้วิชาสะกัดจุดชา โยนผมเข้าไปในประตูแห่งด่านแรกอันหฤโหดข องด่านทดสอบจนได้

    ประตูเหล็กหนาด้านหลังปิดโครมลงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ผมกลิ้งตัวไปตามพื้นด้วยความหวาดระแวงว่าจะมีอาวุธลับหรือลูกธนูพุ่งออกมาจากผนัง หลังจากหมอบราบคาบแก้วอยู่ครู่หนึ่ง แน่ใจว่าไม่มีอะไรบ้าๆแบบนั้นแน่ จึงค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ

    ด่านแรกเป็นห้องโถงกว้าง ไม่มีหน้าต่าง มีแต่ทางออกกับทางเข้าเท่านั้น แต่เพราะความที่ตกใจไปบ้าง เลยทำให้ไม่แน่ใจว่าประตูบานไหนที่เป็นทางออก  แต่ทางไหนจะออกจะเข้าก็ช่างหัวมันเถอะ เพราะความสนใจของผมตอนนี้อยู่ที่ทีวีจอแบนติดผนัง ซึ่งขนาดของมันใหญ่โตจนแทบกินพื้นที่ทั้งหมดของผนังด้านนั้น โซฟาน่านอนตัวหนึ่งเลื่อนขึ้นมาจากพื้นราวมายากล เชิญชวนให้ไปนั่งนอนเล่นอย่างยิ่ง

    “ด่านแรก คุณต้องทนดูทีวีในห้องนี้จนครบหนึ่งวัน”

    เสียงของหมอหน้ากวนดังแว่วมาจากผนัง คงมาจากลำโพงฝังผนังแห่งใดแห่งหนึ่ง

    “คุณอาจไม่ทราบว่าทุกวันนี้ ทีวีกลายเป็นปัจจัยหนึ่งของคนไปแล้ว”  คุณหมอว่าไปเรื่อยๆ
    “ดังนั้นคุณจะต้องปรับตัวให้ได้ ต้องหัดดูทีวี ฟังวิทยุ ให้เป็น พอๆกับที่คุณกินข้าวดื่มน้ำเป็น เพราะสิ่งเหล่านี้มีความจำเป็นพอๆกับสารอาหารทั้ง 5 หมู่ คุณจะดูช่องไหนก็ได้ รีโมทอยู่แถวๆโซฟานั่นล่ะ มีปัญญาหาเองครับ แต่ห้ามปิด ถ้าปิดคุณแพ้ทันที”

    ดูทีวีวันเดียว...ผมหัวเราะในใจ
    มันกระจอกมาก ไม่สมกับเป็นด่านมนุษย์ทองคำเลย แบบนี้เด็กอนุบาลหมีน้อยก็ทำได้

    ผมยิ้มหวานใส่อากาศสองที ก่อนก้าวเดินไปนั่งลงบนโซฟานุ่มก้นอย่างสบายใจ หยิบรีโมทที่มีปัญญาหาเจอ มากดเลือกช่องมั่วๆ

    ช่องแรกเป็นช่องแปดสี ทีวีเพื่อเงิน ดูเหมือนกำลังจะเริ่มเรื่องละครช่วงบ่ายพอดี  เห็นตัวหนังสือขึ้นแว่บๆแต่ไม่ทันได้อ่านว่าเรื่องอะไร ทั้งๆที่จำอะไรไม่ได้ ผมดันทะลึ่งนึกออกว่าเรื่องนี้มันนำมา สร้างใหม่เป็นครั้งที่ แปดแสน แล้วนี่นา  สร้างบ่อยขนาดคนความจำเสื่อมยังจำได้ คิดดู...ประเภทบ้านทรายท้อง หรืออะไรนี่ล่ะ ไม่แน่ใจ..อะไรจะขนาดนั้น

    นั่นผู้หญิงสองคนกำลังเถียงกัน ดูปุ๊บก็รู้ปั๊บเลยว่าใครเป็นนางเอกนางร้าย เพราะที่ที่อกเสื้อเขียนบอกไว้ชัดเจนว่า “นางเอก” และ “นางร้าย” ไม่ต้องตั้งสมมุติฐานให้เสียเวลา

    “ต๊ายตาย....แกจะแย่งคุณชาย ไปจากฉันเหรอ.....”

    นางตัวโกงตวาดแว๊ดจนแสบแก้วหู ใบหน้าบูดเบี้ยว ตาเหลือกตาโปนราวจะกินเลือดกินเนื้ออีกฝ่ายเป็นอาหารเย็นให้ได้

    “เปล่าค่ะ ...” นางเอกตอบเสียงเบาๆหวานๆ เพราะเป็นนางเอกไม่สามารถทำแบบนางร้ายได้

    “ยังมาเถียง ยัยหน้าด้าน ขอตบสักทีเถอะ นี่...”

    เพี๊ยะ !!!!!!

    “ว๊าย..”

    นางเอกอุทานแผ่วเบา กระเด็นไปติดข้างฝาทันที ส่วนนางร้ายเปลี่ยนบท หันมายิ้มกับท่านผู้ชมแบบแสนหวานปานน้ำผึ้งผสมน้ำตาลเทียม นัยน์ตายั่วยวนกวนอารมณ์ พลางบอกว่า

    “ตบนี้ได้รับการสนับสนุนจากเครื่องสำอางค์เอวอนค่ะ ตบแม่นตบทนนาน ต้องตบขณะที่ใช้เครื่องสำอางค์เอวอน และมิสซิสทีน”

    แนะ...ละครช่องนี้มีมุขตลกด้วยแหะ ผมนึกในใจ แหมนึกว่าจะเป็นละครเครียดๆเสียอีก

    ส่วนนางเอกค่อยๆแกะตัวเองออกมาจากข้างฝา สะอื้นกระซิกระริกไหว ภาพซูมเข้าไปที่ใบหน้าของเธอ ปราศจากริ้วรอยบอบช้ำแม้แต่น้อย

    เธอพูดไปร้องไห้ไป บอกอย่างสุภาพปนสะอื้นแผ่วว่า

    “ใบหน้าหนาด้านผ่องเป็นยองไยแบบนี้ เพราะหนูใช้สบู่ด็อกเตอร์มนโท มีส่วนผสมของน้ำมิ๊มกับมะละกอและผักกาดจอ โดนตบแค่ไหนก็ไม่กลัวค่ะ”

    “หนอย...ตายซะเถอะแก..นังพจมาร”

    นางร้ายเห็นดังนั้นรีบเปลี่ยนบุคลิกทันที ดึงมีดทำครัวออกมาจากไหนไม่ทราบเหมือนกัน ยกมีดชูไปมา ในขณะมุมกล้องหมุนไปรอบๆราวกับจะโชว์ความงามของเนื้อมีด

    “มีดนี้เป็นมีดยี่ห้อดีมีราคา...”

    เธอแสยะเขี้ยว อธิบายด้วยสีหน้าหะเอี้ยมเกรียม (กลัวเซ็นเซอร์)
    “เนื้อมีดเป็นโลหะผสมระหว่างเหล็กชั้นดีจากประเทศเยอรคุณ ผ่านการคลุกเคล้ากับนิเกิลและโครเมียม ในอัตราส่วนที่พอเหมาะ  หมักบ่มเป็นเวลานานจึงให้ความรู้สึกขณะแทงหรือเชือด นุ่ม ละมุนละม่อมละเมียดละไม มีคลาส รสดี รถโต  ลื่นคอ ..ใช้แล้วภาคภูมิใจ คนไทไม่ได้ทำเอง...”

    แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 47 17:10:28

    จากคุณ : Psycho man - [ 22 ก.พ. 47 17:03:53 ]