คนเมืองอยู่ป่า

    บทที่สอง

    ในหมู่บ้านของผมมีร้านขายของชำอยู่สามร้าน ส่วนใหญ่สินค้าที่ผมไปอุดหนุนเป็นประจำจะมีแค่ เบียร์ บุหรี่ และน้ำแข็ง
    ร้านแรก เราเรียกว่าร้านซิ้ม ปิดประมาณสามทุ่ม
    ร้านที่สอง เรียกว่าร้านเจ๊ ปิดประมาณสี่ทุ่มกว่า
    ร้านที่เหลือ เป็นมินิมาร์ทอยู่ริมถนน ไม่ปิด (ปิดเหมือนกันเวลาคนขายไปห้องน้ำจะล็อคประตูไว้แป๊บนึง  วันไหนโชคร้ายคนขายขี้แตกก็รอนานหน่อย)
    ว่ากันเป็นร้านๆไปเลยนะ
    ร้านซิ้ม จะมีอาซิ้มแก่ๆ กับลูกสาว (คาดว่าจะเป็นลูกสาวนะ) กับลุงคนหนึ่ง
    ซิ้มก็เคี่ยว ลูกสาวก็เคี่ยว แต่ลุงนี่คาดว่าเคี่ยวตามเจ้านายสั่ง
    ร้านนี้ก็เลยสรุปว่าเคี่ยวมาก
    เบียร์สามขวดร้อย  ถ้าวันไหนเบียร์ขึ้นราคาแกขึ้นด้วย ผลักภาระให้ผู้บริโภคอย่างเต็มภาคภูมิ
    เคยไปครั้งนึง สามขวดร้อยสิบสี่ บวกน้ำแข็งหกบาท  ร้อยยี่สิบพอดี….พกเงินไปร้อยหกบาทเลยโดนเลย….เซ็นไว้ก่อนนะ พรุ่งนี้เอามาจ่าย…
    เคยไปซื้อไข่ดิบครั้งนึง เลือกๆดูสองสามฟอง ซิ้มบอกฟองไหนก็เหมือนกัน ลื้อหยิบไปอั๊วก็ต้องมาเรียงใหม่ (คือเรียงขึ้นชั้นวางขายใหม่)
    “เอ่า…งั้นหยิบยังไงดีอ่ะซิ้ม”
    “ลื้อเอานี่ไป”  แกควักจากถุงก็อปแก๊ปที่ใต้โต๊ะมาให้
    “อั๊วเพิ่งไปเอามา…”
    เพิ่งไปเอามามันคงจะสดๆดีเนอะ ยังไม่ได้เรียงขึ้นไปบนชั้น  ผมรับตามที่ซิ้มหยิบให้อย่างว่าง่าย…
    พอเอาไปทอดเท่านั้นแหละแกเอ๊ยยยย…..
    กระทะตู…แช่น้ำเจ็ดวันกลิ่นจะหายหมดมั๊ยเนี่ย….ไข่ทั้งหลายทั้งปวงล้วนเน่าสนิท
    “ซิ้ม…ไหนบอกเพิ่งเก็บมา  ไข่เน่าหมดเลยเนี่ย….”
    “อั๊วม่ายรุ้…ลูกสาวอั๊วเอามาให้…”
    “อ้าวว….ซิ้มไม่ได้รับมาจากตลาดเหรอ…”
    “ลูกสาวอั๊วเอามาห้ายย…”
    มารู้ทีหลังลูกสาวซิ้มแกเพิ่งกลับจากฮ่องกง ไข่นั่นอยู่ในบ้านแกมาเกือบเจ็ดเดือน ไม่มีคนกิน  จะเรียกครึ่งปีก็ได้ฟังดูนานหน่อย

    ร้านที่สอง ร้านของเจ๊  ปกติไปซื้อของร้านนี้จะเจอเจ๊เป็นประจำ แกนั่งดูละครทีวีหลังข่าว กว่าจะจบก็สี่ทุ่มกว่าห้าทุ่ม แฟนแกก็นอนไปแล้ว  
    ร้านเจ๊นี่ยังถนอมน้ำใจนิดนึง พอเบียร์ขึ้นราคาจะส่งสัญญาณเตือนเล็กน้อย แต่ยังคงราคาเดิมไว้สักพัก รักษาน้ำใจลูกค้าดีมาก ยกเว้น….
    ร้านนี้ปกติเจ๊จะเป็นคนมาขาย แกอายุประมาณ สามสิบแก่ๆ ถ้าสี่สิบก็ต้นๆ เพราะท่าทางเจ๊จะใช้รีนิวไวทัลลิฟท์ ยกกระชับ…อะไรทำนองนี้ แต่แฟนแก ขับแท็กซี่เวลากลางวัน พอกลางคืนมาช่วยขาย….โคตรจะเคี่ยว…ไม่แพ้ร้านซิ้ม…
    ร้านนี้จะมีที่สูบลมแบบหยอดเหรียญ ตั้งไว้หน้าบ้าน  คาดว่าต้องเกิดจากความคิดของคนที่เคี่ยวพอสมควร ไม่งั้นไม่ปราดเปรื่องอัจฉริยะขนาดนี้  
    “สูบลูกบอลเหรอ  สองบาท…”
    “สูบยางล้อรถ…อ่ะ…สองข้างสามบาท…”
    “เอ่อ…ยางแฟ่บ ขอสูบลมหน่อยนะ…ยางอะไหล่ด้วยเผื่อไว้…” แท็กซี่ยางซึมมาส่งชาวบ้านจอดหน้าร้านแกก่อนจะออกไปผจญภัยต่อ
    “ลื้อหยอดซักสิบบาทอั๊วว่าน่าจะพอ…”
    “โอ๊ะ โอ๊ะ โอ…แล้วชั้นจะหนีไปไหน...” (แท็กซี่ฮัมเพลงนิโคล  ขณะขับรถออกจากหมู่บ้าน….)
    ท่าทางแฟนเจ๊คนนี้ไม่ได้หายใจด้วยอ็อกซิเย่น  ลมหายใจเข้าออกของแกคงเป็นอย่างนี้
    “เอาตังค์มา เอาตังค์มา เอาตังค์มา….”
    ตูเชื่อเลยว่าไอ่แท็กซี่คันนี้เก็บของใครได้ อย่าหวังจะได้คืนเลยเมิง….
    แค่เคี่ยวเล็กน้อยยังไม่พอครับทั่น…แกถือยศถือย่างด้วย…
    ใครเดินเข้าไปในร้านนี่ อย่างกับล่วงล้ำเข้าไปในวังหลวง  และมีฮ่องเต้นั่งอยู่แถวนั้นอยู่แล้ว….
    ทั่นเจ้าของร้านนั่นเอง….
    แฟนของเจ๊เป็นคนพูดจาไม่สนใจลูกค้าอยู่แล้ว (จะบอกพูดจาหมาไม่:-) กลัวจะเกินไป) ไปซื้อของเหมือนกับไปขอกับเขายังไงไม่รู้  สงสัยเป็นฮ่องเต้ราชวงศ์ งก งก งก ส่งมาเกิด ซื้อของเสร็จแทบต้องคารวะรับเงินทอนก่อนออกมา ไม่งั้นอาจโดนสั่งประหารได้ง่ายๆ  เฮ้อ…คนเรา…
    แต่โชคดี  ส่วนใหญ่เราไปซื้อของมักจะเจอเจ๊ ซึ่งใจดี  แต่มาอยู่กับไอ่ฮ่องเต้หลงยุคคนนี้ได้ไงไม่รู้…..

    ร้านสุดท้ายเปิดตลอด เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง ลูกจ้างก็เด็กสาวส่วนใหญ่….สัดส่วนใหญ่…
    มีหนุ่มๆมาจีบประจำ ไม่ค่อยอยากขายของ  อยากคุยกะคนที่มาเกาะเคาน์เตอร์มากกว่า ไอ้เราก็เบียร์หมดประจำเลย ตอนตีสอง
    หลังจากหมดไปสามขวด เลยเดินตุหรัดตุเหร่ไป ทั้งตู้แช่มีเบียร์ที่ได้รางวัลเหรียญทอง A.I.B.A. (ไอ่บ้า) อยู่สามกระป๋อง
    “เบียร์หมดค่า…วันนี้”  หันมาบอกเราแป๊บนึง หันไปคุยกะไอ้เกาะเคาน์เตอร์ต่อ…
    เอื้อมมือไปหยิบเบียร์เห็นราคา เฮ้ยย…แพงกว่าบิ๊กซี คาร์ฟูร์ โลตัส ท็อป ฟู้ดแลนด์ และเซเว่นอีเลฟเว่นอีกเหรอวะเนี่ย…  แถวนั้นขายกระป๋องละยี่สิบ  ร้านนี้ฉวยโอกาสยามวิกาลขายยี่สิบหกบาทเลย…
    แล้วแกซื้อมั๊ย…
    ก็ซื้อมานั่งกินไปเขียนไปนี่แหละ….
    การขาดแคลนบางสิ่งบางอย่างเวลาที่เราต้องการมัน ก็เป็นเรื่องเดือดร้อนอีกสิ่งหนึ่งของคนเรา
    เบียร์หมดไปอีกกระป๋องละ….กระป๋องละยี่สิบหกบาทด้วย…
    gimme the right thing on the right time….pls….
    การขาดแคลนบางสิ่งบางอย่างเวลาที่เราต้องการมัน จริงๆ…ก็เป็นเรื่องเดือดร้อนอีกสิ่งหนึ่งของคนเรา
    ขึ้นอยู่กับว่าต้องการมันจริงๆ  แค่ไหน….
    ………………………………….
    ความคิดขาดหายไปช่วงหนึ่ง แว่บ นึกถึง หมู่บ้านในป่า…
    เขาอยู่กันได้ยังไง ไฟฟ้าก็ไม่มี ทีวีไม่มีดู ตู้เย็นไม่มี…เบียร์เย็นๆก็ไม่มี…
    บูหรี่ไม่มีสูบ ลงแดงตายพอดี….
    เขาอยู่กันได้ยังไง…ไม่มีไมโครเวฟ…ไม่มีมาม่า…
    พอดึก อาทิตย์ก็ลับฟ้า….มืดๆ เงียบๆ…
    ปวดอี๊…ก็ไม่มีส้วม  ไม่มีสวิทช์ไฟให้กด…มีแต่ไฟฉายไปส่องๆ เอาที่เหมาะๆ…เย็นตูดมากด้วย….ถ้าถอดกางเกงออกในที่วังเวงขนาดนั้น……อย่าคิดถึงทิชชู่อันอ่อนนุ่มเหมือนสัมผัสรักของแม่หรืออะไร…เอาใบไม้เช็ดๆพอไม่เหนียวตูดก็พอใจละ…ถ้าเตรียมตัวมาดีก็มีไม้ไผ่ฝานบางๆไว้ปาด….ปาด…ค่อยปาดนะ เดี๋ยวบาดเอา….อย่านึกถึงว่ามีปุ่มปมปูดออกมาจากช่องน้อยปลายลำตัวนั้น…มันจะบาดเจ็บขนาดไหน….
    เสียงแมง และแมลงในป่าก็กรี๊ดกร๊าด กรี๊ดกร๊าด…
    ไม่มีแมงเม่าหลงแสงสีมาดิ้นพราดๆ อย่างอาร์ซีเอ….รอให้ใครมาเด็ดปีกผยอง หรือสักแต่มองหาคู่นอนแปลกปลอมยามสุดสัปดาห์…เพื่อเปลี่ยนรสชาดราคะแปลกปลอม….น่ารันทดสิ้นดี…และนี่…เนี่ย…มหานคร… นู่นน่ะ….ป่า…
    ไม่มีผับ เทค คาเฟ่ คาราโอเกะ ไม่มีเอี้ยอะไรเรยยย…..เงียบอิ๊บอ๋าย…..
    อยู่รอดกันได้ไงวะเนี่ย…..

    “เขาอยู่ มาได้แต่ สุโขทัย
    อโยธยา ธนบุรีไซร้ ไป-ถึงบางกอก…
    ราตรีใช่ เพียงเวลาร่ำ น้ำเมาหรอก…
    ฟ้ามืดเพียงบอก ถึงครา หลับไหลลง
    เช้าสิตื่น สิยืนยง ตื่นตามเช้า
    เร่งปลุกเร้า เข้าใจ ให้ทั่วหน
    ตนตื่นสิ เตือนกระเส่า หัวใจตน
    เป็นคน สิหยัดยืน ตื่นเข้าใจ
    หลอกให้ อ่านกลอนนี้ หรือมีเล่ห์
    หว่านเสน่ห์ โปรยปรัชญา ให้สั่นไหว
    แค่พึงพอ อ่านอิ่มเอิบ ซึมซับใน
    ดวงใจใหญ่ –เล็กล้วนสิ พิจารณ์เอง”

    จากคุณ : สมชาย - [ 24 ก.พ. 47 01:00:31 A:203.107.202.28 X: ]