=[+] ฉิกจับอิด [+]= นิยายจีนร่วมแต่งแนวทดลอง : ตอนที่ 36 คำกล่าวอ้างของพยาน

    sed leaw but num หก ใส่ คอม ช๊อต tua nung su hai ไป lai tua yang tee hen

    ja โพสต์ ให้ แต่ ard ja mai d เท่า ที่ ไหร่

    net ที่ทำงารก็jeng ^^"

    *****************



    “พวกเรามิมีหลักฐานอันใด แต่ทั้งหมดสามารถยืนยันได้ว่าเป็นการกระทำของพรรคฉิกจับอิด” โจวเอินผิงกล่าวพลางก้าวออกมา เผยให้เห็นสารรูปที่รกรุงรังไปด้วยขนที่ปกคลุม ดูไปคลับคล้ายกับวานรมากกว่ามนุษย์

    “ในเมื่อมิมีหลักฐาน เหตุใดพวกท่านจึงมั่นใจเช่นนี้?” หลิวหยงเคอสอบถามบ้าง

    “เนื่องเพราะพวกเราล้วนเป็นผู้ประสบเหตุ!” เจียงเจ๋อตุงแห่งพรรคจวักธรณีกล่าวออกมาบ้าง

    “อะไร!!! พวกท่านอยู่ในเหตุการณ์สังหารหมู่ครานี้!!!” หลิวหยงเคออุทานออกมาอย่างแตกตื่น รวมถึงเหล่าจอมยุทธใหญ่น้อยที่พากันอุทานเซ็งแซ่

    “หามิได้ พวกเรามิได้อยู่ในคดีสังหารหมู่ หากแต่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง” ลามะหูกล่าวบ้าง

    “อันใดกัน นอกจากเรื่องนี้ ยังมีเหตุการณ์อื่น?” คราวนี้ผู้พูดเป็นชายชราหนวดเคราขาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้างดงาม ปักทออย่างประณีต ในมือยังสวมแหวนหยกเม็ดโตเท่าผลลำใย แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มั่งคั่ง

    คนผู้นี้เรียกว่า “เฒ่ามากวาสนา” คนผู้หนึ่งจะเรียก “มากวาสนา” นั้นต้องมีคุณสมบัติเช่นไร

    ร่ำรวยเงินทอง? มากด้วยบริวาร? บ้านช่องใหญ่โต? หากเพียงแค่นี้สามารถเรียกว่ามากวาสนา ในร้อยคนน่ากลัวมีผู้  “มากวาสนา” อย่างน้อยเก้าคนสิบคน

    แล้วเป็นเช่นไรจึงสามารถเรียกว่า “มากวาสนาเล่า?”

    “เฒ่ามากวาสนา” เดิมทีมิได้เรียกขานเช่นนี้ ทั้งในเยาว์วัย มิเพียงกำพร้าพ่อแม่ ยังยากจนข้นแค้น ต่อมาเมื่อเติบใหญ่ก็เป็นเพียงกุลีคนหนึ่ง จนเมื่อมันอายุได้สี่สิบเศษ โชคชะตาพาพลิกผัน มันซึ่งเป็นกุลีโดยสารเรือใหญ่ไปกับเหล่าพ่อค้า พร้อมด้วยสินค้าจำนวนหนึ่ง เรือใหญ่บังเอิญประสบกับพายุร้าย ในที่สุดเรือทั้งลำถูกกลืนหายไปในทะเลใหญ่ มันก็เป็นคนหนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้นที่หายสาบสูญ

    ทว่าหลังจากนั้นสามเดือนเศษมีคนพบมันอีกครั้ง มันในเวลานั้นได้เรียกว่า “เฒ่ามากวาสนา” แล้ว!!!

    ทั้งนี้เพราะมันเป็นเพียงผู้เดียวที่รอดจากพายุร้าย มิเพียงเท่านั้นยังสามารถร่ำเรียนวิชายุทธอันร้ายกาจ ขนาดที่เรียกว่า บางคนคิดว่ามันมีฝีมือในระดับเดียวกับเจ้าสำนักของหอห้ากระบี่ ไม่เพียงเท่านั้น ตัวมันยังเพิ่มทรัพย์สินเงินทองมากมาย ผู้คนต่างมิรู้ว่ามันได้มาจากที่ใด เพียงทราบว่า ผู้คนต่างร่ำลือว่ามันพบเหมืองทองคำโดยบังเอิญ

    เช่นนี้จึงคู่ควรกับฉายา “มากวาสนา”

    ตั้งแต่นั้นมา “เฒ่ามากวาสนา” จึงทำการค้า การค้าของมันเจริญรุ่งเรืองยิ่ง มิว่าโจรผู้ร้ายใดใดก็มิกล้าตอแย เนื่องเพราะครั้งหนึ่งเคยมีโจรปล้นชิงสินค้าของมัน ทว่าสามวันต่อมา โจรร้ายร่วมยี่สิบคนนั้นล้วนทอดร่างกลายเป็นศพ ส่วนทรัพย์สินที่ปล้นได้ยังอยู่โดยครบถ้วน


    “เฒ่ามากวาสนา” จึงมีกิจการค้าใหญ่น้อยมากมาย นับเป็นคู่แข่งกับพรรค “ฉิกจับอิด” ได้ทีเดียว!!!

    “ท่านผู้นี้คงเป็น “เฒ่ามากวาสนา” นับถือมานาน”  เจียงไคเซ็น คุณชายหอแดง ชมชอบคบหาบุคคลรุ่มรวย ดังนั้นเสนอหน้าออกมา

    “เหตุการณ์ที่ว่าคือ พวกเราทั้งเจ็ดได้มีปากเสียงถึงขั้นลงมือลงไม้ที่ร้านสาขาของพรรคฉิก ที่เชิงเขา ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นนอกจากเราทั้งเจ็ดแล้ว คนอื่นๆ ก็อยู่ที่นี่หมดสิ้นแล้ว!!!”

    “คนอื่นๆ ผู้ใดกัน!” ตุลาการเที่ยงธรรมรีบสอบถาม

    เติ้งเสี่ยวเทา ประมุขพรรคกระยาจก เพ่งมองไปยังร่างผู้ตายเหล่านั้น

    “อะไรกัน!!! ผู้ตายเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ก่อเรื่องที่โรงเตี๊ยมฉิก!!!” หลิวหยงเคออุทาน

    “ถูกต้อง! “ ทั้งเจ็ดรับคำโดยพร้อมเพรียง

    “งั้น อักษรที่ว่า ผู้ล่วงเกิน ล้วนต้องตาย ก็หมายถึง…” กล่าวถึงตรงนี้ หลิวหยงเคอมิสามารถกล่าวต่อไปได้อีก


    “เหล่านี้เป็นเพียงคำกล่าวอ้างของพวกท่านฝ่ายเดียว มีใครสามารถยืนยันคำพูดเหล่านี้ได้บ้าง?” หลิวหยงเคอกล่าวขึ้นในที่สุด

    “ข้า เติ้งเสี่ยวเทา แม้นจะไม่มีชื่อเสียงเกียรติภูมิเท่ากับพวกผู้นำแห่งหอห้ากระบี่ ทว่าพรรคกระยาจกของเราก็พอจะมีชื่ออยู่ในยุทธภพ หรือพวกท่านคิดว่าข้าจะกล่าวโป้ปดเลื่อนลอย” หัวหน้าพรรคกระยาจกกล่าวด้วยความขัดเคือง

    “หามิได้ เพียงแต่เรื่องราวครานี้ใหญ่หลวงยิ่ง หากมิมีหลักฐาน เกรงว่าแค่พยานมิสามารถกล่าวโทษผู้อื่นได้” ตุลาการเที่ยงธรรมกล่าวขึ้น

    “ยังมีพวกท่านบอกว่าเหล่าผู้ตาย ล้วนแต่เคยก่อเรื่องในโรงเตี๊ยมฉิกจับอิด อย่างนั้นพวกท่านไฉนยังมีชีวิตรอด?” บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวขึ้น

    โจวเอินผิงถลึงตาใส่มัน จากนั้นกล่าวว่า

    “เจ้าอย่าเอาพวกเราไปเปรียบกับคนพวกนั้น พวกเราล้วนแล้วแต่วรยุทธสูงส่ง ฉิกจับอิดแม้ร้ายกาจ ยังมิกล้าตอแยพวกเรา”มันกล่าวอย่างหยิ่งผยอง

    “ทางที่จะพิสูจน์ได้คือ นำทั้งสองฝ่ายมายืนยันกัน เช่นนี้พวกเราเร่งเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมฉิกสาขาบู๊ตึ๊งเถอะ” หลิวหยงเคอกล่าว

    “ได้ ทองแท้ไม่กลัวไฟ”ซุนยัดไหลและพวกกล่าว

    ทั้งหมดจึงเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าสู่โรงเตี๊ยมฉิกจับอิด…

    ……………..
    …………………………


    ด้านเหวินเหม่ยชิง หญิงสาวมั่นใจว่าสืบเสาะมาถูกทาง ที่ก้นเหวอย่างน้อยต้องมีเบาะแส หากเคราะห์ร้ายคงพบเพียงซากศพของ "เสี่ยวซา" อยู่ที่ก้นเหว แต่นั่นเท่ากับยืนยันว่ามันมิใช้ผู้กระทำผิดและถูกฆ่าปิดปาก หญิงสาวจะนำเรื่องนี้แจ้งต่อตุลาการเที่ยงธรรม ขอดำเนินการสอบสวนอย่างเป็นทางการทันที หากโชคดีหน่อย "เสี่ยวซา" ผู้นั้นบังเอิญตกลงไปแล้วมิเสียชีวิต ตนเองสามารถสืบเสาะอีกฝ่ายจนพบ คงสามารถให้อีกฝ่ายบอกเรื่องทั้งหมดออกมาในคราเดียว

    ทว่าในใจยังอดกังวลมิได้ หญิงสาวคิดลงไปตรวจสอบก้นเหว ทว่าเหวลึกจนมิเห็นก้น จนใจมิรู้จะทำเช่นไร หากคิดลงเขาด้วยหนทางปกติน่ากลัวต้องเสียเวลามากหลายเพื่อหลบเลี่ยงสายตาของเหล่าชาวยุทธ ดังนั้นคิดหาวิธี หญิงสาวเสาะพบเถาวัลย์ขนาดใหญ่และยาวหลายสิบเส้น ดังนั้นนำเถาวัลย์ทั้งหมดมาผูกรวมกัน หย่อนตัวลงสู่ก้นหุบเหว โดยที่ค่อยๆ ผ่อนเส้นเถาวัลย์ออกทีละเล็กทีละน้อย

    เถาวัลย์แม้ยาวยิ่ง ทว่ายังมิยืดยาวพอที่จะทำให้นางลงไปถึงก้นหุบเหว หญิงสาวคำนวณว่าตนเองนั้นอยู่สูงกว่าพื้นประมาณ 30 วา ฉับพลันนางปล่อยมือจากเถาวัลย์!!!

    จากคุณ : ทีมแต่งนิยาย - [ 26 ก.พ. 47 23:33:46 ]