ตอนที่ฉันและครอบครัวยังอยู่สิงคโปร์ เมื่อหกเจ็ดปีก่อน
ลูกสาวคนโตไปเรียนว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำในคอนโดที่อยู่ ซึ่งอยู่ข้างๆตึก B คอนโดนี้มีตึกแบ่งตามตัวอักษรตั้งแต่ A ไปเรื่อยๆ
วันนั้นลูกสาวเรียนไปได้สักพัก ก็เห็นพนักงานของคอนโด
เดินลงมาจากตึกสำนักงาน ซึ่งอยู่ที่สปอร์ตคลับของคอนโด ตรงสระว่ายน้ำน่ะแหละ หลายคน...
เดินไป เดินมา ทำท่าเหมือนมีเรื่องร้ายแรง...แล้วก็มีจำนวนคนเดินกันไปมาเพิ่มขึ้นอีก
ฉันก็เลยเดินไปดูมั่งสิ...(ความเจือกเป็นเหตุ)...
พอดีตอนนั้นลูกชายอายุเพิ่งขวบเศษๆ จะเอาทิ้งไว้คนเดียวก็ไม่ได้ ก็เลยเอาใส่กะเอวไปด้วย
พอไปถึงตึก B เท่านั้นแหละ...ได้เรื่อง....
พนักงานคอนโดที่คุ้นหน้าคุ้นตาฉันดี ก็ถามฉันว่า
"Do you know this boy?"
ไหนล่ะจ๊ะ...อ๋อ...ที่นอนบนพื้นหญ้าเอียงคอ...หัวบุบๆ...
มีเลือดออกปากนิดหน่อย คนนั้นน่ะเหรอ...
อะหยา...อีตกลงมาจากชั้นไหนเนี่ยะ....แล้วแม่ล่ะอยู่ไหน?
ฉันเข้าไปดูหน้าใกล้ๆ....ลืมไปว่าอุ้มลูกชายอยู่ด้วย ก็ความที่อยากช่วยเค้าหน่ะนะตอนนั้น...
เด็กผู้ชายอายุขวบเศษ...รุ่นเดียวกับลูกชายเราเลย...หน้าตาจีนๆ...ม่ายรู้ญี่ปุ่นหรือสัญชาติไหน เพราะไม่เคยรู้จัก...ก็แหม...คอนโดนี้มีคนเป็นร้อยๆอาศัยอยู่นะท่าน...มะใช่แคบๆ...แล้วก็สารพัดชาติด้วย
อีกสักพักรถพยาบาลมา...หมอลงมาตรวจจับชีพจร...เพราะก่อนหน้านั้นไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง...ก็แหม..ตกลงมาจากที่สูงเนี่ยะ กระดูกตรงไหนเคลื่อนไปบ้าง ขืนไปจับผิดจับถูก แทนที่จะช่วย...จะกลายเป็นคนป่วยซวยหนักไม่รู้เรื่องแทนซะ...
หมอที่มากับรถพยาบาลส่ายหน้า...แล้วบอกว่าม่องเท่งเรียบร้อยไปแล้วล่ะเกลอเอ๋ย...
อื๋ยยส์...ชักเริ่มขนลุกแล้ววุ๊ยตอนนั้น...แต่ก็ยังยืนอยู่...เพราะไม่รู้ว่าเป็นลูกใคร
พนักงานเลยเรียกตำรวจ...เพราะมีคนตายเกิดขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ
คอยจนเบื่อ...อีกสักพัก...ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน ลงมาจากตึกB นั่นแหละ
บอกว่าสงสัยว่าลูกหายไปไหน เลยลงมาดูข้างล่าง
ไปๆมาๆเลยรู้ว่าเป็นลูกตัวเอง....อ้าวววว....แล้วกัน...เศร้าไปเลย...
พอดีลูกสาวฉันกำลังจะเรียนว่ายน้ำเสร็จ ฉันก็เลยเดินกลับไปที่สระน้ำ เตรียมตัวพาลูกกลับบ้าน
เพื่อนคนญี่ปุ่นที่ลูกเค้าก็อยู่ในกลุ่มเรียนว่ายน้ำกับลูกของฉัน เดินหน้าละล่ำละลั่กเข้ามาหา...
บอกว่าเด็กที่ตกลงมาตายนั่นน่ะ เป็นลูกของเพื่อนซี้เธอเอง
อาศัยอยู่ชั้นเก้า...อีทีนี้ตำรวจอยากสอบสวนเรื่องอุบัติเหตุ
แต่เพื่อนคนญี่ปุ่นคนนี้ดันพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้...เพื่อนซี้เธอนี่ไม่ต้องพูดถึง...ทั้งงง...ทั้งตกใจ...ภาษาญี่ปุ่นที่เป็นภาษาของตัวเองยังพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเลยตอนนั้น...
เค้าเห็นฉันที่พอจะคุยได้ทั้งสองภาษาในตอนนั้น...เพราะขี้เกียจไปหาคนเก่งกว่านี้ในสถานะการณ์คับขัน...ก็เลยมาวานให้ช่วยเป็นล่ามระหว่างแม่กับตำรวจให้หน่อยได้บ่...
ฉันก็เลยต้องย้อนกลับไปตรงนั้นอีกทีละสิ...แต่ตอนนี้ตำรวจเอาผ้าพลาสติกมาคลุมศพเอาไว้กันอุจาดตา...แต่ยังไม่ได้เคลื่อนย้ายศพไปไหน
ก็ไปช่วยคุยกับเค้าไม่กี่ประโยค...แค่เค้าอยากรู้ว่าเป็นไงมาไง...ฉันก็เลยได้รู้ตามไปด้วยเลย...ว่า...แม่เด็กน่ะเป็นหวัด กินยาแก้หวัดแล้วง่วง พอเอาลูกชายคนเล็กนอนกลางวันในห้องได้ ตัวเองก็ไปนอนหลับอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ลูกชายคนโตกลับมาจากรร.แล้วก็ไปเล่นบ้านเพื่อนซะ เลยไม่มีใครอยู่บ้านอีก...
ห้องนอนของลูกชายเป็นเตียงสองชั้น วางชิดกับกำแพงติดหน้าต่าง ที่เปิดรับลม...ไม่มีลูกกรงหรอก คอนโดที่นั่นส่วนใหญ่เน้นสวย ไม่เน้นป้องกันเด็กตก แล้วลูกชายเธอก็ไม่เคยเล่นปีนป่ายให้เห็น...เลยไม่เคยระวังในข้อนี้ (ชะล่าใจมากเลย)
ห้องเธออยู่ชั้นเก้า....ชั้นเก้านะ....แค่มองลงมาเฉยๆก็เสียวแล้ว...นี่ดันเอาเตียงลูกไปตั้งตรงนั้น แล้วเปิดหน้าต่างอีกตะหาก ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นแม่ เลยจะปีนลงเตียงเอง หรือว่าอยากลองของปีนเล่นก็ไม่รู้...เลยลอยละลิ่วตกลงมา...ไปสวรรค์เลย...
ตอนหลังฉันได้ยินจากหมอประจำที่รักษาไข้ในครอบครัวฉัน และอาศัยอยู่ในคอนโดเดียวกันแต่ตึกตรงข้ามกับตึกนั้นบอกว่า....มีแหม่มฝรั่งคนหนึ่ง เอาหมามาเดินเล่นตอนเด็กตกลงมา แกเห็นไกลๆเหมือนมีตุ๊กตาตกมาจากตึก ไม่รู้ว่าเป็นเด็ก...แต่ทีนี้สัญชาตญาณหมามันคงดี มันเห่า...แล้วก็เข้าไปดูที่เด็ก แกก็เลยตามไปดู...พอรู้ว่าเป็นคนเท่านั้นแหละ...ตั้งแต่นั้นมา...แกช็อคนอนไม่หลับ ต้องให้หมอคนนี้ไปดูแล ให้ยานอนหลับเป็นเดือนๆกว่าจะนอนเองได้...
กลับมาที่ฉัน...พอช่วยเค้าสื่อสารกันพอรู้เรื่องรู้ความ ก็ขอตัวกลับบ้าน เพราะมันเริ่มเย็นแล้ว ต้องไปทำกับข้าวกับปลา ก็เลยไปรับลูกสาวคนโตที่ยังเล่นน้ำอยู่กับเพื่อนๆที่สระ กลับบ้านกัน...
พอกลับมาถึงบ้าน ตกค่ำลูกชายที่เอาใส่เอว ไปดูเด็ก ไปเป็นล่ามเจรจากับตำรวจให้เค้าตลอดนั้น เกิดอาการผิดปรกติขึ้นมาทันที ไม่เหมือนกับทุกวัน
ร้องไห้อย่างไม่มีสาเหตุ...พอสามีกลับมาบ้าน ก็เลยเล่าให้ฟัง สามีก็บอก...สงสัยคงจะรู้สึกหดหู่ และเสียใจมั้ง อาจจะกลัวด้วย แต่เด็กยังเล็กมากพูดไม่ได้ก็เลยต้องร้องไห้แทน...แล้วก็ตำหนิฉันนิดหน่อย...ว่าไม่น่าพาลูกไปดูเลยนี่
ฉันก็ไม่ได้เอะใจอะไร ไม่ได้กลัวผีด้วยตอนนั้น เพราะคิดว่าตัวเอง เป็นคนมีศีลธรรม ไหว้พระทุกวัน สวดมนต์เป็นนิจ
ทุกศุกร์ก็จะชวนเพื่อนคนไทยไปวัดตอนเย็น ไปสวดมนต์นั่งวิปัสสนา (เล็กๆ แบบไม่บรรลุกะเค้าหรอก) ที่วัดไทยแห่งหนึ่งเป็นประจำ (ประจำไม่นานหรอกค่ะ... เพราะหลังจากนั้นเปลี่ยนจากไปสวดมนต์นั่งวิปัสสนา กลายเป็นไปแหกปากร้องคาราโอเกะเพลงญี่ปุ่น กับเพื่อนแทน ไอ้ที่นั่งวิปัสสนาก็กลายเป็นไปนั่งๆลุกๆขึ้นไปส่ายสะโพก ตามรร.มั่ง ตามบาร์ดังๆในสิงคโปร์มั่ง กับพวกอ๊อกซังเวลาคุณสามีออกไปปาร์ตี้งานบริษัท คุณภรรยาก็พากันเที่ยวมั่งเพลินไปเลย...อ้อ...ลูกเหรอคะ...ก็มี Maid ประจำ จ้างกันเป็นรายช.มน่ะสิ)
อ้าว...นอกเรื่อง...ไปโน่น...
อีทีนี้...อาการลูกไม่หาย...ร้องไห้ซ้ำซาก...ไม่เหมือนลูกคนเดิม
วันดีคืนดี ก็นั่งเล่นมืดๆคนเดียวในห้องเด็ก เหมือนมีคนมาเล่นด้วย มันมีหลายห้อง บางทีฉันทำงานบ้านอย่างอื่นอยู่อีกห้องหนึ่งก็ปล่อยให้ลูกเล่นเอง พอเดินไปดู....
ลูกปีนหีบหวายสำหรับใส่ของเล่นหีบใหญ่ๆที่ฉันวางไว้ชิดหน้าต่าง(แต่หน้าต่างนั้นปิดตลอด เพราะเปิดแอร์ที่บ้านประจำ ไม่ค่อยได้เปิดหน้าต่างห้องนั้น)
เอาผ้าม่านคลุมหัวตัวเอง มองออกไปนอกหน้าต่าง ยืนจ้องอะไรก็ไม่รู้ อยู่เป็นนาน...เอ...ชักแปลกๆวุ๊ย...
ฉันไปเล่าให้เพื่อนคนญี่ปุ่นคนอื่นๆฟัง...เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า ฉันควรจะไปบ้านเด็กคนนั้น และไปไหว้บอกกล่าวเสีย จะได้สบายใจขึ้น...แต่อย่าว่าแต่ไปบ้านเด็กคนนั้นเลย...แม้แต่ตึกนั้น ฉันก็ไม่เคยเข้าไปใกล้อีก ถ้าไม่จำเป็น...แบบมันกลัวขึ้นมาตะหงิดๆยังไงก็ไม่รู้
พอลูกอาการไม่ดี...ฉันก็ตระเวณไปไหว้พระ ขอสายสิญจ์จากพระที่เคยไปทำบุญที่วัดบ่อยๆ แล้วก็ไหว้พระในทุกที่ที่คิดว่าคนสิงคโปร์นับถือ เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองลูก
แต่ลูกก็ยังร้องไห้ผิดปรกติ...เที่ยงคืนตีหนึ่งตีสอง...นอนหลับไปแล้วก็ตื่นมาร้องจ้าทุกคืน จนสามีฉันที่ไม่เชื่อเรื่องผี เป็นคนเอ่ยปากเองว่า บ้านเรามีผีมาวุ่นวายแน่ๆอย่างนี้
บางวันเป็นเอามาก ถึงขนาดฉันต้องอุ้มลูกไว้ตลอดเวลา และต้องเดินทั่วบ้าน ถ้าหยุดลูกก็จะร้องไห้เหมือนมีคนมาฉุดขาให้ลงมาเล่นด้วย วันนั้นจำได้ดีเลย...สามีไปเล่นกอล์ฟ กลางวันแสกๆนี่แหละ...อุ้มลูกสามสี่ช.มเดินไปเดินมา อยู่ในบ้าน งานการไม่เป็นอันได้ทำ...
มีอยู่วันหนึ่ง ไปวัดอีกและได้ไปเจอะพี่สาวคนหนึ่ง เธอมีสามีเป็นคนสิงคโปร์ ตัวเธอเองนั่งสมาธิเป็นประจำและเข้มงวด แนะนำให้ดิฉันนั่งสมาธิสวดมนต์แผ่ส่วนกุศลให้เด็ก
เธอสอนว่า อย่ากลัว...และให้คิดว่าเด็กคนนั้นเหมือนลูกหลานของเรา ให้มีจิตสมาธิแน่นๆ ให้สวดเป็นประจำและให้บทสวดมนต์มาบทหนึ่ง
พระที่ฉันไปไหว้ ไปทำบุญด้วยในวันนั้น ได้ให้พระพุทธชินราชมาบูชาด้วยหนึ่งองค์ ฉันเลยนำมาตั้งไว้ในห้องนอน
โดยวางบูชาไว้บนโต๊ะสูง ปลายที่นอน (ห้องนอนตอนนั้นไม่มีที่วางที่อื่นอีก)
คืนสุดโหดมาถึงจนได้...ตอนนั้นเป็นเวลาผ่านไปได้หนึ่งเดือนเต็มๆของเหตุการณ์แปลกๆ และการร้องไห้ของลูกทุกคืนแบบนันสต๊อป...สามีฉันไม่อยู่ ไปประชุมที่โตเกียว
เป็นคืนแรกตั้งแต่เหตุการณ์เด็กตกตึก ที่ฉันต้องนอนอยู่บ้านตามลำพังกับลูกๆ
คืนนั้นเหตุการณ์ราบเรียบในตอนค่ำ ลูกนั่งเล่นคนเดียวไม่มีทีท่าว่าจะอยากเข้านอน พอสักสี่ทุ่มกว่าๆฉันจึงชวนลูกทั้งสองคนเข้านอน ลูกคนเล็กเริ่มร้องไห้...
แต่ไม่นานก็หลับไปหลังจากดื่มนม
ตีหนึ่งเศษๆ อยู่ๆลูกชายก็ตื่นร้องไห้ ฉันก็เอานมให้เพราะคิดว่าเค้าคงอยากดื่มนม แต่ในใจอีกหนึ่งน่ะ...คิดว่าเอาแล้วกรู...อยู่คนเดียวเนี่ยะนะ...อย่ามีอะไรเลย...
ลูกสาวก็หลับสนิท...ลูกชายยิ่งแหกปากร้องไห้...อุ้มยืนก็หาย แต่ถ้านั่งกับที่นอนเมื่อไหร่ก็เอาอีก...จนฉันรู้สึกเหมือนว่าในห้องนี้ไม่ได้มีเฉพาะฉันกับลูกๆเท่านั้นแล้ว...
จนกระทั่งตีสอง ฉันรู้สึกเหนื่อยอยากนอนแล้ว กลัวก็กลัว..ไม่รู้จะทำไงดี เพราะอุ้มลูกสวดมนต์ไปไม่รู้กี่บทแล้วก็ยังไม่หายซะที เลยเปลี่ยนความคิดใหม่...
อุ้มลูกชายไว้ที่อก...ลงนั่งสวดมนต์ครั้งสุดท้าย และเริ่มภาวนา จากที่กลัวกลายเป็นโกรธ จากที่โกรธกลายเป็นสงสารเวทนา จิตใจเหมือนล่องลอยไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันเกิดขึ้นเองจากสมาธิในตัวเรา แล้วฉันก็เริ่มคุยกับเด็กนั้นในใจ...
ฉันพยายามพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น เพราะรู้สึกว่าผีเด็กนั่นถ้าจะฟังภาษาอื่นไม่รู้เรื่องซะแล้วมั้ง...เอาว่ะ...ไหนๆก็ไหนๆแล้ว อยู่คนเดียวตอนนี้ ไม่มีใครมาช่วยเราแล้วนอกจากตัวเราเอง
ฉันพูดว่า...ฉันรู้ว่าเธอหนาว เธอหิว เธอเจ็บและทรมานแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่ฉันไปวัด ฉันก็ได้เอาอาหาร เอาขนม เอานม ทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้ทุกครั้ง...เธอจงไปรับสิ่งที่ฉันมอบให้และอย่ามารบกวนฉันอีกเลย ฉันรู้ฉันเข้าใจแล้ว เข้าใจความรู้สึกเธอแล้ว...
ฉันพูดอะไรอีกก็ไม่รู้จำไม่ได้แม่นนัก พูดไปในใจแล้วก็คิดแผ่เมตตา ตอนนั้นจะเป็นภาษาอะไรก็ไม่สนใจแล้วเพราะมันเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความสงบ ความมีสมาธิในใจ เกิดขึ้นเองโดยที่ฉันก็ไม่รู้ตัวมาก่อน และไม่เคยทำได้อีกเลยแม้แต่ครั้งเดียวหลังจากวันนั้น
พออาการในใจสงบ ไม่กลัว มีแต่ความเมตตาสงสาร ส่งใจไปให้วิญญาณน้อยๆนั้น สักพักหนึ่งฉันรู้สึกว่าลูกชายหลับสนิทแล้ว เลยเอาลูกวางลงที่ที่นอน และก้มลงกราบพระอีกครั้งก่อนล้มตัวลงนอนตอนตีสองกว่าๆ...แต่ไม่กล้าปิดไฟนอนเลยคืนนั้นจนเช้า
จากคุณ :
ปาน-Sapporo
- [
29 ก.พ. 47 11:01:18
]