เมียฝรั่งสั่งลา

             ตั้งแต่วันที่สามีตื่นจากการเป็นเจ้าชายนิทรา ดิฉันรู้สึกโล่งและเบาขึ้นเยอะ ทุกวันจะลืมตาแต่ยังเลื่อนลอยอยู่ ด้วยความที่เราพูดคนละภาษาในขณะที่เค้ากำลังเบลอ มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อมาร์ติน ดิฉันและสามีสนิทกับเขามาก มาร์ตินนี้เวลาเจอหน้ากันทีไรเป็นต้องเอาดิฉันไปกอดและหอมทุกทีชอบพูดล้อเล่นประจำตั้งแต่รู้จักกันมา แฟนสาวเป็นคนเยอรมันอายุมากกว่ามาร์ตินสัก3-4 ปีตัวเค้าเองนั้นอายุได้ประมาณสามีดิฉันจะอ่อนแก่กันแค่ปีหรือสองปี เรนาเต้เป็นชื่อแฟนมาร์ตินและอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว ดิฉันขอร้องให้มาร์ตินช่วยพูดคุยอะไรก็ได้กับสามีด้วยเพื่อเตือนความจำ เพราะใช้ภาษาแม่แบบเดียวกัน มาร์ตินเคยพูดแหย่สามีต่อหน้าดิฉันว่า เมื่อไหร่จะเลิกกับดิฉันเสียที แต่เราไม่ถือสาเพราะเรารู้ว่าเค้านั้นชอบหยิกแกมหยอก มาร์ตินจะมาทุกเย็นหลังเลิกงาน พอมาถึงจะหอมและกอดดิฉันก่อนอื่นแล้วเราเข้าไปเยื่ยมสามีด้วยกัน เพื่อนร่วมห้องชื่ออาหลงถามดิฉันว่า มาร์ตินเป็นใคร ดิฉันตอบเล่น ๆ ว่าสามีคนที่ 2 อาหลงทำหน้าแปลก ๆ ตอนนั้นพูดไปด้วยคะนองปากไม่ได้คิดว่าวัฒนธรรมของไต้หวันก็คล้าย ๆ กับของไทย และอาหลงก็เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา ๆ ไม่ได้นึกว่าเค้าจะคิดว่าเป็นเรื่องจริงด้วยเพราะเค้าก็รู้อยู่เต็มอกว่าสามีตัวจริงนั้นนอนอยู่บนเตียง วันหนึ่งมาร์ตินมานั่งรออยู่ที่หน้าห้อง ดิฉันไม่อยู่ไปอาบน้ำ อาหลงใช้ภาษาใบ้ชวนให้มาร์ตินนั่งและรับอาสามาตามดิฉันให้ ตอนนั้นกำลังซักผ้าอยู่ใกล้เสร็จแล้ว ข้าง ๆกันนั้นมีผู้หญิงยืนรอกันอยู่หลายคน อาหลงตะโกนซะเสียงดังว่าผัวคนที่สองมานั่งรออยู่ในห้อง ดิฉันเรียกให้อาหลงรอด้วย เค้าก็ยืนรอจริง ๆ ดิฉันต้องบอกเค้าว่ามาร์ตินเป็นเพื่อนและดิฉันพูดล้อเล่นกับอาหลงเท่านั้นเอง ดิฉันพามาร์ตินมานั่งเก้าอี้ที่ไกลออกไปหน่อย ได้ยินเสียงอาหลงแว่ว ๆ มาว่า สามี ๆ ออกมาจากในห้อง ดิฉันเข้าใจเองว่าอาหลงคงจะอธิบายให้คนในห้องฟัง    ตอนนี้พวกเราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากยิ่งขึ้น ญาติคนไข้เก่าที่ได้ย้ายไปตามห้องก็เดินมาขลุกคุยกันอยู่ห้องนี้ เสียงนี่ดังแข่งกันเชียว ไม่มีเงียบเหงาเหมือนตอนแรก ๆ ดิฉันมีเพื่อนใหม่อีกคนชื่อต้าโถ หรือหัวโตนั่นเอง อายุก็ไล่ ๆ ดิฉัน แม่เค้ามาป่วยอยู่เพราะเส้นเลือดในสมองแตก ตอนนี้เป็นอัมพาตอยู่เหนือขึ้นไปอีกชั้น ต้าโถได้พูดถึงชื่อหมอเหยียน ว่าเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อเค้า และมือแน่มากเรียกว่าหมอเทวดาทีเดียว แต่ว่าต้องใส่อั้งเปามากหน่อย เค้าบอกว่าจะไปบอกพ่อให้ช่วยพูดกับหมอเหยียนให้ดิฉันเรื่องสามี เจ้ได้มาเยี่ยม ดิฉันได้ถามเจ้เรื่องหมอเหยียน เจ้บอกว่าหมอที่คุยกับดิฉันเรื่อย ๆ นั่นแหละหมอเหยียน แล้วเรื่องอั้งเปาใครเล่าให้ฟัง ดิฉันก็บอกเจ้ไปว่าญาติคนไข้ เจ้ไม่อธิบายอะไรเพียงแต่บอกว่าเรื่องรายละเอียดไม่ต้องรู้ ดูแลสามีอย่างเดียวพอ เพราะบริษัททางนี้และบริษัทแม่ทางสวิสฯได้เปิดไฟเขียวให้ทุกอย่าง

            พยาบาลบอกให้ดิฉันเอาอาหารเหลวมาให้สามีได้โดยให้ทางสายยางหน้าท้อง ดิฉันซื้อหม้อหุงข้าวไฟฟ้ามาใบหนี่ง เครื่องปั่นเครื่องหนี่ง ชามและช้อนอย่างละหนึ่ง ตอนเช้าก็ลงไปหาซื้อผัก ตับ หรือกระดูกหมูแถวตลาดเช้าใกล้โรงพยาบาล วันสองวันมานี่สามีไข้ขึ้นตลอด ได้แต่ปรือตาแล้วหลับไปอีก พยาบาลจะมาจับตัวสามีให้พลิกมาข้างเธอแล้วทำมือห่อ ๆ ตบไปแถว ๆ แผ่นหลังดัง ป้าบ ป้าบจนหลังแดง ไม่รู้ว่าเธอยั้งมือบ้างหรือเปล่า แล้วเธอก็เดินอ้อมเตียงมาอีกด้านตีป้าบ ๆ เช่นเดียวกัน เธอบอกว่าช่วยบริหารปอด ตอนนี้ด้านหลังเหนือก้นของสามีเริ่มเน่าจากการนอนนาน มีผ้าก็อตปิเอาไว้ มีอยู่วันหนึ่งดิฉันได้เข้าไปตอนที่หมอเปิดแผล โอ้โฮ ทำไมมันทั้งใหญ่และลึกขนาดนี้ จมูกก็ได้กลิ่นแบบน้ำส้มสายชู ก็เลยถามหมอว่าน้ำอะไรทำไมกลิ่นเหมือนน้ำส้มสายชู หมอบอกว่าใช่ พอฟังแล้วก็พูดไม่ออกเพราะไม่รู้ว่าหมอที่อื่นเค้ารักษาแผลเน่าเปื่อยด้วยน้ำส้มหรือเปล่า วันนั้นหมอเหยียนมาคุยด้วยอีกรอบ บอกว่าตัวยาที่ใช้ฆ่าเชื้อในสมองนั้นไม่ได้ผล ยังเหลือยาตัวสุดท้ายอีกเพียงตัวเดียวที่จะชี้เป็นชี้ตาย พอได้ฟังก็เข่าอ่อนเลย โทรศัพท์ทางไกลไปหาแม่และน้อง ๆ ทางบ้านก็ทำให้ทุกวันและทำให้สารพัด จนเพี้ยนกันไปหมดทั้งที่นี่และเมืองไทย เจ้นี่เล่นตระเวณไปตามวัดเอาสายสิญจน์มาผูกให้เต็มไปหมด ระยะที่รอนี่ทรมานมาก นอนก็ไม่หลับ แอบร้องไห้ก็มี ในใจก็คิดว่าทำไมจะไม่ติดเชื้อล่ะ ก็ในห้องนั้นมีคนไข้หนักเรียงเป็นแถวอยู่สองแถว แถวละเป็นสิบเตียง สามีนั้นก็เตียงที่ 8 แล้วในแถวเดียวกัน คนที่เข้ามาเยี่ยมก็มีให้เค่เสื้อคลุม แถมยังใส่วนกันอีกต่างหาก แต่จนใจที่ยังย้ายไม่ได้ก็ต้องทนอยู่ไปแบบนี้ก่อน ต้าโถเห็นหน้าตาดิฉันไม่ดีเค้ามาชวนออกไปเดินนอกโรงพยาบาล ให้อาหลงเฝ้าอยู่บนห้อง ตัวเค้าเองไปหยุดยืนซื้อหมากเคี้ยวหยับ ๆ ปากแดงเชียว มีความรู้สึกคิดถึงยายขึ้นมา แต่ก่อนเคยชอบดูมาเวลายายจีบพลูไปวัด เคยช่วยยายทาปูนโรยพิมเสนขาว ๆ ยายเป็นคนม้วนและเอาด้ายบาง ๆ มาพัน ก้านพลูที่ยายตัดออกนั้น ยายจะเอามาตัดปลายให้บาง ๆ แล้วนอนให้หลานเขี่ยตา ดิฉันเริ่มทำมาหากินได้แต่เด็กแล้ว ลูกค้าก็ยายนั่นแหละ เขี่ยตาบ้าง นวดบ้าง หาผมหงอกบ้าง ค่าจ้างก็เศษสตางค์ในเชี่ยนหมากยายนั่นแหละ

             สัปดาห์ที่ 4 รถเข็นศพก็ยังมีเห็นประปราย แต่ไม่บ่อยเหมือนช่วงแรก ๆ หมอเหยียนได้มาคุยและจับมือยินดีกับดิฉันด้วย สามีพ้นขีดอันตรายแล้วเพราะยาตัวนี้ใช้ได้ผล หน้าสามีสดใสขึ้น ดิฉันนี่เหมือนยกภูเขาออกจากอกทีเดียว ในห้องญาตินั้นครึกครื้นกันดี เพื่อนเก่า ๆ ที่ได้รู้จักกันเมื่อวันแรกนั้นได้ย้ายกันออกไปเกือบหมด เหลืออยู่แต่อาหลงกับอาเหลียง อาหลงนี้จะหน้าเป็น เวลาหัวเราะทีน้ำหมากนี่กระเด็นมาติดหน้าเลย อาหลงเป็นคนที่ยื่นเสื้อคลุมให้ดิฉันในวันแรกที่ได้เยี่ยม เสียงดัง ทำงานโรงงานถ้าจำไม่ผิด เป็นชาวบ้านชนบทจริง ๆ พี่แกเล่นเดินเท้าเปล่าไปมาในโรงพยาบาล แต่เวลาเข้าไปเยี่ยมพ่อในห้องผู้ป่วยละก้อแกจะใส่รองเท้า วันหนึ่งเราไปกินข้าวต้มกันหน้าโรงพยาบาล จนเราเดินกันกลับมาและนั่งคุยกันต่อ อยู่ ๆ อาหลงก็ลุกพรวดพราดขึ้นจ้ำพรวดออกไปไม่พูดไม่จา สักพักแกเดินหิ้วรองเท้าอยู่ในมือ แกเฉลยว่าแกถอดรองเท้าออกตอนนั่งกินข้าวต้ม และลืมใส่มันกลับมาด้วย โชคดีนะที่ไม่มีใครเอาไป แกบอกว่ารักรองเท้าคู่นี้ยิ่งกว่าเมียอีก เราหัวเราะแกท้องคัดท้องแข็งว่าคนแบบนี้ก็มีด้วย   อีกคนชื่ออาเหลียงมีอาชีพเป็นครู มานอนเฝ้าพ่อเหมือนกับอาหลง พูดภาษาอังกฤษได้กระท่อนกระแท่น เป็นคนที่คุยเหมือนบรรยายและชอบยกเหตุผล เป็นคนใจดีมีน้ำใจ อาหลงที่เป็นชาวบ้านธรรมดากับอาเหลียงที่เป็นครู มักจะขัดคอกันอยู่เรื่อย เพราะอาหลงแกชอบเอาข้างเข้าถู อาเหลียงจะยกเหตุผลแต่อาหลงก็ไม่ฟังหรอก เลยงัดข้อกันขึ้น แต่เดี๋ยวก็คุยหัวเราะกันเหมือนเดิม  คืนหนึ่งประมาณสองสามทุ่มมีเตียงเข็นเด็กอายุราว ๆ 5-6 ขวบนอนมา เห็นพยาบาลวุ่นวายกันใหญ่ก่อนจะปิดประตูลง แม่เด็กเดินร้องไห้มานังอยู่ในห้องที่เราอยู่ เธอมานั่งแปะอยู่ปลายเตียงตรงข้ามเตียงดิฉัน คนในห้องเตรียมขยับขยายที่เผื่อให้เธอนอน แต่ดิฉันรู้ว่าเธอคงนอนไม่ลงแน่นอน อาหลงถามว่าเด็กเป็นอะไร เธอเล่าให้พวกเราฟังว่า กินข้าวเย็นกันอยู่ดี ๆ ลูกชายก็บอกว่าปวดหัวและล้มลงจากเก้าอี้แต่เธอรับหัวไว้ทัน เราปลอบใจเธอว่าใจเย็น ๆ ทำใจดี ๆ อาจจะไม่เป็นอะไรมากก็ได้ วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเปิดให้ญาติเยี่ยม พยาบาลได้ออกมาเรียกแม่เด็กเข้าไปก่อน สักพักเราจึงได้เข้าไป ดิฉันเห็นเธอร้องไห้อย่างหนัก ปากกับบอกให้พยาบาลช่วยลูกเธอด้วย ๆ พยาบาลก็ดีคนหนึ่งก็กดปั๊มหัวใจ อีกคนก็เอาเครื่องปั๊มช่วยหายใจบีบใหญ่ ดิฉันไม่เป็นอันดูสามี เดินมายืนคุมเชิงอยู่แถวใกล้ ๆ เตียงเด็ก ธรรมดาดิฉันนั้นไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอยู่แล้วแต่คราวนี้ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองจึงเจือกจัง มันเป็นภาพที่น่าเศร้าเพราะที่จริงนั้นเด็กนั่นตายไปแล้ว แต่แม่นั้นรับความจริงไม่ได้ ดิฉันนี่มองเธอกับลูกน้ำตาซึมเลย พยาบาลได้หยุดปั๊มเพราะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เธอซบหน้าร้องไห้กับลูกชายตัวเล็ก พยาบาลโอบไหล่เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา อาเหลียงและอาหลงและคนอื่นอีกหลายคนเดินมาที่เตียงเด็กคนนั้น สงสารและหดหู่จนบอกไม่ถูก ลูกนั้นตายไปแล้วคงจะไม่ได้รับรู้ว่าแม่นั้นรักเค้ามากขนาดไหน แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยทำให้คนที่เห็นกันวันนั้นซึมกันไปได้หมดเพราะความรักของแม่ที่เธอแสดงออกมา

             อาร์ทูมาบอกให้เตรียมตัว เพราะพรุ่งนี้ทางสวิสฯจะส่งเครื่องบินเล็กมารับกลับ เสื้อผ้าข้าวของอะไรทั้งหมดจะส่งตามไปทีหลัง เจ้เอาเงินมาให้ 850 สวิสฟรังค์ ดิฉันเอาเงินไต้หวันให้เจ้ไปทำบุญทั้งหมดเท่าที่มี วันบินมีหมอสวิสฯ 2 คนพยาบาล 1 คนมาที่โรงพยาบาลและเข้าไปแพ็คสามีเรียบร้อย ใช้เวลาเร็วมาก ดิฉันแทบไม่มีเวลาหายใจสิ่งที่มีติดตัวไปคือเสื้อคอกลมและกางเกงขาสั้นที่ใส่อยู่และพาสปอร์ตเท่านั้น เพื่อน ๆ ออกมาจับไม้จับมือลา ดิฉันตื้นตันใจมีอะไรมาจุกตรงคออีกแล้ว รีบเดินจ้ำตามคณะหมอไปอย่างรวดเร็ว หันหลังกลับไปดูเพื่อน ๆ ที่ยังยืนโบกมือให้เป็นครั้งสุดท้าย ชีวิตนี้จะไม่ลืมเลยดินแดนมิตรภาพ ลาก่อนเพื่อนรัก ลาก่อนไต้หวัน

    มิตรภาพ จากแดนไกล ในช่วงสั้น
    ประทับวัน ตรึงใจอยู่ มิรู้หาย
    ยังคิดถึง เพื่อนทุกคน จนวันตาย
    สิ่งที่คล้าย เหมือนกันหรือ คือน้ำใจ
    ถึงเราจะ ต่างกันบ้าง ทางความคิด
    สิ่งน้อยนิด อภัยกัน นั่นใช่ไหม
    ภาษาพูด ต่างเคล้าคละ จะเป็นไร
    ปัญหาใด ใช่ช่องว่าง ระหว่างเรา
    ฝากเดือนแจ่ม กระจ่างจ้า พาไปบอก
    คิดถึงหรอก จงดูนั่น แสงจันทร์เจ้า
    สายลมพริ้ว พัดผ่านแผ้ว แผ่วเบาเบา
    เนิ่นนานเนาว์ ไม่ลืมกัน ฉันสัญญา




    จากคุณ : NATTI (นัทตี้) - [ 5 มี.ค. 47 05:35:25 A:62.167.97.20 X: ]