วันนั้นเหมือนปัจจุบัน

    เช้าวันหนึ่ง ในกรุงเทพฯ นี่เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ ที่ทุกชีวิตจะต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพเพื่อความอยู่รอด ผู้คนมากมายเดินกันอย่างขวักไขว่ ต่างคนต่างรีบเร่งเพื่อไปทำภาระกิจการงานของตน ในท้องถนนก็เช่นเดียวกัน เต็มไปด้วยรถราแน่นถนนไปหมด นี่เป็นเหตุการปกติของกรุงเทพฯเมืองหลวงของประเทศไทย
    ณ หน้าโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง มีรถเก๋งคันงามวิ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ดูจากความเร็วของรถแล้ว รู้ได้ทันทีว่าคนขับต้องมีธุระรีบเร่งเพื่อให้ทันกับเวลา ทันทีที่รถจอดคนขับก็เปิดประตูออกมาพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ใบหนึ่ง
    “เร็วหน่อยสิลูก ลงมาเร็ว เดี๋ยวแม่ไปทำงานไม่ทันลูก”
    เด็กชายอายุแปดขวบก้าวลงมาจากรถด้วยท่าทางและสีหน้าที่บกบอกว่าไม่อยากมาที่นี่เลย
    “แม่ครับ ผมไม่อยากมาอยู่โรงเรียนประจำที่นี่เลย ผมอยากอยู่กับแม่”
    “ไม่ได้ลูก ลูกอยู่ที่นี่แหละดีแล้วเพราะแม่จะต้องไปทำงานจะมารับส่งลูกทุกวันไม่ได้ ลูกอยู่ที่นี่แหละแล้วแม่จะมาเยี่ยมลูกบ่อยๆ”
    เด็กชายคิดอยู่ในใจว่าทำไมแม่ไม่ย้ายที่ทำงานมาอยู่ใกล้ๆกับโรงเรียนแม่จะได้มารับส่งเขาทุกวัน จะได้ไม่ต้องมาอยู่โรงเรียนประจำที่นี่ เขาอยากอยู่กับแม่เพราะในชีวิตเมื่อเกิดมาก็เห็นแต่หน้าแม่เท่านั้นไม่คยเห็นหน้าพ่อเลย และไม่รู้ด้วยว่าเขามีพ่ออยู่หรือเปล่าและแม่ไม่เคยเล่าเรื่องพ่อให้ฟังเลย  เมื่อเด็กชายรู้ว่าถึงอย่างไรก็เปลี่ยนความคิดของแม่ไม่ได้แล้ว เขาจึงต้องเดินตามแม่เข้าไปในโรงเรียน
    เมื่อจัดการเรื่องที่พักให้กับลูกชายเรียบร้อยแล้ว สมศรีก็ขับรถไปที่ทำงานอย่างเร่งด่วน ใช่ว่าสมศรีจะไม่รักลูกแต่เนื่องด้วยความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ สังคมที่บีบบังคับ เธอจึงต้องนำลูกชายมาเรียนอยู่โรงเรียนประจำแห่งนี้ และอีกเหตุผลหนึ่งธอก็ยังสาวยังมมีความต้องการความรักความอบอุ่นจากผู้ชาย แลต้องการผู้ชายที่จริงใจที่เธอจะร่วมชีวิตคู่ไปกับเขาได้ แล้วไม่ผิดหวัง เหมือนที่เธอเคยผิดหวังมาแล้วเมื่อคนรักของเธอทิ้งเธอไปขณะที่เธอตั้งท้องได้แปดเดือน เมื่อเกิดมาเธอจึงต้องเลี้ยงดูลูกคนเดียวฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆนานาจนลูกโตป่านี้
    สามสิบปีต่อมา เช้าวันหนึ่งที่บ้านพักคนชรา มีรถเมอเซอเดสเบนซ์คันหรูคันหนนึ่งวิ่งเข้ามาจอด ประตูรถด้านคนขับเปิดออก สมชายก้าวออกมาจากรถคันหรู แล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถด้านซ้ายมือ
    “คุณแม่ครับถึงแล้วครับ ลงมาได้แล้ว”
    สมศรีก้าวลงมาจากรถอย่างช้าๆ โดยมีลูกชายช่วยพยุงลงมา
    “นี่ลูกจะให้แม่มาอยู่ที่นี่จริงๆหรือ”
    เสียงผู้เป็นแม่ถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอันเบา ฟังจากน้ำเสียงแล้วรู้ได้ทันทีวว่าเจ้าของเสียงเป็นผู้ที่อยู่ในวัยชราแล้ว
    “ครับแม่ แม่อยู่ที่นี่ดีแล้ว ที่นี่เขาจะดูแลแม่อย่างดี แม่อยู่ที่บ้านกับผมบ้านมันแคบ ไหนจะลูกจะเมียผม อีกอย่างหนึ่งผมต้องไปทำงานต่างจังหวัดบ่อยๆไม่มีใครคอยดูแลแม่ จะให้นิดมันคอยดูแลแม่ก็ไม่ได้เพราะเราสองคนต้องช่วยกันทำมาหากิน แค่ดูแลลูกสองคนเราก็จะแย่อยู่แล้ว”
    สมศรีไม่ได้พูดอะไรกับลูกชายอีก และก็รู้ว่าเมื่อตอนอยู่กับลูกชายและลูกสะใภ้นั้นเธอก็ไม่ได้มีความสุขเพราะลูกสะใภ้ไม่ได้รักเธอ
    สมศรีนึกถึงตอนที่เธอนำลูกชายไปเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำนั้น ลูกชายไม่อยากอยู่เลย แต่ก็จำเป็นจะต้องให้ลูกชายอยู่เนื่องด้วยเหตุผลต่างๆในขณะนั้น แต่ในวันนี้ลูกชายพาเธอมาอยู่ในสถานที่ ที่เธอไม่อยากอยู่ ถึงแม้ว่าเหตุการในวันนั้นจะผ่านมาสามสิบปีแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่ามันพึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
    นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทุกวันนี้ โลกพัฒนาไปเรื่อยๆเทคโนโลยีก้าวหน้าสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่มนุษย์เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ขึ้นเรื่อยๆ แต่ในด้านของจิตใจมนุษย์ไม่ได้พัฒนาไปพร้อมกับเทคโนโลยีนี้เลย แต่กลับถดถอยเสื่อมทรามลงทุกวัน ไม่รู้จักตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ผู้ที่เลี้ยงดูมาจนโต พอท่านแก่ชราก็ทอดทิ้งท่าน ไม่แยแสดูแลเอาใจใส่ท่าน        
    เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้หนอสังคมไทย
    ท่านผู้ใดมีวิธีแก้ ข้อเสนอแนะที่เป็นรูปธรรมที่สุด ช่วยทีเถอะ จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งขอรับ

    จากคุณ : สุเนะโอะ - [ 8 มี.ค. 47 11:08:01 A:203.209.91.221 X: ]