หลังม่านมายา : กับชีวิต (ฉัน) ที่พลิกผัน

    เริ่มต้นที่ความยุ่งเหยิง

                   คุณเคยได้ยินเนื้อเพลงท่อนนี้ไหมครับที่ร้องว่า อยากจะเป็นจะมุ่งไป เป็นอะไรดีๆ สักอย่าง คงจะมีหนทางที่หวังกันไป อยากจะเป็นคนสำคัญ เป็นสักวันมันคงก้าวไป คงจะมีหนทางที่ฝันกันไป  อยากจะดังมันถึงต้องไป ในเมื่อใจมันเอาซะทาง ยอมทำทุกอย่าง ตะเกียกตะกาย.... แม้จะล้มก็คิดจะคลานเหงื่อจะส่านกระเซ็น ยิ่งคิดแล้วคุ้มจะขอไปเป็นอย่างฝัน จะร้อนจะหนาว ประมาณนี้ครับ ถ้าให้ผมร้องคงร้องไม่จบแน่ๆ แต่ที่ผมชอบเพลงนี้คือเพลงตะกายดาวที่ในสมัยนี้มีนักร้องหลายคนนับมาขับร้องกันใหม่ ไม่ว่าใครจะร้องผมก็ยังชื่นชอบครับ เพราะผมชอบในเนื้อหาของเพลง มันก็คงจะเหมือนชีวิตของผมครับที่มุ่งหวัง ประมาณว่าตะเกียกตะกาย ไขว่และคว้าให้ได้ในสิ่งที่มุ่งหวังเอาไว้

             ชีวิตผม ผมเรียกว่ายุ่งเหยิงคงไม่ผิดเพี้ยนไปหรอกครับ เพราะตั้งแต่จำความได้ เริ่มทำอะไรเป็น ก็ยุ่งวุ่นวาย จับต้นชนปลายไม่ถูกเลยซะอย่างครับ เริ่มจนจากการเรียนที่เคยเรียนสายธุรกิจก็ไม่ชอบหันมาตอนสายมัธยมปลาย หรือที่ใครๆ เรียกว่าม.4 ม.5 และ ม.6 นั้นแหละครับ พอจบมาได้แบบหืดขึ้นคอใช้คำนี้ต้องถูกต้องที่สุด (ลากเสียงยาวๆ เป็นคุณปัญญา ทำในรายการแฟนพันธ์แท้นะครับ)  ก็ไม่มีพื้นฐานแต่ดันคิดว่าต่อสายมัธยม หลังจากนั้นเหมือนโชคชะตาเล่นตลกกับคนหน้าตาดี ๆ อย่างผม(ถ้าคุณอยากที่จะวิ่งไปอ้วก ผมอนุญาให้คุณผู้อ่าน วิ่งไปอ้วกได้ครับ) พอเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง แววมันก็เริ่มฉายออกมา ก็จะอะไรอีกล่ะครับ ก็มีคนทาบทาม ชักและชวนผมไปเป็นนางงามเดินสายครับ ตอนแรกผมก็ปฏิเสธแต่พองามครับ เพื่อดูว่าผมไม่:-)กระหายที่จะอยากประกวดมากนัก แล้วหลังจากนั้น….

             ใช่ครับ ผมก็มาเป็นนางงามเดินสาย เดิน เดิน และ เดิน ถ้าเปรียบก็เหมือนเดินจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่เลยครับ เรียกว่างานไหนมีประกวด งานนั้นจะต้องเจอผมแน่นอน หลังจากตัดสินใจใช้ชีวิตเป็นนางงามเดินสายอยู่ดีๆ ความยุ่งเหยิงเริ่มฉายแววแล้วครับ เมื่อเศรษฐกิจเป็นแบบฟองสบู่ เวทีประกวดลดน้อยลง หน้าใหม่ๆ หมุนเวียนมาประกวดมากขึ้น คู่แข่งจึงมีมากทวีคูณ จากที่เคยประกวดได้รางวัลก็เริ่มไม่ได้ และประจวบกับผมไม่มีเงินค่าลงทะเบียน ผมจึงต้องตัดสินใจดร็อปเรียนหันกลับมาบ้าน พร้อมมาเรียนส่งที่สถาบันราชภัฏภายในตัวจังหวัดที่บ้านผม เพื่อลดค่าใช้จ่าย แววนางงามเดินสายผมจึงต้องค่อยๆ ดับลงเหมือนแสงเทียงที่หริบหรี่ลงอย่างช้าๆ

             เห็นไหมครับคุณผู้อ่านที่ผมเล่ามาผมไม่ได้ต้องการเรียกร้องสิทธิการประกวดนางงามของผมกลับมาหรอกครับ ผมอยากให้คุณผู้อ่านเห็นความยุ่งยาก ยุ่งเหยิง ที่โชคชะตาพลิกไป พลิกมาเล่นตลกกับผม พอผมเข้ามาเรียนที่สถาบันราชภัฏ คุณผู้อ่านคงคิดว่าความยุ่งเหยิงแบบด้ายที่พันเอาไว้อย่างเหนียวแน่นนั้นจะหมดลงไปใช่ไหมครับ ผิดถนัดครับ มันกลับส่งผมให้ชีวิตผมยุ่งยากมากยิ่งขึ้น ไม่เพราะอะไรหรอกครับ เพราะตัวผมเองที่ดัน…..

             ดันอะไรนั้นเหรอครับ ดันสาระแนน ครับอยู่ดีไม่ว่าดี วิญญาณนางงามมันเข้าสิงร่างผม เหมือนโดนผีบอบเข้าสิงครับ ผมเริ่มวางแผน มองรอบตัว ว่าเพื่อนข้างกายผมคนใด สามารถขึ้นประกวดนางงามได้ พอผมมองเห็นแวว ก็เลยชักชวนให้เพื่อนมาอยู่เป็นกลุ่ม เรียกว่าถ้าสนิท กล่อมง่ายครับ ชวนเพื่อนมาเป็นเชียร์ลีดเดอร์เผื่อดูว่าเวลาเพื่อนแต่งหน้าออกมาแล้วเป็นอย่างไร นั้นแหละครับจุดเริ่มต้นที่ผมต้องมาทำนางงามเดินสาย ยิ่งทำก็ยิ่งติด ติด ติด จนถอนตัวไม่ขึ้นครับ และคิดว่าคงไม่ถอนแล้วล่ะครับ เพราะถ้าถอนตอนนี้เดี๋ยวคุณผู้อ่านก็หมดสนุกในเรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อไปซิครับ  เชิญสนุกกันตามอัธยาศัยครับ  



    ชีวิตใหม่ๆ ที่ไม่ยุ่งและไม่เหยิง

                   หลังจากการมาเริ่มต้นกับความยุ่งเหยิงไปแล้วนั้น ผมคิดว่าโชคชะตาคงไม่ใจร้ายกับคนหน้าตาดีๆ ตลอดไป จริงไหมครับคุณผู้อ่าน (ให้อ้วกได้ครับ เหมือนอย่างเคย) ผมจึงค่อยๆ คิด วางแผนว่าจะทำอย่างไรดีกับชีวิตนี้ของผม หลังจากที่คิดได้แล้วว่าจะพลิกผันตนเองเป็นพี่เลี้ยงนางงาม เป็นงานที่ผมคิดว่าไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย เพราะเรียนรู้ แอบขโมย ตักตวงมาสมัยที่เคยเป็นนางงามเดินสายอยู่พักใหญ่ๆ

             แต่สิ่งที่ผมคิด ผมคิดผิดถนัดครับคุณผู้อ่าน เรื่องหาสาวงามมาประกวดนางงามนั้นไม่ยากเท่าไร เพราะเพื่อนก็มีหลายคนที่ผมมองเห็นว่าผมสามารถชักและชวนให้มาตกหลุมพราง มาประกวดกับผมได้ อย่างดีถ้าไม่เวอร์ก็แค่โดนเพื่อนเลิกคบ ตอนนั้นผมไม่คิดอะไรมากกว่าการเตรียมตัว เริ่มจากการหาชุดประกวด จำได้ตอนนั้นมีเงินติดกระเป๋า 8000 กว่าบาท คุณผู้อ่านคงคิดว่าเยอะแยะ มากมาย แต่เงินจำนวนนี้ไม่มากอย่างที่คิดครับ ผมเริ่มจากการไปเช่าชุดแต่ชุดที่ไปดูนั้น ไม่มีชุดแบบประกวดแบบที่ผมเคยใช้ประกวดมาเลยซะที ผมเลยตัดสินใจไปพาหุรัด สำเพ็ง หวังไปซื้อชุดประมาณหนีไปตายเอาดาบหน้า แต่ก็ซื้อไม่ลงเพราะแพงมาก ประจวบเหมาะคุณแม่ผู้ใจดีเปรียบเหมือนนางฟ้าให้ผ้ามาหนึ่งชิ้น ผมเลยตัดสินใจไปจ้างคณะลิเกปักชุดโดยบอกว่าให้ปักตามแบบที่ผมกำหนด ขืนให้คณะลิเกออกแบบล่ะก็สาวงามที่มาประกวดนางงามผมคงเป็นนางเอกลิเกแน่ๆ ผมตัดใจซื้อผ้าเพิ่มอีกหนึ่งชิ้นและสไบ 2 ผืน หลังจากนั้น 1 เดือนผมก็มีชุดประกวดที่สวยถูกใจผม ถึง 2 ชุด เงินที่เหลือก็นำไปจ้างทำเครื่องประดับชุดไทย ก็เลยได้เครื่องประดับชุดไทยมาอีก 3 ชุด ในที่สุดผมก็ต้องลงทุน ทั้งๆ ที่ใจไม่อยากลงทุนซะเท่าไร

                   หลังจากนั้นผมยังไม่เล่าแล้วกัน เพราะเดี๋ยวจะไปซ้ำกับเรื่องอื่นๆ ที่ผมจะเล่าต่อๆ ไป แต่เรื่องดีๆ ก็มีในชีวิตผม งานแรกที่ผมส่งสาวงามไปประกวดนั้น คนหนึ่งคือเพื่อนผม อีกคนเป็นน้องที่ผมรู้จักกับคุณแม่ของน้องคนนี้ 2 เวทีที่ผมส่งไป ผมไม่ได้หาสปอนเซอร์ แต่อย่างที่ผมบอกครับชีวิตใหม่ๆ ผมต้องไม่ยุ่งและไม่เหยิง สาวงามที่ผมส่งประกวดนางงามประสบความสำเร็จ ได้ที่ 1 ส่วนอีกคนหนึ่งได้รองอันดับ 1 พร้อมขวัญใจช่างภาพ ไม่ต้องถามความรู้สึกครับ ผมดีใจสุดๆ มากครับ หลังจากนั้น สปอนเซอร์ก็ติดต่อผมมาเรื่อยๆ และผมตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่กับการทำชุดประกวด เครื่องประดับชุดไทย รองเท้าที่นางงามต้องใส่ประกวด และอื่นอีกจิปาถะ

             ถ้าถามในตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมทำลงไป จะคุ้มค่ากับที่ผมลงทุนไปหรือไม่ ผมยังไม่รู้เลยว่ามันถูกหรือผิด ผมรู้แต่ว่าสิ่งที่ผมเลือกนี้ อนาคตจะเป็นตัวกำหนด ประมาณว่าเป็นตัวแปรสมการที่สำคัญ เพราะทางเดินยังอีกยาวไกล ทางที่เดินคงไม่ราบเรียบเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ทางสายนี้จะพิสูจน์ความแกร่ง ความกล้า และคำตอบที่รอคอยในอนาคตจะบอกผมได้ว่าผมคุ้มค่ากับที่ผมลงทุนไปหรือไม่

    จากคุณ : ปลาการ์ตูน (PaKaTooN) - [ 8 มี.ค. 47 17:23:41 A:203.113.40.10 X: ]