=[+] ฉิกจับอิด [+]= นิยายจีนร่วมแต่งแนวทดลอง : ตอนที่38 อิทธิพลของพรรคฉิก

    กองคาราวานฉิกจับอิด เหล่าพ่อครัว เด็กรับใช้ รวมทั้งลูกจ้างที่เป็นคนของโรงเตี๊ยมฉิกจับอิดสาขาเชิงดอย(เชิงเขาบูตึ๊ง) พากันออกเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน มุ่งหน้าสู่โรงเตี๊ยมฉิกสาขาหยางโจว ซึ่งเป็นตัวเมืองอันเป็นที่ตั้งของสำนักใหญ่ของพวกมัน

    “เถ้าแก่ เหตุใดพวกเราจึงต้องปิดกิจการและเร่งเดินทางติดตามท่านพ่อบ้านมาเช่นนี้เล่า?”ผู้รับใช้คนหนึ่งถามด้วยเสียแผ่วเบาจนเกือบเป็นเสียงกระซิบกับเถ้าแก่ร้าน

    “ข้าก็มิทราบเหตุผลที่แท้จริง เพียงได้ยินมาว่า สาเหตุสืบเนื่องมาจาก หอห้ากระบี่เปลี่ยนตัวผู้นำใหม่ เป็น จื่ออิง แห่งบู๊ตึ๊ง!!!”เถ้าแก่ร้านตอบมาด้วยเสียงแผ่วเบาดุจเดียวกัน

    “นั่น! เกี่ยวข้องอันใดกับโรงเตี๊ยมพรรคเรากัน?” เด็กรับใช้ที่มีหน้าที่ดูแลม้าลา เป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้าง คราวนี้เสียงที่กล่าวดังมิใช่น้อยทีเดียว

    “พวกเจ้าอย่าเอ็ดไป การเปลี่ยนผู้นำของพวกมัน เกี่ยวข้องกับพรรคเราโดยตรงทีเดียว”

    “อันใด?”

    “พวกเจ้าคงเคยได้ยินมาบ้าง ถึงเรื่องการตายของเตียหงี อดีตเจ้าสำนักบู๊ตึ๊ง คนทั้งหลายพากันกล่าวว่ามันตายเพราะพิษ “ซาเลอปี่” ของพรรคเรา ดังนั้นการเปลี่ยนผู้นำครานี้ จื่ออิง ผู้นำคนใหม่ ประกาศปณิธานแน่วแน่ ล้มล้างพรรคเรา แก้แค้นแทนอาจารย์”

    “เพ้ย!!! พวกมันมีหลักฐานอันใด กลับกล่าวหาพรรคเรา?”

    “เราก็มิทราบ เพียงทราบแต่ว่า พรรคเราคงมิสามารถทำมาหากินได้โดยสะดวกเช่นเดิมแล้ว!!!” กล่าวจบถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

    “หรือ…หรือว่า ทางการจะนิ่งเฉยปล่อยให้พวกมันจัดการกับพรรคเรา” เด็กรับใช้ที่มีหน้าที่ดูแลม้ากล่าวอย่างตระหนก

    “เจ้ามิต้องกังวล พรรคเรามีเส้นสายอยู่ในพวกขุนนางมิใช่น้อย กำลังคนของพรรคเราก็มิได้ด้อยไปกว่าพวก “หอห้ากระบี่” เพียงแต่ พยัคฆ์เผชิญราชสีห์ ต่อให้มิตกตายก็ต้องมีบาดเจ็บ เพียงมิรู้ฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายสูญเสียมากกว่ากัน…
    …………….
    …………………..

    หลังจาก แม่ทัพหวง และ ตุลาการ เดินทางกลับมายังวังหลวง ก็มีพระราชบัญชาจาก ฮ่องเต้ ให้ตุลาการเที่ยงธรรม เฉินซื่อ เข้าเฝ้าโดยด่วน

    ตุลาการ ติดตามหัวหน้าองครักษ์หวงไปยังห้องทรงพระอักษร พบขันทีซุ่น หัวหน้าขันทีในวังหลวงยืนรออยู่ก่อน

    “ท่านขันที ท่านทราบหรือ ไม่ว่า มีเรื่องด่วนอันใด พระองค์จึงมีพระราชโองการตามข้าพเจ้า มาโดยด่วนเช่นนี้”

    ตุลาการถามด้วยความสงสัย

    “ข้าพเจ้าก็มิทราบ แต่พระองค์ทรงเรียก ใต้เท้าฉิน และ ขุนพลหาน เข้าเฝ้าพร้อมกันเป็นการด่วนด้วย”

    คำพุโนี้ทำให้คิ้วทั้งสองข้างของตุลาการขมวดมุ่นโดยมิรู้สึกตัว

    “เร็วเถิด ทุกคนรอท่านอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น”

    แต่ไหน แต่ไร ตุลาการเที่ยงธรรม แม้นว่า จะเป็นเพียงขุนนางระดับสอง แต่ก็ได้รับการไว้ใจจากฮ่องเต้ ในการปรึกษาหารือ ข้อราชการสำคัญๆ ร่วมกับ อมาตย์ฉินซึ่งมี ศักดิ์เป็นท่านอ๋อง และ ขุนพลหาน ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่คู่บัลลังค์เสมอมา

    “ครานี้คงมีเรื่องใหญ่โต มิใช่น้อย จึงมีพระบัญชาเรียกท่านทั้งสาม มาหารือเป็นการด่วน”

    ขันทีซุ่น รำพึงเบาๆ

    “เรื่องนี้ ข้าพเจ้ากลับทราบข่าวคราวมาบ้าง สหายของข้าพเจ้าจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่ประจำการอยู่ชายแดน ช่วงนี้มักมีข่าวลือหนาหูว่า ยามนี้ชนเผ่าหูได้เคลื่อนทัพเข้าประชิดพรมแดนด้านตะวันตกของเรา ฝ่ายเราได้ส่งกองทัพ เข้าประจำตามจุดยุทธศาสตร์ เพื่อตั้งประจันหน้าข้าศึกมิให้รุกล้ำเข้ามา”

    “มีเรื่องเช่นนี้!!?”ขันทีซุ่นอุทานออกมา

    “ชู่ว ท่านขันทีอย่าได้กล่าวออกมา ข่าวเรื่องนี้ยังมิได้ยืนยัน เพียงแต่เป็นข่าวลือปากต่อปาก”

    นิ่งชั่วครู่จากนั้นกล่าวต่อ


    “ข้าพเจ้าว่านี่อาจเป็นเหตุที่ทำให้ ฮ่องเต้ ต้องเรียกประชุมด่วน แต่ก็ดีเหมือนกัน ข้าพเจ้า มีข้อราชการหลายข้อต้องการจะหารือกับท่านตุลาการ หมู่นี้ท่านไม่ค่อยจะมีเวลาว่าง หลังจากที่รับทำคดีฆาตกรรมเตียหงี ผู้นำหอห้ากระบี่”

    “ข้าพเจ้าเองก็ไม่เข้าใจ ไยบุคคลสำคัญเยี่ยงท่านตุลาการ จึงต้องลงไปทำเรื่องเล็กน้อยนั้นด้วยตัวเอง เพียงแค่คดีฆ่ากันของพวกชาวยุทธ”

    ขันทีกล่าวเสริม

    “ได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับ พรรคฉิกจับอิด ที่ทรงอิทธิพล ท่านตุลาการจึงสนใจลงไปทำคดีด้วยตนเอง ทว่า ข้าพเจ้าเองก็เห็นตรงกับท่านว่า เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ มิจำเป็นให้บุคคลสำคัญ เช่นท่านตุลาการ ต้องลงไปจัดการเอง”

    หวงเหลยกล่าวต่อว่า

    “บางที ท่านอาจจะอยากพิสูจน์ฝีมือในการสอบสวนคดี ว่ายังเด็ดขาดเหมือนสมัยหนุ่มๆ หรือ ไม่ ก็เป็นได้ ฮา ฮา”

    ทั้งคู่หัวเราะ ออกมาพร้อมกัน การสนทนาเริ่มออกรสชาดแล้ว

    เป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม หลังจากที่ทั้งคู่ได้นินทาผู้คนจนแทบจะทั่ววังหลวงแล้ว ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามก็ได้ออกมาจากห้องทรงพระอักษรด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จนทั้งคู่มิกล้าสอบถามความใดๆ

    ทั้งสามได้แยกย้ายกลับจากตำหนัก และเนื่องจาก ฮั่นตง ไม่อยู่ ฮ่องเต้จึงมีบัญชา ให้แม่ทัพหวงเหลย ตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์ประจำวังหลวง ทำหน้าที่ อารักขา ท่านตุลาการเที่ยงธรรม เป็นการชั่วคราว

    “ท ท่านตุลาการ ฮ่องเต้มีเรื่องสำคัญอันใด ขนาดต้องเรียกตัวท่านกลับมาจากราชการ หากมิใช่ความลับ ท่านพอจะบอกข้าพเจ้าได้ หรือ ไม่…”

    หวงเหลยถามอย่างเกรงใจ หลังจากที่กลับมายังที่พักแล้ว

    “ ได้สิ แต่ข้าคิดว่าท่านคงทราบระแคะระคายอยู่แล้ว ยามนี้ ทัพชนเผ่าหู เคลื่อนกำลังเข้าประชิดพรมแดนของเรา”

    “ข้าพเจ้า ก็ทราบมาจากมิตรสหายในกองทัพ แต่ชนเผ่าหู มีกำลังน้อยกว่าเรามาก ไม่น่าเกรงกลัวอันใด ทางฝ่ายเราก็จัดเตรียมตั้งทัพ ประจันหน้าไว้แล้ว ยังมีอันใดต้องห่วงอีก”

    “ชนเผ่าหู มุ่งมั่นจะเข้ามายึดครองดินแดนของพวกเรามาหลายปีแล้ว มันได้สะสมเสบียง กำลังคน อาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมาก จริงอยู่แม้จะมีจำนวนน้อยกว่าเรา แต่ก็เข้มแข็ง สามัคคี ผิดกับพวกเราที่แม้คนเยอะแต่ ก็อยู่กันอย่างสบาย จนอ่อนแอ”

    “อืมม อันนี้ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับท่าน เหล่าแม่ทัพนายกองที่ประจำอยู่ชายแดนล้วนบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ทหารของเรานับวันจะอ่อนแอลง พวกที่ถูกเกณท์มาใหม่ๆ ก็ไร้เรียวแรง ต้องฝึกอยู่เกือบสองปี กว่าจะเข้าที่เข้าทาง สมัยก่อนฝึกแค่ สอง สามเดือนก็เข้าที่แล้ว นี่กลับต้องใช้เวลามากกว่าเดิมนับสิบเท่า ยังมีทหารที่ฝึกฝนจนครบกำหนด พอปล่อยพวกมันกลับบ้านไปพัก เมื่อเรียกกลับเข้าประจำการก็ล้วนแต่สิ้นเรี่ยวแรง ต้องมาเริ่มฝึกกันใหม่ แต่ต้น นับเป็นเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก”

    “พวกมันมีปัญหาด้านร่างกายหรือ? เหตุใดมิคัดเลือกพวกที่ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงมาฝึก จะได้สะดวกง่ายดายกว่านี้”

    ตุลาการเอ่ยถามขึ้นมา เรื่องน้อยใหญ่ภายในวังหลวงแห่งนี้หากต้องการทราบ นับว่าการสอบถามจาก แม่ทัพหวงผู้เป็นหัวหน้าองครักษ์ นับว่าถูกตัวยิ่ง

    หวงเหลยถอนใจ พลางส่ายหน้า กล่าวว่า“ความจริงพวกมันล้วนร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดี ทว่าปัญหาอยู่ที่จิตใจมากกว่า พวกมันส่วนใหญ่แล้วล้วนแต่รักความสบาย”

    “รักความสบาย?”

    “ถูกต้องแล้ว พวกมันพอถูกเกณท์เป็นทหาร ต้องเข้ามาอยู่ในระเบียบวินัย ก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จิตใจหดหู่ ไม่เคยชินกับความลำบาก ต้องฝึกอยู่นานจึงจะเข้าที่ คิดดูขนาดพวกมันบางคน ฐานะยากจน ยังหาโอกาสเข้าไปดื่มกินใน โรงเตี๊ยมฉิก ซึ่งค่อนข้างแพง พวกมีเงินหน่อย ก็ไม่ยอมเข้ารับการเกณท์ทหาร ติดสินบนเจ้าพนักงาน ระเบียบวินัยในกองทัพตอนนี้ถือว่าสั่นคลอนมากทีเดียว”

    แม่ทัพหวงนิ่งอยู่ชั่วครู่เหมือนจะชั่งใจว่าสมควรพูดดีหรือไม่?

    “อย่าว่าแต่ ทหารใหม่เลย พวกแม่ทัพ นายกอง เดียวนี้ ก็ติดความสบาย ทำตัวฟุ้งเฟ้อ ไม่ค่อยอยากออกรบกันแล้ว อาจจะเป็นเพราะบ้านเมืองไม่มีศึกมาหลายสิบปี จนบางคนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไรนัก”

    "ขนาดระดับเสนาบดี มีบุตร ยังช่วยบุตรตัวเองหนีทหาร ปล่อยให้เที่ยวเสเพล เสพสุรา มั่วนารี ทั้งยังใช้อิทธิพลฝากเข้าเรียน เข้ารับราชการ มิหนำซ้ำเมื่อเข้าไปยังทุจริตในการสอบ เป็นที่น่าอเนจอนาจยิ่งนัก"


    “แล้วโรงเตี๊ยมฉิก ที่เมืองหลวงนี่เป็นเช่นไรบ้าง?”

    หวงเหลย งุนงงเล็กน้อย ที่กำลังสนทนาเกี่ยวกับ ราชการทหารอยู่ดีๆ ตุลาการก็เปลี่ยนเรื่องคุยเสียดื้อๆ

    “เอ่อ ก็ ก็ดี ข้าพเจ้า และ เหล่าขุนนางในราชสำนักก็ไปใช้บริการอยู่บ่อยๆ นอกจากราคาที่ค่อนข้างแพง สถานที่บรรยากาศ และ การบริการนับว่าดีเยี่ยม” มันนับเป็นคนที่ทราบไปหมดทุกเรื่องจริงๆ

    “เสียอย่างเดียว”


    “มีข้อเสียอันใด”

    ตุลาการถามไปเรื่อยๆ คล้ายไม่ใส่ใจ

    “ข้าพเจ้าสังเกตว่า พวกชาวบ้านไม่ว่า รวย จน ก็มักจะแวะเวียนมาใช้บริการไม่ขาดสาย ลำพังคนรวย หรือ ขุนนางอย่างเราๆ ก็ไม่เท่าไหร่ แต่พวกคนยากคนจนนี่ซิ บางทีต้องทำงาน สอง สามวัน ถึงจะสามารถกินอาหารที่นี่ ได้มื้อหนึ่ง แต่ก็ยังมีผู้มาใช้บริการไม่ว่างเว้น บางคนก็ขายบ้าน ขายช่อง เพื่อนำเงินมากินเที่ยวที่นี่”

    "แต่ ข้าพเจ้าเดินทางไปตามที่ต่างๆ ในหลายๆเขต โรงเตี๊ยมฉิกจับอิด ขายของไม่แพงนี่ บางที่ขายถูกกว่าเพิงน้ำชาเสียอีก"
    ตุลาการแย้ง

    "ที่เมืองหลวงนี่ แต่ก่อนก็ราคาถูก แต่ระยะหลังพอเริ่มไม่มีคู่แข่ง ก็เพิ่มราคาขึ้นมา ข้าพเจ้าคิดว่า แรกๆคงลดราคาเรียกลูกค้ามากกว่า แต่ขณะนี้แม้จะแพงขึ้น ข้าพเจ้าก็ว่ายังคุ้มค่าเงินที่จ่ายไป เพียงแต่ว่า มันแพงไปสำหรับชาวบ้านทั่วๆ ไป แต่จะไปโทษพวกฉิกจับอิดก็ไม่ได้ พวกชาวบ้านเหล่านั้น ไม่รู้จักสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร มีรายได้น้อยกลับทำตัวฟุ้งเฟ้อ"

    ตุลาการนั่งครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จากนั้นจึงกล่าวว่า

    "ข้าพเจ้าว่ามันก็น่าเห็นใจอยู่เหมือนกัน เพราะตั้งแต่มี โรงเตี๊ยมฉิกจับอิด โรงเตี๊ยมน้อยใหญ่ต่างก็อยู่ไม่ได้พากันปิดกิจการไปเป็นจำนวนมาก"

    "เรื่องนี้ข้าพเจ้าก็คิดอยู่เหมือนกันทั้งยังไม่เข้าใจ ไยกิจการคู่แข่งของพวก ฉิกจับอิด จึงไม่คิดหาวิธีปรับปรุงกิจการให้สู้กับ พวกฉิกจับอิด ได้"

    หวงเหลย กล่าวพร้อมกับ เริ่มครุ่นคิดบ้างแล้ว

    "อาจจะยากสักหน่อย พรรคฉิกจับอิด มีเครือข่ายกว้างขวาง ซื้อข้าวของคราวละมากๆ การต่อรองย่อมมีมากต้นทุนย่อมถูกกว่า ร้านทั่วไปมาก"

    ตุลาการกล่าว

    การสนทนากับหวงเหลย หากเลือกหัวข้อดีๆ ก็นับว่า ไม่ถึงกับไร้สาระ ตรงกันข้าม อาจได้ประโยชน์มหาศาล แต่ผู้คนนิยมชมชอบ สนทนาเรื่องไร้สาระกับมันมากกว่า

    "แต่ข้าพเจ้ายังเชื่อว่า ยังมี ร้านค้า หรือ โรงเตี๊ยมที่สู้กับ ของฉิกจับอิดได้ หากทำให้ดีๆ"

    หวงเหลยยังเชื่อมั่นเช่นนั้น

    “…………….” ตุลาการนิ่งงัน มิตอบโต้คำพูดนั้น ทั้งนี้เพราะในใจของเขาเริ่มตระหนักถึงอิทธิพลของพรรคฉิกจับอิดที่นับวันจะหยั่งรากลึงขึ้นทุกที
    ………………………..

    แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 47 22:54:38

    แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 47 22:06:31

    จากคุณ : ทีมแต่งนิยาย - [ 11 มี.ค. 47 21:51:15 ]