"ติ๋ม"

                                  ติ๋ม
                                                   โดย “ตานายเดิน”
       

        ผมพลิกเฟรนด์ชิพเล่มหนาของเพื่อน อ่านผ่านไปมาอย่างสนอกสนใจ บางทีก็อมยิ้มหรือปล่อยเสียงแค่นหัวเราะเบาๆ อยู่คนเดียว จนผ่านไปได้เกือบครึ่งเล่มก็มาสะดุดกับลายมือคุ้นๆ  มีรูปประกอบเป็นภาพเด็กชายหัวเกรียนกำลังทำท่าที่คิดว่าหล่อแล้วที่สุดในชีวิต ที่หน้าอกเสื้อมีอักษรย่อของสถาบันปักสีน้ำเงินอยู่สองตัว ด้านล่างรูปมีข้อความที่เขียนให้เจ้าของเฟรนด์ชิพ แสดงถึงอารมณ์ตอนเขียนได้ดี เนื้อหาที่เขียนค่อนข้างสนุกสนาน แฝงความโลดโผน ทะลึ่ง ทะเล้น ปากกาเมจิกถูกขีดเขียนทั้งข้อความอาลัยที่ต้องลาจาก คำอวยพรแผลงๆ รูปภาพตัวการ์ตูนที่ทำท่ากวนๆ ท้ายสุดมีข้อความถูกขีดด้วยปากกาเน้นข้อความสีสดว่า ‘รักติ๋มโว้ย’ แถมด้วยสัญลักษณ์อะไรซักอย่างเป็นรูปคล้ายหัวใจซ้อนกันใต้ชื่อที่เซ็นกำกับว่า  ‘เต๋าเอง’
     
        “เอ้า ไอ้เต๋า  นั่งยิ้มอยู่ได้คนเดียว ไปกันเถอะคนเริ่มมาแล้ว”น้ำเสียงของไอ้ชัย ปลุกให้ผมละสายตาจากหนังสือเล่มหนานั้น
        ผมมองตามคำบอกกล่าวของมัน เห็นภาพผู้คนมากหน้าหลายตา เริ่มรายล้อมผ่านประตูทางเข้าหน้าป้ายชื่อโรงเรียน อุดมวิทยา ภายในมีเวทียกระดับขึ้นมา ด้านล่างมีโต๊ะกับเก้าอี้รายล้อมเต็มไปหมด พื้นที่เริ่มมีคนจับจองนั่งกันบ้างแล้ว
         ผมขยับตัวพาร่างออกมาจากรถของตัวเอง ในมือมีสมุดเล่มหนาติดออกมาด้วย
        “เฮ้ย ไม่ต้องเอาสมุดเฟรนด์ชิพออกมา ข้าแค่เอามารื้อฟื้นความทรงจำนิดหน่อย แค่นั้น”ไอ้ชัยบอกแล้วพลางเดินนำหน้าเข้าไปในงาน
        ผมทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนพาตัวเองให้ทันกับไอ้ชัยที่นำไปก่อน จะว่าไปแล้วงานนี้มีขึ้นได้ ต้องยกความดีความชอบให้มันส่วนหนึ่งด้วยความเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการติดตาม และกระจายข่าว บอกกล่าว อีกทั้งตามล่า ตามจิก ขอร้องแกมบังคับ แก่ทุกคนในงานคืนสู่เหย้าของนักเรียนในรุ่น 45 ของโรงเรียนแห่งนี้ มิเสียแรงที่เคยดำรงถึงตำแหน่งประธานนักเรียนเก่า ผมคิดว่าบทเรื่องจะเข้าท่า มันก็ใช้ได้เหมือนกัน ไม่ใช่สักแต่บ้าๆ บอๆ ไปเรื่อยเปื่อยตามสายตาของคนรอบข้าง ภาพความจำครั้งอดีตมีให้เห็นจนเป็นภาพที่ฝังอยู่ในสมองของผมเสียแล้ว กับเด็กที่รักการทำกิจกรรมมากกว่าการฝังตัวอยู่ในห้องเรียน หรือเวลาพักเที่ยงของใครๆ เขา ที่ส่วนใหญ่จะต้องเจียดเวลาไปกับการกินข้าวเป็นกิจวัตรหลัก แต่นั่นแหละเป็นเวลาที่จะพวกผมจะประลองคมฝีเท้ากัน ณ สนามลาดซีเมนต์ ที่ถูกสมมุติว่าเป็นเมกกะสถานฟาดแข้งชื่อก้องโลกนาม เวมบลีย์ กลางแสงแดดที่ร้อนเป็นปกติของประเทศที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร โดยมีศักดิ์ขีพยานคือเหล่าต้นหัวกวาง น้อยใหญ่ที่ปลูกรายรอบโรงเรียน ที่คิดว่าถ้ามันพูดได้คงอยากขอย้ายตัวเองเข้าไปหลบแดดใต้อาคารเรียนมากกว่ามายืนสู้กับอารมณ์ร้ายของเปลวแดดอย่างนี้ หรือทุกกิจกรรมที่สามารถชวนตัวเองให้ออกมาอยู่นอกห้องได้อย่างถูกธรรมนองคลองธรรม ก็ได้รับการตอบรับจากเหล่าพวกผมอย่างหน้าชื่น ตาบาน เหมือนดังห้องเรียนเป็นที่ปล่อยรังสีอันน่ารังเกียจ สะพรึงกลัว ต้องหลีกลี้ หนีให้ไกล ปฏิบัติจนเป็น:-)ที่ฝังลึกอยู่ในตัว ยังดีที่มาไหวตัวก่อนที่จะจบ ไม่งั้นคงได้อยู่เป็นปู่โรงเรียนเป็นแน่
        ผู้คนที่เหมือนกับคุ้นหน้า คุ้นตาเคียงข้างอยู่รอบตัวไปหมด ผมมองหาที่นั่งของตัวเอง ก่อนเฝ้ามองผู้คนที่ส่งเสียง ดังดีใจ บางคนเปลี่ยนไปไม่เหลือคราบไคลตอนเป็นนักเรียนเลย เสียงหัวเราะดังแข่งเสียงเพลงจากลำโพง ลอยมาเป็นระยะ
        กำลังเพลิดเพลินกับภาพตรงหน้า ก็มีอันต้องสะดุ้งกับมือใหญ่ที่ตบผางเข้ามาที่บ่าของผม
        “เฮ้ย ไอ้เต๋าใช่เปล่าวะ”น้ำเสียงใหญ่พอๆ กับมือส่งเสียงมา
        “อ้าว ไอ้พจน์ เองหรอกหรือ”ผมหันไปพร้อมยิ้มรับกับเพื่อนเก่าที่อยู่ตรงหน้า มันคว้าร่างผมเข้าไปกอด ก่อนเขย่าแรงๆ สองสามที เมื่อหนำใจก็ยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ
        “เป็นยังไง มางานกับใครวะ” มันฉีกยิ้มตอบ ก่อนหล่นคำถาม
        “มากับไอ้ชัย แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปอยู่มุมไหนของงานแล้ววะ”ผมตอบไป คิดอยากจะเข้าไปกอด และเขย่ามันแรงๆ ตอบบ้าง แต่ต้องเลิกล้มความตั้งใจ เพราะคิดว่าตอนนี้แขนผมโอบมันไม่มิดแล้ว ไอ้พจน์ ในตอนเรียนถือเป็นหัวโจก แห่งรุ่น วีรเวรที่สร้างทั้งในโรงเรียน และนอกโรงเรียนมากมาย ฉายา ‘บางระจันบอย’                          
                           

    จากคุณ : "ตานายเดิน" - [ 13 มี.ค. 47 06:42:12 A:203.156.67.138 X: ]