เงารักบังใจ บทที่ 28-29

    บทที่ ๒๘
                 ยามที่ท้องฟ้ายังไม่สางดีนั้น  มีหมอกหนาปกคลุมโรยไปทั่วตัวบ้าน ลมหนาวก็ถูกภูวัตมาเคาะประตูปลุกเรียกให้ตื่นอีกครั้ง  ดีที่ว่าหญิงสาวนั้นนอนไม่ค่อยหลับเท่าใดนักเพราะครุ่นคิดอะไรมากมายในเรื่องของเมื่อคืนวานนี้
                ชายหนุ่มยิ้มให้หญิงสาวอย่างอารมณ์ดี  ขณะที่คิ้วเรียวสวยของหญิงสาวเลิกขึ้นจากประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะให้หล่อนไปข้างนอกทั้งที่ยังไม่ทันเช้างั้นหรือ
                “ คุณอยากไปดูทะเลหมอก ก่อนดวงอาทิตย์จะขึ้นหรือเปล่า ” เขาถามหล่อน
               “ ไปก็ได้คะ   แต่ดิฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะคะ   จะให้ไปทั้งอย่างนี้เนี้ยนะคะ ” หล่อนถามเขากลับ แต่ชายหนุ่มไม่สนใจเขาคว้าข้อมือหล่อนให้รีบไป
               หลังจากที่เขาจูงหล่อนออกมาจากบ้านได้  เขาก็ยังไม่ปล่อยมือ หญิงสาวมองด้านหลังของชายหนุ่มไม่รู้ว่าเขาจะรู้บ้างไหมว่ากำลังจับเนื้อต้องตัวหล่อนอยู่
                เขาพาหญิงสาวเดินขึ้นเขาไปเรื่อย  ห่างไปจากตัวบ้านขึ้นทุกทีทุกที เป็นทางเดินที่ค่อนข้างเรียบไม่ขรุขระนักจนเดินลำบากทำให้หญิงสาวไม่รู้สึกเหนื่อย
               แต่กลับหนาวจนแทบจับใจ  หล่อนลืมไปว่าไม่ได้ติดเอาเสื้อหนาวอีกตัวมาด้วย
               แค่ชุดนอนผ้าหนาสำหรับต้องขึ้นไปที่สูงมันไม่เพียงพอหรอก
               ชายหนุ่มก็เหมือนจะรู้ใจหญิงสาวเสียเหลือเกิน   เขายอมปล่อยมือ ถอดเสื้อแขนยาวที่สวมอยู่ออกมาส่งให้กับหล่อน พลางสั่งกำชับให้หล่อนใส่
                หญิงสาวมองเสื้อของเขาสลับกับชายหนุ่มที่ตอนนี้มีเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาวผ้าบางกับกางเกงขายาวอยู่บนตัวเท่านั้นเท่านั้น
                “ สวมไปเถอะจะได้ไม่หนาว   หรือว่าคุณรังเกียจ   ผมรู้ว่าคุณอนามัยนะแต่ผมไม่ได้เป็นโรคเรื้อนหรือกลากเกลื้อนหรอกคุณ   รับรองได้ ” เขาบอกหล่อนติดตลกอีกครั้งเมื่อหล่อนยังละล้าละลังไม่ยอมใส่เสียที
                คำขอบคุณหลุดออกมาจากริมฝีปากของหญิงสาวอย่างแผ่วเบาพร้อมกับรอยยิ้มมองชายหนุ่มที่กำลังยิ้มตอบอย่างมีเสน่ห์ด้วยดวงตาแห่งความอ่อนโยน
                ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไปและความรู้สึกที่กำลังล้นเอ่อออกมาคืออะไร
                 ทำไมมันถึงช่างหวานมากขึ้นกว่าเดิมเวลาหล่อนได้เห็นรอยยิ้มของชายหนุ่ม  
                 ในใจนั้นก็เต้นระทึกอย่างรวดเร็ว  
                 ภูวัตหันมามองหญิงสาวที่สวมเสื้อคลุมทับเสร็จแล้วอย่างพอใจ  ก่อนจะยื่นมือมาให้หล่อนจับอีกครั้งเดินขึ้นไปบนเขาต่ออีก   พร้อมทั้งลดฝีเท้าและการก้าวย่างแต่ละก้าวให้สั้นและช้าลงอย่างสมำเสมอ
                 เขาอยากจะเดินเคียงไปข้างๆกับหญิงสาวและไม่อยากให้หญิงสาวหลงไปกับหมอกที่กำลัง
    โรยตัวไม่จางไปนักในตอนนี้
                 “ ใจดีจัง ผิดกับเมื่อก่อนลิบลับเป็นหน้ามือหลังเท้าเลย ” หล่อนเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาๆกับตัวเองไม่คิดว่าชายหนุ่มจะได้ยินจนหันมาตอบ
                 “ ก็คุณเป็นคนดีมิใช่หรือ    อีกอย่างหนึ่งพี่ชายคุณ กับคุณย่าและใครต่อใครเขาก็ชอบบอกให้ผมดูแลคุณให้ดี ”
           สิ่งที่เขาบอกทำเอาหญิงสาวหน้างอ  ด้วยความน้อยใจ
               ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชาย  หรือคนอื่นๆบอกเขาคงไม่คิดจะพาหล่อนมาเดินเล่นหรือทำตัวดีๆให้หรืออย่างไรนะ
               ขอเอาคำว่าใจดีที่ชมไปเมื่อกี้คืนหน่อยเถอะ
               “ ผมพูดเล่นน่าคุณ   ก็ตอนนี้คุณกับผมเป็นเพื่อนกันมิใช่หรือ   อีกอย่างคุณก็บอกว่าเมื่อก่อนผมทำตัวแย่มาก   ซึ่งผมยอมรับ   ตอนนี้ก็เลยกำลังจะไถ่บาปให้กับคุณอยู่   ด้วยการเป็นเพื่อนที่ดี แล้วผมจะบอกอะไรให้คุณรู้ไว้นะว่าที่ผมจะพาไป   คุณเป็นคนแรกที่จะได้เห็น ” เขาว่าด้วยน้ำเสียงที่จริงจังหากแต่หล่อนมองไม่เห็นใบหน้าตรงๆของเขาว่าจะจริงจังอย่างน้ำเสียงหรือไม่เพราะความที่ยังมีหมอกลอยผ่านและไม่สว่างดี
                ชายหนุ่มเดินไปข้างๆหล่อนจนถึงบนสุดของยอดเขาซึ่งเขาเป็นคนจับจองไว้ทั้งหมดนี้   มองเห็นภูเขารอบๆข้างที่สูงใหญ่ไม่แพ้กันได้อย่างถนัดตาโดยไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองแม้แต่น้อย
                ภูเขาแห่งนี้ถ้ากลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเมื่อไรคงทำกำไรให้กับชายหนุ่มน่าดูชม จนวันๆเอาแต่นั่งนับเงินทีเดียวเชียว
                แต่เป็นเพราะเขาไม่โลภและรักชอบในการปลูกต้นไม่ละมั้งที่ทำให้เขายอมลำบาก
                 เมฆหมอกหนาดูนุ่มนวลและงดงามราวกับปีกของนกหงส์หยกสีขาวมีจำนวนมากจนดูเหมือนกับท้องทะเลยามที่คลื่นกำลังซัดเข้าฝั่ง  ที่ปลายขอบฟ้าแสนไกลลิบเกินที่หล่อนจะไขว่คว้า บัดนี้ดูเหมือนใกล้แค่เอื้อม  มีแสงสีทองเป็นประกายอ่อนๆกระจายไปน้อยราวกับว่าดวงอาทิตย์ใกล้จะหลุดพ้นทะเลหมอกแห่งนี้แล้ว
                ภูวัตนั่งลงไปบนก้อนหินก้อนหนึ่งมองภาพเบื้องหน้า  ไม่ต่างจากหญิงสาวที่กำลังนั่งลงบนหินไม่ห่างจากเขานัก  มองภาพเบื้องหน้าอย่างไม่ละสายตา มือก็ยังคงกุมกันไว้  
               แม้กระทั่งตะวันนั้นเคลื่อนคล้อย  โผล่พ้นจากเหล่าทะเลหมอกขึ้นมาบนท้องฟ้า เป็นสีส้ม แดง
    และทองเรืองรองผสมกันไปราวกับงานศิลปะบนผืนผ้าใบชิ้นใหญ่ที่คนบรรจงสรรสร้างนั้นช่างมีฝีมือ
    อย่างหาที่ติไม่ได้ มือของคนทั้งคู่ก็ไม่คิดจะแยกจากกัน
               หากใครได้เห็นคนทั้งคู่ในยามนี้จะเหมือนกันมีแสงแห่งความอบอุ่นนั้นสาดส่องไม่แพ้กับแสงอาทิตย์ต้องเบื้องหน้าแม้แต่น้อย
               “ ที่นี้เป็นมุมที่สวยที่สุดที่จะดูทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นเป็นที่ส่วนตัวซึ่งผมเก็บมันไว
    เป็นความลับ   ผมใช้เวลาอยู่บนนี้ใช้เวลาในตอนเช้าและกลางคืนของทุกๆวัน    ผมจะมานั่งวาดรูปสี
    น้ำมันที่นี้และถ้าหากว่าผมไม่สบายใจผมจะมานั่งอยู่ตรงนี้พร้อมกับสุนัขของผม ” เขาเอ่ยกับหญิงสาวทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากภาพตรงหน้า
              “ แล้วทำไมคุณพาดิฉันมาล่ะคะ    คุณไม่กลัวดิฉันเอาเรื่องหรือที่ตรงนี้ไปเขียนหรือคะ ”
         ชายหนุ่มหัวเราะน้อยๆ
            “ ก็ลองดูสิคุณ   เดี๋ยวผมจะจับคุณมาโยนทิ้งแถวนี้แหละ   เอ้า   อย่าน่าซีดสิคุณผมไม่ทำกับคนที่เป็นเพื่อนหรอกและถึงคุณจะเขียนก็อย่าหวังเลยว่าจะมีใครได้ขึ้นมาที่นี้ ”
         “ คุณนี้เหมือนคนใจแคบเลยนะคะ   ที่สวยๆแบบนี้ไม่ยอมให้ใครได้มาดูด้วย ” หล่อนใช้น้ำเสียงต่อว่าเขาหน่อยๆ รู้สึกว่าใครที่ช่างไม่ชอบแบ่งปันความสวยงามบนไร่เขาให้ใครดูสักเท่าไร
             “ ผมอยากให้ที่นี้เป็นความลับนะสิ   คล้ายกับเป็นเมืองลับแลไง ผมถึงไม่ค่อยอยากจะให้ใครรู้จักเท่าไร   ขนาดดอกไม้ผมยังส่งเองโดยไม่ผ่านนายหน้าเลย   แล้วที่คุณบอกว่าผมใจแคบก็ไม่จริงเท่าไรเพราะตอนนี้ผมก็พาคุณขึ้นมาดูอยู่ตรงนี้ไง ” เขาบอกกับหญิงสาว
            “ คะ   คุณไม่ใจแคบก็ได้   แต่ตรงนี้สวยดีจริงๆนะคะ   ถึงจะเหนื่อยหน่อยที่จะต้องเดินขึ้นมาก็เถอะพอได้เห็นทะเลหมอกแล้วก็ทำให้รู้สึกเป็นสุขได้ แต่น่าเสียดายนะคะที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นทะเลหมอกนี้ก็ใกล้จะหายลับไป ”
        “   มันก็เหมือนชีวิตคนมิใช่หรือ   ถ้าไม่ต้องลำบากในตอนแรก   ตอนสุดท้ายก็จะมิสามารถประสบพบเจอกับความสวยงามที่รออยู่ ณ บั้นปลายหรือตอนท้ายของชีวิต   และถึงแม้เราจะทนลำบากจนพบกับความสวยงามแห่งชีวิตแล้วก็หาได้ยั้งยืนไม่เพราะยังมีอะไรอื่นอีกมากมายที่จะมาเป็นอุปสรรคทดสอบจิตใจเราอีก ” เขาพูดยาวราวกันเป็นปรัชญาชีวิตของตัวเขาซึ่งต่างกับตัวของหญิงสาวโดยสิ้นเชิง
           หล่อนไม่เคยต้องลำบากกับชีวิตเพราะบิดามารดาหามาให้อย่างพร้อมมูล  เรียนอยู่ในโรงเรียนชื่อดังตั้งแต่เล็กจนโต  จบออกมาก็ไปเรียนเมืองนอกแล้วก็กลับมาทำงานในบริษัทที่พ่อสร้างเอาไว้ให้ล่วงหน้าทันที
             หากแต่หล่อนก็ได้แต่นิ่งเงียบครุ่นคิดไปกับปรัชญาชีวิตของเขา  แทนที่จะมานั่งคิดถึงชีวิตแสนสุขสบายของหล่อน
             และไม่เอ่ยอะไรออกมาอีกทั้งสิ้น  มองตรงไปยังภาพที่อยู่เบื้องหน้าจนเกิดบรรยากาศที่เต็มไป
    ด้วยความเงียบสงบ  แต่ความรู้สึกต่างๆที่คนทั้งสองไม่เข้าใจนั้นกำลังงอกเงยขึ้นอย่างรวดเร็วราว
    กับต้นไม้ที่ได้รับการบำรุงดี


                 ลมหนาวเดินออกมาจากห้องตัวเองมาอีกครั้งอย่างครุ่นคิดอีกครั้งหลังจากกลับมาจากดูความสวยงามของธรรมชาติและจัดการกับร่างกายตัวเองหยิบเอาดินสอแรเงาและคัตเตอร์ออกมาเพื่อจะ
    เหลาและเอกสารที่พิมพ์เสร็จเรียบร้อยตรงไปที่ห้องโถง
                 หล่อนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าพี่ชายอยู่ที่นี้ หล่อนควรที่จะถามสิ่งที่อยากรู้   แต่อาจจะเป็นเพราะหลงลืมไปกับสิ่งสวยงามในตอนเช้า    
                 และเผื่อว่าจะเจอกับพี่ชายบ้างแต่หล่อนก็พบแต่เพียงภูวัตเท่านั้นที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์และดื่มนมดอกไม้นั้นอย่างเย็นอารมณ์ไม่มีท่าทางทุกข์ร้อน
                 ผ้าพันแผลที่แขนของชายหนุ่มนั้นยังไม่ถูกเปลี่ยน
                 หล่อนจึงไปที่เคานเตอร์หยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมาตั้งไว้ที่โต๊ะอาหาร
                 “ ช่วยส่งแขนของคุณให้หน่อยได้ไหมคะ ” หล่อนร้องบอก   ชายหนุ่มจึงลดหนังสือพิมพ์ลด ยื่นแขนข้างที่บาดเจ็บให้หล่อนพันจนเสร็จ
                 “ พี่ชายดิฉันอยู่ไหนคะ ” หล่อนเอ่ยถามอีกขณะที่เก็บข้าวของที่เคานเตอร์ตามเดิม    
                 “ พี่คุณไปแล้วตั้งแต่ตอนตีสามแล้ว  ” เขาบอกหล่อนอย่างสบายๆ
            หญิงสาวมองเขาอย่างไม่ชอบใจ
                 นี้คือเหตุหนึ่งหรือเปล่าที่ทำให้เขาปลุกหล่อนขึ้นมาพาไปดูทะเลหมอก
                เพื่อกันไม่ให้หล่อนไปพบกับพี่ชาย
                “  ผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นหรอกนะคุณ   ที่เมื่อเช้าผมพาคุณไปก็เพราะพอใจ ” ชายหนุ่มบอกหล่อนทันทีที่เห็นสีหน้า
                หญิงสาวเริ่มรู้สึกร้อนรน  หล่อนส่งเอกสารให้เขาดู เขาจึงชวนให้หล่อนดื่มนมกุหลาบแต่หล่อนก็ปฏิเสธ
               ตอนนี้หล่อนอยากจะเจอผู้เป็นพี่ชายมากกว่าจะมานั่งดื่มนมดอกไม้ให้สดชื่นใจ
                อีกอย่างหล่อนก็ยังไม่หิวอาหารเช้าสักเท่าไรด้วย  หล่อนจึงถามว่าเขาพอจะทราบไหมว่าพี่ชายของหล่อนนั้นอยู่ที่ไหน
                 ชายหนุ่มส่ายหน้าอีกครั้ง  หญิงสาวมองหน้าเขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งไม่รู้ว่าเขาจะแกล้งแหย่หล่อนเล่นหรือไม่ก่อนจะมองไปยังกุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะ
                 มือของหญิงสาวเอื้อมไปหยิบกุญแจรถจากบนโต๊ะ  ซึ่งชายหนุ่มกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่อย่างเบามือเพื่อไม่ให้มีเสียง
                  ถึงไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน  แต่หล่อนก็อยากจะลองไปหาพี่ชายที่สถานีตำรวจเมื่อวานนี้ดู
                  แล้วจึงเดินออกจากห้องโถงลงบันไดไปทำให้ชายหนุ่มอ่านไปได้ครู่เดียวก่อนจะรู้สึกตัวว่าหญิงสาวเดินลงไปเพียงคนเดียวก็รีบคว้าปืนลูกซองวิ่งตามลงไป
                  พร้อมกับความรู้สึกเป็นห่วงอย่างสุดแสน
                  เขาไม่รู้ว่าไอ้วัชรินทร์จะขึ้นมาถึงนี้หรือไม่
                  ไม่แน่ว่าไอ้บ้าบิ่นนั้นอาจจะกล้าขึ้นมาถึงที่นี้ก็เป็นได้
                  อีกอย่างตำรวจที่เฝ้าทางขึ้นมานั้นเดินทางไปพร้อมกับเมฆาแล้ว
                  ส่วนคนงานของเขาก็ไม่ได้อยู่ด้านล่างขึ้นมาตั้งรับข้างบนกันหมด
                  หากมันเกิดขึ้นจริงเขาคงจะต้องโทษตัวเองแน่  
                  ส่วนหญิงสาวก็สามารถเดินลงมาได้ไกลเพราะความอย่างเร่งรีบ  จนถึงเพิงที่จอด

    จากคุณ : ม่านหมอก - [ 14 มี.ค. 47 13:29:52 A:203.107.200.254 X: ]