เธอกับฉัน...กันและกัน (((บทนำ)))

    บทนำ
    ...ไม่อาจที่จะหยั่งรู้ได้เลยว่า ‘เขา’ คือปาฏิหาริย์ หรือความบังเอิญที่ฟ้าสร้างมาให้ แต่ไม่ว่ามันจะเนิ่นนานแค่ไหน ก็ยังคงเฝ้ารอคอยเขาคนนั้นเสมอ คนเพียงคนเดียว แม้รู้ดีว่า อาจไขว่คว้ามาได้เพียงแค่ความว่างเปล่าก็ตาม...

    ‘เช้าวันที่เธอจากไป ราวกับชีวิตฉันได้หายไปครึ่งหนึ่ง’

    พิธีจบการศึกษาของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งได้เสร็จสิ้นลง พร้อมๆกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเหล่านิสิต นักศึกษา ที่ต่างรู้สึกยินดีกับความสำเร็จที่ตัวเองได้รับ แม้ว่าความภาคภูมิใจนี้ จะต้องแลกกับการอดหลับอดนอนติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายข้ามคืนก็ตาม
    Pub & Restaurant แถวริมทางรถไฟ ย่านคลองเตย ยังคงมีผู้คนแวะเวียนมาใช้บริการมากมายเหมือนเคย หากแต่วันนี้ค่อนข้างเป็นวันที่พิเศษที่มีคนมาใช้บริการหนาแน่นกว่าเก่า เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับกลุ่มเพื่อนที่ร่วมเรียนด้วยกันมา เมื่อเรียนจบ ก็ถึงเวลาที่จะต้องแยกจากกันไปตามทางที่ต่างคนต่างเลือกเดิน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร หากพวกเขาจะมาร่วมสังสรรค์กันเป็นครั้งสุดท้าย...
    “Cheer!”
    เสียงแก้วไวน์ชนกระทบกัน พร้อมด้วยเสียงโห่ร้องยินดี ต่างคนต่างจิบไวน์เข้าปากกันคนละนิดคนละหน่อย
    “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า พวกเราจะเรียนจบกันแล้ว”
    กิ่งแก้วกล่าวขึ้นเป็นคนแรกอย่างรู้สึกโล่งอกที่สุด เนื่องจากคนที่อดหลับอดนอนมาหลายคืนที่สุดคือ เธอนั่นเอง
    “แกอย่ามาทำเป็นพูดดีไปหน่อยเลย ยัยกิ่ง ฉันต่างหากที่ควรจะเป็นคนพูดอย่างนั้น ไม่ใช่แก”
    “ใช่ เห็นด้วย เพราะแก้แล้ว แก้อีกตั้งสองรอบกว่าจะผ่านนี่ ใช่ไหม ปลา”
    “เออ ขอบใจนะ ศิ ไม่ค่อยซ้ำเติมกันเลย” กรกฎยิ้มแห้งๆ น้ำเสียงแกมประชดประชัน และนั่นก็ทำให้ศศิ และเพื่อนๆของเธอที่เหลือ หัวเราะร่ากันอย่างสนุกสนาน

    “แต่ฉันว่า จริงๆแล้วคนที่น่าหมั่นไส้ที่สุด ไม่ใช่ยัยกิ่งหรอก”
    กรกฎเหลือบมองเพื่อนสาวอีกคนข้างๆอย่างเจ้าเล่ห์ แต่คนถูกมองยังคงนั่งดื่มน้ำเปล่า หูทั้งสองข้างเงี่ยฟังเพลงที่ถูกขับกล่อมอย่างไพเราะ เธอมิได้ตั้งใจฟังคำสนทนาของเพื่อนๆแต่อย่างใด ผมเป็นลอนสีน้ำตาลอ่อน เข้ากันได้ดีกับดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม ท่าทางผอมบาง น่าถะนุถนอม แต่แท้จริงใครจะรู้ เธอเคยอ่อนแอทั้งภายนอก และภายใน แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ภายนอก ยังแลดูอ่อนแอเหมือนเดิม แต่ข้างในกลับเฉยชากว่าที่มองเห็น
    “มีอะไรหรือ?”
    รินรตีเอ่ยถามอย่างขัดข้องใจ ดวงตากลมใสมีแววไร้เดียงสาอยู่เล็กน้อย เพราะสังเกตได้จากสายตาทั้งสามคู่ของเพื่อนๆที่จ้องมองมาที่เธอเป็นจุดเดียว
    “นั่งเหม่อลอยอีกแล้ว รีร่า วันนี้เรามาสนุกกันนะจ๊ะ”
    “นั่นสิ พวกเราแอบนินทาเธออยู่ ยังไม่รู้ตัวอีก”
    “ไม่ได้เหม่อลอย แค่มัวแต่นั่งฟังเพลงเพราะๆเสียเพลิน เลยไม่ได้สนใจที่พวกเธอคุยกัน”
    รินรตียิ้มให้กับเพื่อนๆของเธอ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอชอบนั่งเงียบเฉยๆ ในขณะที่เพื่อนๆจับกลุ่มคุยกันอย่างถูกคอ จริงๆแล้วมันบ่อยครั้งเสียจนนับไม่ถ้วน เธอไม่ได้โกหกที่บอกว่า มัวแต่นั่งฟังเพลง แต่พูดความจริงออกมาไม่หมดมากกว่า ภายในใจของหญิงสาวร่างบางคนนี้ ดูเหมือนจะชอบคิดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียวซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดเวลาอย่างไม่รู้จบเสียที ไม่มีใครรู้เลยว่า เธอคิดอะไรอยู่ เพราะไม่เคยแม้แต่จะปริปากพูดอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลยแม้แต่น้อย
    ...หากแต่คงมีเพียง ‘กรกฎ’ เพื่อนรักที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมที่รู้ดียิ่งกว่าเพื่อนคนใด แต่กลับเลี่ยงที่จะปิดปากเงียบ เพื่อที่จะไม่รื้อฟื้นอดีตขึ้นมาอีกครั้งเสียมากกว่า...

    “แล้วที่บอกว่า แอบนินทาฉันอยู่ มันเรื่องอะไรกัน” ร่างบางส่อแววจับผิดเพื่อน มีรอยยิ้มเล็กๆแสดงถึงความขี้เล่นที่ซ่อนอยู่ในตัว เธอร่าเริงอย่างนี้เสมอ ไม่ว่าจะเวลาไหน หากแต่ในใจ ใครเล่าจะรู้
    “ก็ฉันบอกว่า แกน่ะ น่าหมั่นไส้เสียยิ่งกว่ายัยกิ่งอีก” กรกฎเน้นชัดถ้อยชัดคำทุกประโยคให้เพื่อนรักฟัง
    “น่าหมั่นไส้? ฉันน่ะหรือ? เรื่องอะไร”
    “จะเรื่องอะไรกันล่ะยะ แม่คุณรินรตี ถ้าไม่ใช่เรื่องผลสอบของเธอ”
    “คว้าเอาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาครองหน้าตาเฉย ทำเอาพวกเราอิจฉาตาร้อนกันเป็นแถว”
    กิ่งแก้วว่า อย่างน้อยก็เธอคนหนึ่งล่ะที่คิดเช่นนั้น เพราะเกียรตินิยมอันดับหนึ่งที่เธอว่า เป็นสิ่งที่เธอคาดหวังเสมอตั้งแต่เรียนมา แต่กลับได้อันดับสอง เมื่อครั้งที่เพิ่งรู้ผล เจ้าตัวก็บ่นโวยวายเสียยกใหญ่ แต่พอมาถึงตอนนี้คงจะปลงเสียล่ะมั้ง การที่พลาดเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แล้วได้อันดับสองไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายเสียทีเดียว
    “โอ้โห กิ่ง แกไม่น่าอิจฉาเลย ที่ได้อันดับสองน่ะ ไม่น่าอิจฉาเลย” ศศิเสริมเข้าให้ เธอน้ำเสียงสูงส่อแววประชดประชันเพื่อนสาว กิ่งแก้วเลยยิ้มแห้งๆ ด้วยอาการเก้อเขินเล็กน้อย
    “ไม่เห็นน่าหมั่นไส้เลย ฉันแค่เลือกในสิ่งที่ตัวเองชอบ ก็เลยตั้งใจเต็มที่ แล้วที่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งมา ก็แค่ฟลุคมากกว่า”
    รินรตีอธิบาย เธอคนเป็นหัวดี เก่งทางด้านวาทศิลป์ เมื่อเลือกด้านที่ตนถนัดก็ย่อมทำได้ดีเป็นธรรมดา ลองให้เธอไปเรียนทางด้านวิชาการ ทฤษฎี คำนวณ วิทยาศาสตร์พวกนั้นดูสิ คงเรียนจบมาแบบเส้นยาแดงผ่าแปดเหมือนกันล่ะ ซึ่งกรณีนี้ผิดกับพี่ชายของเธอ
    “แหม ฉันว่า เรื่องแต่งเพลงนี่ฉันก็ชอบนะ แต่ไม่เห็นจะเก่งเหมือนแกเลย” กรกฎว่า อย่างจะพยายามเรียกร้องหาความยุติธรรมให้กับคนเรียนไม่เก่งอย่างเธอ
    “แต่รีร่าไม่เคยหลับในเวลาเข้าเรียนเหมือนแกนะ ปลา” กิ่งแก้วขุดหาข้อโต้แย้ง
    “แล้วก็ไม่เคยโดดเรียนด้วย” ศศิเสริมต่อ หวังแกล้งล้อเพื่อนเล่น
    กรกฎได้แต่ยิ้มแหยงๆ เธอเลิกเถียง และเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นในกลุ่มของสาวๆอีกครั้งหนึ่ง

    “ราชองครักษ์หายไปไหนเสียแล้วล่ะ รีร่า วันนี้ไม่มาหรือ” กิ่งแก้วถามขึ้น แต่อีกฝ่ายที่ถูกถามกลับมีสีหน้างุนงงไม่น้อย “ใคร?”
    “นายอามินไง”
    น้ำเปล่าที่กำลังถูกดื่มพุ่งพรวดออกมาจากปากกรกฎ เธอสำลักน้ำอย่างตกใจ หลังจากที่ได้ยินกิ่งแก้วพูดถึงผู้ชายคนนั้น
    “อามินเกี่ยวอะไรด้วย” รินรตีสงสัย เธอไม่เข้าใจว่าเพื่อนของเธอหมายถึงอะไร “แฟนเธอไม่ใช่หรือ รีร่า” ศศิเสริมต่อจากกิ่งแก้ว เธอก็เป็นคนหนึ่งที่คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
    “จะบ้าไปกันใหญ่แล้ว” กรกฎที่นั่งฟังอยู่เงียบๆอย่างไม่ได้โต้เถียงอะไรรู้สึกอดไม่ได้ที่จะแย้งออกมา
    “อ้าว แล้วตกลงไม่ใช่หรือ แต่เราเข้าใจอย่างนั้นมาตลอดเลยนะ” กิ่งแก้วบอก สิ่งที่เธอกับศศิคาดการณ์ไม่ได้ตรงกับความจริงที่เห็นเลยแม้แต่น้อย
    “เราไม่ได้เป็นแฟนกัน อามินเป็นแค่เพื่อนที่ดีคนหนึ่ง” รินรตีหัวเราะเบาๆกับความคิดไปเองของเพื่อนของเธอ
    “แต่ฉันเดาว่า เขาต้องไม่ได้คิดกับเธอแค่เพื่อนแน่เลย รีร่า เอาอกเอาใจเธอขนาดนั้น แถมยังคอยตามมาป้วนเปี้ยนไม่ห่างราวกับเป็นราชองครักษ์ให้เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ก็ไม่ปาน” ศศิว่า แต่รินรตีก็มิได้ตอบรับ หรือปฏิเสธกับความคิดของเพื่อนของเธอ แต่กลับเพียงแค่ยิ้มให้จางๆเท่านั้น โดยยิ้มนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรมากกว่าไปกว่าการรู้สึกเฉยชา
    “ไม่ใช่แค่นั้นนะ ที่สำคัญเขาเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ปี1 แล้ว แสดงว่า เขาต้องแอบชอบแกมาตลอดจนกระทั่งเรียนจบ ว้าว! รีร่า ฉันว่าผู้ชายรักเดียวใจเดียว มั่นคงอย่างนี้ หาไม่ได้ง่ายๆนะ แล้วอามินน่ะ ก็ไม่ใช่ผู้ชายหน้าตาหน้าเกลียดด้วย เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีคนหนึ่งเชียวนะ... วันวาเลนไทน์ ฉันเห็นสาวๆเอาของมาให้เขาตั้งเยอะแยะ แกไม่สนใจเขาบ้างเลยหรือ”
    กิ่งแก้วบอกเล่า แกมยุยงส่งเสริม เธอก็อยากให้เพื่อนของเธอเจอคนดีๆสักคน ที่ผ่านมามีผู้ชายหลายคนเฝ้าแวะเวียนมาขายขนมจีบให้รินรตีก็หลายคนอยู่ แต่ก็ไม่เห็นว่าเพื่อนคนนี้ของเธอจะสนใจใครเลยสักคน
    “ต่อให้นานกว่านี้ รีร่าก็ไม่สนใจอามินหรอก” กรกฎพูดขึ้นอย่างเข้าใจทุกอย่างดี เธอกอดอก พร้อมทั้งเหลือบมองหน้าเพื่อนรัก สีหน้าดูจริงจังกว่าที่เคยเป็น ปกติคนอย่างกรกฎเครียดอย่างคนอื่นเป็นเสียที่ไหน ท่าทางแบบนี้ล่ะที่ดูผิดสังเกต นั่นยิ่งทำให้กิ่งแก้วและศศิไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก
    “ขอบใจนะที่เป็นห่วง แต่อย่างที่ปลาว่าน่ะล่ะ ต่อให้นานกว่านี้ ฉันก็คิดกับอามินแค่เพื่อน แค่เพื่อนจริงๆ” รินรตีกล่าว สีหน้าดูเศร้าหมองลง ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกผิดต่ออามิน หรือรู้สึกเสียใจกับบางสิ่งที่อยู่ในใจกันแน่
    “ทำไมล่ะ รีร่า ฉันเห็นด้วยกับกิ่งนะ อามินเขาก็เป็นคนดีคนหนึ่งที่เธอน่ารับไว้พิจารณาไม่ใช่หรือ”
    ศศิขมวดคิ้ว เธอยิ่งไม่เข้าใจหนักเข้าไปใหญ่ เพราะหากเป็นเธอคงเลือกผู้ชายอย่างอามินไว้เป็นของตัวเองแล้ว
    รินรตีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนบอกความในใจสั้นๆแค่ว่า
    “ฉันกำลังรอ”
    เธอกำลังรอ เธอพูดแค่นั้น แต่นั้นหมายความว่าอย่างไร เธอกำลังรออะไร เพื่อนๆของรินรตียังคงรอฟังต่อไปว่า เธอจะพูดอะไร หากคนหนึ่งที่ไม่อาจทนฟังได้ กลับพูดโต้แย้งขึ้นมาเสียก่อน
    “ฉันว่า แกรอนานไปแล้วล่ะ” กรกฎที่ยังคงมีสีหน้าจริงจังกล่าวขึ้น อย่างรู้สึกขุ่นเคือง เธอเป็นห่วงความรู้สึกของเพื่อนรักคนนี้มากกว่าใครๆ อาจเป็นเพราะว่า เธอเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด
    ...ถ้าสิ่งที่เพื่อนรักของเธอรอ เป็นสิ่งที่สูญเปล่าล่ะ เธอมิต้องรออย่างนี้ตลอดไปชั่วชีวิตหรือ...
    “ไม่หรอก ปลา เพราะฉันกำลังจะได้กลับไป ‘ที่นั่น’ อีกครั้งหนึ่ง” สีหน้าของรินรตีดูจะมีความมั่นใจขึ้นมา ผิดกับเมื่อครู่ที่ดูเหมือนจะร้องไห้ เธอไปเอาความหวังที่ริบหรี่ ความเป็นไปไม่ได้ที่กำลังใกล้จะติดลบ ให้กลับเป็นบวกมาได้อย่างไรกัน ความเข้มแข็งอันน่าเหลือเชื่อนั่น เธอสร้างมันมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมาหรือ

    “แกสองคนกำลังพูดถึงอะไรกัน พวกเราไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
    กิ่งแก้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ที่ผ่านมาเธอกับศศิไม่เคยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวรินรตีเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เพราะเพื่อนคนนี้ไม่เคยปริปากพูด ไม่เคยบอกถึงความในใจ แต่ที่ผ่านมา เธอกลับเลี่ยงที่จะไม่พูดอะไร เพราะเห็นว่าคงไม่อยากพูด แต่นิสัยใจร้อนที่ติดตัว ทำให้ทนไม่ได้ที่จะพูดสิ่งที่อัดอั้นมานาน
    “ช่วยเล่าให้เราสองคนฟังหน่อยได้ไหม รีร่า อย่างน้อยเธอก็เป็นเพื่อนของเราคนหนึ่ง เราสมควรที่จะได้รู้เรื่องของเธอบ้าง ไม่ใช่หรือ”
    ศศิ เป็นคนที่ผิดกับกิ่งแก้ว เธอมักใช้ความใจเย็นและสติสัมปชัญญะที่มีอยู่ในตัวเสมอ ที่ผ่านมาเธอก็รู้สึกเช่นเดียวกับกิ่งแก้ว และวันนี้ทั้งหมดกำลังจะจากกัน เธอใช้โอกาสนี้ถามสิ่งที่ค้างคาใจมานาน
    “อยากให้ไว้ใจกันบ้างนะ รีร่า” กิ่งแก้วแสดงถึงความน้อยอกน้อยใจออกมาอย่างชัดเจน
    รินรตีหัวเราะเบาๆออกมา เธอดีใจที่ได้คบเพื่อนที่ดีอย่างนี้ คงผิดที่เธอเองที่ทำให้เพื่อนรู้สึกว่า เธอไม่ไว้ใจ แต่ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแค่ไม่อยากเอ่ยมันออกมามากกว่า
    “ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ” ศศิบอก สีหน้าดูผิดหวังเล็กน้อย
    “เล่าๆไปเถอะ รีร่า ปล่อยให้ตัวเองเข้าใจแต่ตัวเองอยู่ได้ แกน่าจะให้เพื่อนได้เข้าใจแกบ้าง” กรกฎว่า และสิ่งที่เธอกล่าวก็มีส่วนถูก
    “จะว่าไปเรื่องมันก็นานมาแล้ว จริงๆฉันก็ไม่ควรจะไปใส่ใจหรอกนะ มันเป็นแค่ความรักสมัยมัธยม ตอนที่ฉันไปอยู่ที่ญี่ปุ่น แต่น่าแปลกที่แม้มันจะเนิ่นนานแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่เคยลืมมันเลย”
    รินรตีเริ่มเล่า สีหน้ามีรอยยิ้มจางๆ กิ่งแก้วและศศิตั้งใจเงี่ยหูฟังสิ่งที่เพื่อนของเธอกำลังจะเล่า ผิดกับกรกฎที่นั่งหัวเราะแห้งๆในลำคอ เธอพึมพำอย่างหน่ายๆ
    “อุตส่าห์เงียบมาตลอดแล้วเชียวนะ รื้อฟื้นมันขึ้นมาอีกจนได้”

    จากคุณ : ฤดูหนาว - [ 17 มี.ค. 47 21:05:19 A:202.133.160.141 X: ]