เหวินเหม่ยชิงเดินเข้าสู่กระท่อมน้อยด้วยใจระทึก หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นจนตึงเครียด สิ่งใดเป็นต้นเหตุอาการนางกันแน่?
สาเหตุย่อมมาจากเบาะแสที่เหวินเหม่ยชิงคิดว่าจะต้องมีหลงเหลืออยู่ และนั่นเป็นสิ่งยืนยันว่านางได้ติดตามมาถูกทางแล้ว
แอ้ดดดด เหวินเหม่ยชิงเปิดบานประตูออกช้าๆ ฝ่ามือสัมผัสได้ถึงฝุ่นผงที่จับอยู่บนบานประตู สิ่งนี้คล้ายกับเป็นการยืนยันถึงการไม่มีผู้อยู่อาศัยมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
บานประตูเปิดอ้าออก สายลมหอบหนึ่งพัดผ่านข้างกายหญิงสาวเข้าสู่ภายในห้อง ส่งผลให้ผมยาวสยาย และเสื้อผ้าของเหวินเหม่ยชิงปลิวไสว ใบไม้จำนวนหนึ่งถูกสายลมพัดพาผ่านข้างกายเข้าสู่ภายใน
บรรยากาศยามบ่ายแม้แดดจะแรงกล้า แต่ด้วยสายลมอ่อนโยน และความชุ่มชื้นจากหมู่ไม้ ทำให้อากาศไม่ร้อนอบอ้าวเท่าใด เหวินเหม่ยชิงก้าวเท้าขวาเข้าสู่ภายในห้อง สายตาสำรวจดูกระท่อมน้อยที่มีเพียงห้องเดียวนั้นโดยระเอียดถี่ถ้วน
หญิงสาวรู้สึกยินดียิ่งที่มิพบเห็นโครงกระดูกของผู้ใดทอดกายอยู่ภายใน นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า เสี่ยวซา ยังมิตกตายลงไป
สายตาของนางไปหยุดอยู่ที่ผ้าพันแผลกลุ่มหนึ่งที่วางกองอยู่ด้านริมเตียง บนผ้าพันแผลยังมีสีแดงคล้ำอยู่ถ้วนทั่ว แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ใช้มันจะต้องได้รับบาดแผลสาหัสพอสมควรทีเดียว เหวินเหม่ยชิงสำรวจต่อไป พบว่ามีเศษผลไม้ ใบไม้ สมุนไพรสำหรับพอกทาบาดแผลภายนอก ทิ้งเกลื่อนกลาดอยู่ด้านหนึ่ง
เหวินเหม่ยชิงคิดว่าคงต้องมีผู้ช่วยเสี่ยวซาเอาไว้ เพราะจากเศษผ้าพันแผลเหล่านั้น เสี่ยวซาต้องได้รับบาดเจ็บมิใช่น้อย การที่จะไปเก็บไปหาสมุนไพรด้วยตัวเองนั้นคงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน และจากการสังเกตต่อไป พบว่าทั้งสองมิเพียงอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลาแรมเดือน ยังมีการเคลื่อนย้ายก้อนหินที่บริเวณด้านนอกกระท่อมเพื่อเหตุผลบางประการ
และนั่นก็คือ
บนพื้นด้านหลังกระท่อมปรากฏรอยเท้ามากมาย แม้กาลเวลาจะผ่านมาร่วมหลายเดือนแล้ว ยังปรากฏร่องรอยชัดเจน แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ประทับร่องรอยเหล่านั้นลงไปเป็นผู้มีวรยุทธ ทั้งยังมีพลังฝึกปรือสูงส่งมิใช่เล็กน้อยอีกด้วย
ซึ่งเรื่องนี้สร้างความประหลาดใจแก่เหวินเหม่ยชิงเป็นอย่างมาก ผู้ใดกัน ที่ช่วยเหลือเสี่ยวซา ทั้งยังดูเหมือนว่าระหว่างที่ทั้งสองอาศัยอยู่ที่นี่ มีการฝึกปรือวรยุทธกันอย่างคร่ำเคร่งอีกด้วย นับเป็นเรื่องที่มิสามารถเข้าใจจริงๆ
วูบหนึ่งเหวินเหม่ยชิงอดคิดไม่ได้ว่า ยอดฝีมือลึกลับผู้นี้อาจเกี่ยวข้องกับการตายของอาจารย์ตน
เอาเถอะ หากพบตัวเสี่ยวซาเมื่อใด เรื่องนี้คงกระจ่างเสียที คิดได้ดังนั้นเหวินเหม่ยชิงจึงตัดสินใจเดินทางกลับบู๊ตึ๊งเพื่อจะแจ้งกับทั้งหมดว่าตนขอลากลับไปจัดการเรื่องสำนัก แท้จริงเพื่อติดตามหาเสี่ยวซา
ทว่าเมื่อหญิงสาวเดินทางกลับมาถึงสำนักบู๊ตึ๊ง ก็ต้องพบว่ามิอาจกระทำได้ดังที่คิด สำนักบู๊ตึ๊งทั้งสำนักคล้ายฝูงผึ้งที่แตกรัง สับสนวุ่นวายยิ่ง นางมองผู้คนที่พลุกพล่านเหล่านั้น พลางเหลือบไปเห็นศิษย์ในสำนักของตนจึงเรียกเข้ามาไต่ถาม
ศิษย์ผู้นั้นบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา ในนั้นรวมถึงเรื่องราวที่กลุ่มชาวยุทธถูกฆาตกรรมโดยไร้เบาะแสแน่ชัด มีเพียงพวกหูจิ่นเช็คที่ปรากฏตัวกล่าวโทษพรรคฉิก ยังมีการเลิกกิจการของโรงเตี๊ยมฉิกเชิงเขาบู๊ตึ๊งที่หายไปโดยไร้ร่องรอย และเรื่องที่จื่ออิงทุ่มเถียงกับตุลาการ จนตุลาการถึงกับประกาศว่าหากทำอันใดโดยพละการ จะจับกุมโดยมิละเว้น ในที่สุดแทบที่จะแตกหักกัน โชคดีที่ว่ามีราชโองการด่วนเรียกตัวตุลาการเที่ยงธรรมกลับไปเสียก่อน ท่ามกลางความงุนงงของทุกฝ่าย
หลังจากนั้นจื่ออิงเรียกประชุมผู้นำหอห้ากระบี่เป็นการด่วน ทว่าเหวินเหม่ยชิงไม่อยู่ จึงมิได้เข้าร่วม ผลการประชุมปรากฏออกมาว่า หอห้ากระบี่ลงมติให้ประกาศทวงถามความเป็นธรรมจากฉิกจับอิด โดยไม่คำนึงถึงวิธีการ และไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการปะทะกันโดยใช้กำลัง หากจำเป็น ท่ามกลางเสียงคัดค้านของหลวงจีนหัวหลิน ทว่าเพียงเสียงเดียวก็มิพอเพียงอันใด เพราะเวลานี้หอห้ากระบี่เพิ่มสำนักดาวตก และสำนักลมหวนเข้ามาทำให้มีผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดเจ็ดสียง
หลิวหยงเคอ จื่ออิง ต้วนเล้งและหยางซีเหมินพากันออกเสียงให้จัดการกับฉิกจับอิด ส่วนตั๋วล่ายสุกและเหวินเหม่ยชิงไม่อยู่ จึงมิได้เข้าประชุม แต่ถึงทั้งสองจะเข้าประชุมและไม่เห็นด้วยเสียงก็ยังคงเป็นสี่ต่อสามอยู่ดี
เหวินเหม่ยชิงรู้สึกตื่นตระหนกกับเรื่องที่ได้ยิน หญิงสาวเข้าใจในที่สุดถึงเหตุผลการเข้าร่วมในสังกัด หอห้ากระบี่ ของพรรคลมหวนและพรรคดาวตก ทั้งสองสำนึกในบุญคุณของจื่ออิง จึงตัดสินใจเข้าร่วมเพื่อมาเป็นกำลังให้กับจื่ออิงนั่นเอง
ครั้งนี้เห็นทียุทธภพคงมิอาจหลีกเลี่ยงการนองเลือดเป็นแน่!!! เหวินเหม่ยชิงรำพึงออกมา พร้อมผลุนผลันเข้าสู่ภายในห้องโถงใหญ่ ตรงไปยังที่ทั้งหมดประชุมกันอยู่
หน้าห้องดังกล่าวมีการจัดเวรยามอย่างแน่นหนา การประชุมคราวนี้เป็นการตกลงเรื่องขั้นตอนวิธีการในการรับมือกับฉิกจับอิด ซึ่งหลวงจีนกระต่ายน้อยมิได้เข้าร่วมประชุม เนื่องจากมิเห็นด้วยกับมติให้ตอบโต้ฉิกจับอิดโดยไม่เลือกวิธี ทั้งที่ยังมิสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นการลงมือของฉิกจับอิด มีเพียงคำกล่าวหาของคนมิกี่คน ดังนั้นขอตัวกลับเส้าหลินเทียนซาน เพื่อจัดการเรื่องราวภายในพรรค
เหวินเหม่ยชิงผ่านเวรยามเข้าสู่ที่ประชุมได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะมิมีผู้ใดมิรู้จักเหวินเหม่ยชิงแห่งหันซาน และที่สำคัญ ยิ่งมิมีผู้ใดไม่ชื่นชมในตัวนาง ดังนั้นเวรยามเพียงเห็นผู้มาเป็นเจ้าสำนักเหวินแห่งหันซานก็กุลีกุจอเชื้อเชิญนางเข้าสู่ภายในทันที
ที่ประชุมประกอบด้วยบุคคลสิบกว่าคน นอกจากสองผู้นำแห่งหอห้ากระบี่แล้ว ยังมี ต้วนเล้ง หยางซีเหมิน ที่พึ่งเข้าร่วม และกลุ่มของหูจิ่นเช็คทั้งเจ็ดคน
โจวเอินผิง ที่มีสารรูปราวกับวานรยักษ์ เมื่อเห็นผู้มาใหม่คือเหวินเหม่ยชิง จึงรีบสละที่นั่งของตนเองให้นาง ส่วนหลิวหยงเคอชิงถามว่า เหวินเหม่ยชิงหายไปที่ใดมา หญิงสาวกล่าวกลบเกลื่อนว่าตนเองไปทำกิจธุระที่เกี่ยวกับหันซาน จึงมาล่าช้ามิได้เข้าประชุม มิทราบว่าประชุมกันไปถึงไหนแล้ว
จื่ออิงลุกขึ้นด้วยมาดของผู้นำ กล่าวว่า
พวกเราลงมติ จัดการกับฉิกจับอิดให้สิ้นซาก โดยมิคำนึงถึงวิธีการ ถึงอย่างไรก็ต้องสะสางความแค้นของเหล่าชาวยุทธ และท่านอาจารย์ให้จงได้!!!
ท่านแน่ใจว่าเป็นฝีมือของฉิกจับอิดเช่นนั้นหรือ? เหวินเหม่ยชิงกล่าวเป็นเชิงถาม
หรือเจ้าสำนักเหวินมีความเห็นเป็นอื่น ท่านมิเชื่อคำกล่าวของท่านทั้งหลายเหล่านี้? หลิวหยงเคอชิงกล่าวขึ้น
เหวินเหม่ยชิงส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ มิใช่ไม่เชื่อ เพียงแต่มิมีผู้ใดเห็นกับตาว่าเป็นการลงมือของฉิกจับอิด ดังนั้น
ถ้าเห็นกับตา น่ากลัวพวกเราคงทอดร่างเป็นศพ มิมีโอกาสมานั่งอยู่ที่นี่แล้ว!!! เหมาเจ๋อหมินชิงกล่าวขึ้น
เหวินเหม่ยชิงได้แต่นิ่งเงียบ มิสามาถตอบคำถามนี้ได้
การประชุมยังคงดำเนินต่อไป โดยตกลงกันว่า หอห้ากระบี่ จะจัดงานชุมนุมขึ้นอีกครั้ง โดยเชื้อเชิญเหล่าชาวยุทธที่เห็นด้วยกับการปราบปรามฉิกมาเข้าร่วมด้วย และในจำนวนนั้นย่อมรวมถึง พรรค กระบี่ดาว และ ป้อมมรกต เนื่องจากในบรรดาผู้ตายมีศิษย์ของพวกมันรวมอยู่ด้วย จึงคาดหวังจะล้างแค้นกับพรรคฉิกจับอิดให้จงได้ ทว่าลำพังพวกมันคิดจัดการกับฉิกจับอิด น่ากลัวเหมือนนำไข่ไปกระทบศิลา มีแต่ผลร้ายไม่มีผลดี แต่เมื่อหอห้ากระบี่ออกหน้า พวกมันต้องรีบฉวยโอกาสเข้าร่วมด้วยแน่ในฐานะผู้เสียหาย
ด้านเติ้งเสี่ยวเทาอาสานำพรรคกระยาจกเข้าร่วม และทำหน้าที่รวบรวมข่าวสาร เจียงเจ๋อตุงก็อาสานำคนของพรรคจวักธรณีเข้ามาเป็นคนประสานงานกับพรรคกระยาจก โจวเอินผิงรับหน้าที่ไปเกลี้ยกล่อมคนของพรรค หมัดฆาตกร มาเข้าร่วมด้วย เช่นเดียวกับ เหมาเจ๋อหมินแห่งพรรคสองทิศ
สุดท้ายมาถึงวันเวลาที่จะใช้ในการจัดงานชุมนุม กำราบฉิก หลายคนคิดเสนอวันเวลา ทว่ามีผู้หนึ่งชิงกล่าวขึ้นก่อน
สองเดือนต่อจากนี้ ข้าพเจ้าขอเวลาสองเดือน ค่อยจัดงานชุมนุมดังกล่าว จะได้หรือไม่? ผู้กล่าวกลับเป็นเหวินเหม่ยชิงที่นิ่งเงียบอยู่
เดือนเดียวก็ออกจะนานเกินไปแล้ว ไฉนเจ้าสำนักเหวินจึงคิดให้เลื่อนการชุมนุมไปถึงสองเดือนเช่นนี้? หลิวหยงเคอรีบกล่าว
ส่วนจื่ออิงมองทางด้านหลิวหยงเคอที เหวินเหม่ยชิงที ในใจคิดคำนวณแผนการอย่างรวดเร็ว
หึ หลิวหยงเคอ คงคิดวางแผนอะไรอยู่ จึงคิดรีบให้มีการจัดงานชุมนุมขึ้นโดยเร็ว เราจะไม่ให้เจ้าสมหวังโดยง่าย
ส่วนเหวินเหม่ยชิง นางเมื่อขอเวลาสองเดือน เราก็ใช้โอกาสนี้ประจบเอาใจนาง นับว่าเป็นกระสุนนัดเดียวยิงนกได้ถึงสองตัว ฮา ฮา
ตกลง พวกเราจะจัดงานชุมนุมขึ้นในอีกสองเดือนให้หลัง ระหว่างนี้ให้ส่งเทียบเชิญไปยังสำนักต่างๆ พรรคกระยาจกก็ไปสืบข่าวและเบาะแสของฉิกจับอิดเอาไว้แต่เนิ่น เมื่อถึงเวลาพวกเราจะได้พร้อมที่จะลงมือกับพวกมัน!!! คำพูดนี้สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกผู้คน โดยเฉพาะหลิวหยงเคอ ขณะจะกล่าวคัดค้าน พลันนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายคงมิยินยอม เพราะต้องการจะสำแดงสภาวะผู้นำต่อหน้าทุกคน ดังนั้นจึงนิ่งเฉยไว้
เจ้าสำนักเหวินคิดใช้เวลาสองเดือนไปทำอันใด? คำถามนี้กลับเป็นต้วนเล้งที่เอ่ยถาม
ข้าพเจ้าจะพิสูจน์ให้ได้ว่า ฉิกจับอิดมิใช่ผู้ลงมือฆาตกรรมครั้งนี้ และจะต้องหาตัวฆาตกรที่แท้จริงให้จงได้!!!
หากแม่นางเหวินทำได้ เราจื่ออิงขอสาบานว่าจะมิมีการจัดงานชุมนุม กำราบฉิก ขึ้นเป็นอันขาด เช่นนี้คงเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย?จื่ออิงรีบกล่าวขึ้นทันทีเป็นการปิดการประชุม
..
..
จากคุณ :
ทีมแต่งนิยาย
- [
18 มี.ค. 47 22:02:29
]