ก้อนแข็งของแป้งหมี่ ถูกวางระเกะระกะอยู่ภายในโรงครัว แต่ละก้อนมีร่องรอยราวกับถูกไฟกองใหญ่แผดเผา แป้งทั้งก้อนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและแข็งกระด้าง รอยปริแตกปรากฏทั่วไปทั้งก้อน
เซียวสี่นึ้ง มองดูเด็กหนุ่มเบื้องหน้าด้วยแววทึ่งระคนวิตกกังวล เด็กหนุ่มผู้นี้มิเพียงมีพลังยุทธ ยังเชี่ยวชาญการปรุงอาหาร นับว่าเป็นสัดส่วนที่เหมาะแก่การปรุงบะหมี่ตำหรับ "สี่นึ้ง" แต่นั่นก็กลับเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงอยู่ด้วย เพราะดูเหมือนว่าลมปราณภายในกายของเด็กหนุ่มจะเต็มเปี่ยมและหนาแน่นบริบูรณ์เกินไป และยังมิรู้จักควบคุมให้ถ่ายออกแต่น้อย ดังนั้นพอเริ่มต้นนวดแป้งด้วยวิธีการพิเศษเฉพาะของ "บะหมี่สี่นึ้ง" โดยการถ่ายทอดลมปราณออก ฝ่ามือทั้งคู่ประกบกันเสียดสีจนเกิดความร้อน นำน้ำซุปที่ต้มด้วยกระดูกหมูและผักสด ผสมกับแป้งหมี่ ค่อยๆ บรรจงถ่ายเทความร้อนจากพลังฝ่ามือนวดจนแป้งอ่อนนุ่ม สีสรรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองนวลตา
เสี่ยวซากลับนวดจนแป้งหมี่แทบจะไหม้เกรียมลงไป ทั้งยังนวดจนน้ำซุประเหยไปแทบหมดสิ้น พลังความร้อนจากฝ่ามือของมันร้อนลวกเกินไป เซียวสี่นึ้งยังคิดหาวิธีลดทอนพลังดังกล่าวไม่ได้ เพียงแต่ลองแนะนำให้อีกฝ่ายฝึกโคจรพลังผ่านช่วงแขนแล้วดึงรั้งเอาไว้ ทยอยปล่อยออกทีละน้อย แต่ดูเหมือนมีความก้าวหน้าแค่เพียงเล็กน้อย
ทั้งนี้มิใช่อีกฝ่ายโง่เขลาเกินไป เพียงแต่พลังของมันบริบูรณ์เกินไปเท่านั้น...
เจ้าโง่ เจ้านวดเยี่ยงนี้ เมื่อไหร่ข้าพเจ้าจะได้รับประทานบะหมี่ ปีหน้าหรือ? หลี่ซังซังที่อยู่ด้านข้างอดที่จะกล่าวเหน็บแนมมิได้ เมื่อเห็นว่าเสี่ยวซานวดจนแป้งเหลืองแห้งแข็งไปอีกก้อน
เด็กหนุ่มเบ้ปากนิดหนึ่ง ทำเป็นมิสนใจคำพูดของเด็กสาว ก้มหน้าก้มตา นวดแป้งก้อนต่อไป โดยพยายามควบคุมลมปราณใช้ออกแต่เพียงเล็กน้อย ดูเหมือนคราวนี้จะก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิม ทว่าแป้งหมี่ก็ยังคงแข็งตัวเป็นก้อนแข็งๆ อยู่เช่นเดิม
อาลัก เจ้าไปซื้อแป้งหมี่มาเพิ่ม อย่างไรก็ตามต้องให้เจ้าหนุ่ม เสี่ยวซา นวดแป้งหมี่ให้สำเร็จภายในวันนี้ ร้านเราตลอดมาล้วนแต่มิเคยปิดร้าน!!! เถ้าแก่เซียวสั่งให้อาลัก เด็กในร้านรุดไปซื้อแป้งหมี่มาให้เสี่ยวซาฝึกฝนต่อ
อาลักได้ยินดังนั้นก็ไม่รอช้า รีบรุดไปยังร้านเยี่ยหงเจ้าประจำทันที ร้านเยี่ยหงนี้มิเพียงขายแป้งหมี่ ยังขายแป้งสาลี แป้งข้าวเจ้าร่วมด้วย โรงเตี๊ยมสี่นึ้งมิเคยใช้แป้งจากร้านอื่น เพียงใช้จากร้านนี้เท่านั้น
อาลักหายไปร่วมครึ่งชั่วยามก็กลับมา ในมือของมันว่างเปล่า ปราศจากสิ่งใดๆ
อาลัก แป้งหมี่อยู่ที่ใด?!! เซียวสี่นึ้งถามทันที
อ
เอ่อ เถ้าแก่ ร้านเยี่ยหง ปิดดำเนินการ! อาลักตอบด้วยเสียงสั่นเครือ
เป็นไปไม่ได้!!! เซียวสี่นึ้งตวาด
เถ้าแก่เยี่ยแห่งร้าน เยี่ยหง ก็เหมือนกับตัวเรา เซียวสี่นึ้ง ตลอดเวลาที่ทำการค้า มิเคยมีวันใดที่จะปิดร้าน เจ้าทราบหรือไม่เหตุใด ร้านเยี่ยหงจึงปิดกิจการ!???
อาลักมองเถ้าแก่เซียว ดวงตาทั้งคู่เอ่อคลอด้วยน้ำตา
ฟ
ฟัง
ฟังว่า เถ้า
เถ้าแก่เยี่ย ตายแล้ว!!!
อะไรนะ!!! เซียวสี่นึ้งอุทานออกมาด้วยความตกใจ
คืนก่อนมีชาวบ้านข้างเคียงเห็นชายฉกรรจ์หยาบกร้านผู้หนึ่งมายังร้านเยี่ยหง ขอซื้อแป้งหมี่ โดยจะขอซื้อที่มีอยู่ในร้านทั้งหมด เถ้าแก่เยี่ยปฏิเสธ อ้างว่าร้านเราเป็นลูกค้าประจำ อย่างไรเสียต้องกันแป้งส่วนหนึ่งไว้ขายให้แก่เรา ชายคนดังกล่าวไม่ฟังเสียง ตรงเข้าทำร้ายเถ้าแก่เยี่ย จากนั้นก็เรียกให้คนเข้ามาขนแป้งหมี่ไปจนหมดสิ้น เถ้าแก่เยี่ยเดิมทีถูกทำร้ายมิถึงกับความตาย ทว่าด้วยร่างกายที่อ่อนแอ และสูงวัย ในที่สุดสิ้นใจลงในคืนนั้นเอง!!!
น..นี่ นี่ต้องเป็นฝีมือของฉิกจับอิดอย่างแน่นอน!!! เซียวสี่นึ้งกล่าวได้เท่านั้น น้ำตาของผู้ชราก็ไหลพรากออกมา
หลี่ซังซังได้ยินเช่นนั้นก็ตวาดว่า ท
ท่าน! ทันใดนั้นมีมือข้างหนึ่งยื่นมาสะกิดแขนขวาของนาง
ท..ทำไม พวกมันถึงได้โหดร้ายเช่นนี้
เดิมที หลี่ซังซัง คิดจะกล่าวว่า ท่านมีหลักฐานอันใดจึงกล่าวเช่นนี้ ทว่าเสี่ยวซารีบสะกิดนางเอาไว้ เด็กสาวจึงรีบเปลี่ยนคำพูดเป็น ทำไมพวกมันโหดร้ายเช่นนี้ เซียวสี่นึ้งหารู้ความนัยเหล่านี้ ดังนั้นกล่าวว่า
พวกเจ้ามาใหม่จึงยังมิรู้ความ เหตุการณ์เช่นนี้มิใช่คราแรก พวกมันกระทำมามิต่ำกว่าสิบหน!
ท่านว่ากระไร!!?? เช่นนั้น ทางการทำไมไม่เข้ามาจับกุมลงโทษ? หลี่ซังซังรีบซักถาม
เฮอะ! ทางการ! เหล่ามือปราบ มิเพียงเป็นลูกค้าประจำของซ่องคณิกาฉิกจับอิด กระทั่งเงินทอง เบี้ยหวัดของพวกมัน ฉิกจับอิดก็ให้การสนับสนุน มีหรือที่พวกมันจะกล้าไปทุบหม้อข้าวตนเอง
อะไร พวกมันมิใช่มีเบี้ยหวัดที่ทางราชการจ่ายให้หรอกหรือ? หลี่ซังซัง ยังมิหายสงสัย
มีนั้นมีอยู่ แต่ลำพังเบี้ยหวัดที่ทางการจ่ายให้ จะไปเพียงพอให้พวกมันกินเที่ยวในซ่องคณิกาได้อย่างไร พวกมันล้วนได้เงินสนับสนุนจากฉิกจับอิด อ้างว่าเงินส่วนนี้เป็นเงิน บำรุงเมือง แท้จริงคือเงินที่ใช้อุดปาก มิให้พวกมันมาก้าวก่ายในการกระทำต่างๆ ของ ฉิกจับอิดมากกว่า!!! เซียวสี่นึ้งกล่าวด้วยความเคียดแค้น
คนหอบหายใจด้วยความโกรธแค้น นิ่งไปนิดนึงจึงกล่าวต่อ
เอาเถอะ เราคิดไว้แล้วว่าซักวันต้องมีวันเช่นนี้ พวกเจ้าตามเรามา เถ้าแก่เซียวกล่าวพลางเดินนำทั้งหมดไปยังหลังร้าน ผ่านภูเขาจำลอง และสวนหย่อม อ้อมไปทางด้านหลังที่มีลักษณะเป็นเนินเขาขนาดเล็ก ด้านหลังของเนินเขาปรากฏเป็นป่ารกชัฏ และแม่น้ำทอดยาว
เซียวสี่นึ้ง แหวกเถาวัลย์ที่ปกคลุมปากถ้ำบริเวณเนินเขาหลังร้านออก ตนเองเดินนำเข้าสู่ภายใน เดินไปได้ประมาณ 50 ก้าว ทั้งหมดก็โผล่พ้นออกมาจากถ้ำใต้เนินเขา และก็ต้องตื่นตะลึงกับสิ่งที่พบเห็น
เบื้องหน้าของเซียวสี่นึ้งเวลานี้ สมควรที่จะเป็นป่าสนรกร้าง ทว่ากลับกลายเป็นแปลงผัก และไร่นา รวมถึงบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่มีการชักนำน้ำมาจากแม่น้ำด้านหลัง ทั้งหมดถูกห้อมล้อมด้วยป่าสนและเนินเขา ดังนั้นมิมีผู้พบเห็นว่ามีไร่นาดังกล่าวอยู่
เถ้าแก่ นี่มัน!เสี่ยวซากล่าวด้วยความตื่นตะลึง
หึ หึ นี่คือแปลงผักที่เราลอบเพาะปลูก รวมถึงไร่ข้าวสาลี แม้นจะมิมากมายนัก แต่ยามขาดแคลนก็สามารถที่จะใช้ทดแทนไปก่อน จนกว่าจะหาวัตถุดิบจากที่อื่นได้ ยังมีภายในโรงนาแห่งนั้น เซียวสี่นึ้งชี้ไปด้านหนึ่ง
ด้านในยังเก็บสะสมแป้งหมี่ แป้งสาลี เอาไว้จำนวนมาก เพียงพอที่จะใช้ได้ไปตลอดปี โดยมิขาดแคลน ระหว่างนั้นก็เร่งหาวัตถุดิบมาเพิ่มเติม อย่างไรเสียกิจการโรงเตี๊ยมของเราก็จะมิมีวันปิดลงไป!!!
อาลักและอางู้ พากันขนแป้งหมี่ที่เก็บอยู่ในโรงนา และลำเลียงเข้าสู่โรงเตี๊ยมผ่านทางถ้ำใต้เนินเขา เสี่ยวซาเริ่มลงมือฝึกฝนการนวดแป้งต่อไป โดยมีหลี่ซังซังคอยเอาใจช่วย ส่วนเซียวสี่นึ้งขอตัวไปเตรียมการเครื่องปรุงต่างๆ
.
เหวินเหม่ยชิงลงจากเขาบู๊ตึ๊งทันทีหลังเสร็จสิ้นการประชุม เวลาสองเดือนที่ได้รับอาจจะดูยาวนาน ทว่าเรื่องราวที่ต้องไปกระทำก็มิใช่เรื่องง่ายดาย มิแน่นักว่าสองเดือนจักเพียงพอ หญิงสาวสั่งศิษย์พี่ศิษย์น้องให้มุ่งตรงกลับหันซานทันที
พวกเจ้ากลับไปดูแลความเรียบร้อยของสำนัก ภายในสองเดือนฝึกปรือค่ายกลกระบี่โค้งให้เจนจัด สองเดือนให้หลังมันจะมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดทีเดียว!
รับทราบ!!! ทั้งหมดรับคำโดยพร้อมเพรียง
หลังจากแยกกันเหวินเหม่ยชิงควบขี่ม้ามุ่งลงใต้ เป้าหมายคือเมืองหยางโจว ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักใหญ่ของฉิกจับอิดนั่นเอง
ตลอดรายทางหญิงสาวพบว่า เหล่าสำนักซึ่งเป็นพันธมิตรกับหอห้ากระบี่ล้วนแต่มีความเคลื่อนไหว มิว่าจะเป็นพรรคกระยาจก พรรคสองทิศ พรรคจวักธรณี รวมถึงพรรคลมหวนและสำนักดาวตกก็มิมีข้อยกเว้น
ครั้งนี้คงยากยิ่งที่จะไม่เกิดเหตุนองเลือด!หญิงสาวนึกพรั่นพรึงอยู่ในใจ
ฉิกจับอิดนั้นขุมกำลังกล้าแข็งดุจมังกรร้าย กำลังคนและกำลังทรัพย์เป็นหนึ่งมิมีสองรองใคร! ทว่าหอห้ากระบี่ก็เปรียบได้กับพยัคฆ์เจ้าถิ่น ซึ่งมีอิทธิพลยาวนานมานับร้อยปี ขุมกำลังอาจเป็นรองฉิกจับอิดบ้างในด้านกำลังทรัพย์และเส้นสายในราชสำนัก ทว่าเมื่อรวมพรรคที่เป็นพันธมิตรทั้งหลายเข้าด้วยแล้ว นับว่ามิมีฝ่ายใดยิ่งหย่อนกว่ากัน!!!
หากสองฝ่ายปะทะกันจนย่อยยับไปทั้งคู่ ผู้ใดกันจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะในตอนท้าย หรือจะเป็นเช่น หอยกาบกับนกกระยาง ผู้ที่ได้รับประโยชน์กลับเป็นนายพราน!!!
หอยกาบกับนกกระยาง เป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งที่ท้องฟ้าแจ่มใส นกกระยางได้ออกหากินตามปกติ ทว่าวันนั้นมันโชคร้าย มิสามารถหาอาหารได้เลย จวบจนกระทั่ง พบหอยกาบตัวหนึ่งกำลังอ้าฝา รับแดด และเศษซากที่พอจะเป็นอาหารอยู่ในบึงน้ำ นกกระยางยินดียิ่งพุ่งตรงเข้าจิกหอยกาบ
หอยกาบเห็นเช่นนั้นจึงรีบหุบฝาของมันหนีบเอาจะงอยปากของนกกระยางเอาไว้ ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในสภาพค้ำยัน ต่างฝ่ายมิสามารถรุกคืบหน้าหรือถอยได้
นกกระยางนั้นคิดจิกกินหอยกาบลงไปก็มิสามารถกระทำได้ เพราะปากถูกอีกฝ่ายหนีบเอาไว้ จะชักกลับก็มิสามารถทำได้เช่นกัน ส่วนหอยกาบนั้นจะอ้าฝาออกปลดปล่อยนกกระยางก็ใช่ที่ เพราะหากมันทำเช่นนั้น มิแน่นักว่านกกระยางจะจิกกินเนื้อมันลงไป ดังนั้นมิอาจอ้าฝาออกต้องหนีบเอาจะงอยปากของนกกระยางไว้เช่นนั้น
เวลาผ่านไปจนเย็นย่ำปรากกฏนายพรานผู้หนึ่งผ่านมา นายพรานนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับสัตว์ทั้งสองชนิด คือโชคไม่ดีหาสิ่งที่พอจะเป็นอาหารไม่ได้แม้แต่น้อย น่ากลัววันนี้ตัวเขาและลูกเมียจะต้องอดเป็นแน่
ทว่าสายตาของนายพรานเหลือบไปพบเข้ากับนกกระยางตัวนั้น และพบว่าจะงอยปากของมันถูกหนีบเอาไว้ด้วยหอยกาบตัวใหญ่ นายพรานยินดียิ่งจัดแจงตรงเข้าจับสัตว์ทั้งสองโดยทันที และเย็นวันนั้น อาหารของบ้านนายพราน นอกจากจะมีข้าวอยู่สามถ้วยแล้ว ยังเพิ่มแกงหอยกาบ และนกย่างอีกอย่างละหนึ่งจาน
เหวินเหม่ยชิงได้แต่หวังว่าหอห้ากระบี่และฉิกจับอิดจะไม่เป็นเช่นดังหอยกาบและนกกระยางนั้น!!!
แต่หากเป็นเช่นนั้น ผู้ใดเล่า จะเป็นนายพราน ผู้ฉกฉวยประโยชน์จากความขัดแย้งนี้ นางครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานทว่ามิสามารถหาคำตอบได้
..
..
จากคุณ :
ทีมแต่งนิยาย
- [
25 มี.ค. 47 23:23:36
]