รอยยิ้มในกรง

    เสื้อตัวเก่ง กางเกงตัวเก่า รองเท้าคู่เน่า ผมพอใจที่จะเป็นอย่างนี้เสมอ  

    แฟนผมมักจะบ่นอยู่เสมอว่าทำไมผมไม่เคยคิดจะแต่งตัวให้มันเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่านี้  ไม่อายสายตาคนอื่นหรือไงที่แต่งตัวซ้ำซากจำเจ  เสื้อตัวเก่า กางเกงขาเปื่อยดูแล้วอย่างกะกุ๋ย  

    ผมยิ้มรับความความพอใจ  แต่ศีรษะส่ายช้าๆบนความเบื่อหน่าย   ก็ผมพอใจอย่างนี้นี่  ทำไมต้องอายด้วยล่ะ

    ทุกครั้งที่ไปเดินเล่นห้างสรรพสินค้าด้วยกันผมพยายามกดเก็บสีหน้าเบื่อหน่ายไม่ให้เธอรับรู้  แต่ดูเหมือนว่าผมจะเป็นคนที่เก็บอาการไม่เก่งเอาซะเลย

    “เป็นอะไร เบื่อแล้วเหรอเดินแค่นี้เอง  ยังไม่ได้ดูอีกตั้งหลายร้าน  หนังก็ยังไม่ได้ดู”

    ผมไม่รู้ว่าทำไมเธอช่างมีนิสัยตรงกันข้ามกับผมเหลือเกิน ก็ผมไม่ชอบเดินดูโน้นดูนี่เหมือนกับเธอนี่  ผมผิดด้วยเหรอที่เกลื่อนกลบสีหน้าไม่เก่ง  ผมพยายามไม่พูดแต่สีหน้าและแววตาได้พูดแทนออกไปหมดแล้ว

    “เสื้อตัวนั้นก็สวยชอบจัง  ถ้าคุณใส่ต้องเท่ห์มากๆเลย”  

    เธอชอบที่จะหยิบเสื้อตัวโน้นตัวนี้มาทาบที่ไหล่ผม  และหลายครั้งมันจะถูกพับใส่ถุงเป็นของขวัญให้    ผมจำไม่ได้ว่าในตู้เสื้อผ้ามีเสื้อที่เธอซื้อให้วางเรียงรายอยู่ที่ตัว  

    “ทำไมไม่ใส่เสื้อตัวที่ซื้อให้เมื่อวานล่ะ  ใส่แต่ชุดเดิมๆ  ชุดเก่าๆไม่เบื่อหรือไง”

    คำบ่นนี้ผมมักจะได้ยินเสมอเวลาเราสองคนออกไปเที่ยวด้วยกัน  และทุกครั้งผมมักจะแก้ตัวน้ำขุ่นๆไปว่าส่งเสื้อไปซัก   ยังไม่แห้ง และคำว่า ลืม   เธอสะบัดคิ้วใส่ด้วยความโมโห  ผมได้แต่ถอนหายใจในเรื่องไม่เป็นเรื่อง

    ผมไม่รู้ว่านิสัยการแต่งตัวและการใช้ชีวิตของผู้หญิงกับผู้ชายแตกต่างกันมากแค่ไหน  ตั่งแต่ที่ผมเกิดมา ผมใช้ชีวิตอยู่ในกรอบตลอดเวลาตั่งแต่เริ่มเข้าเรียน    การแต่งกาย การกิน การนอน  การเรียนพิเศษ  ทุกอย่างคุณแม่จะจัดตารางเวลาการใช้ชีวิตโดยที่ผมไม่ต้องคิดอะไรให้กับตัวเอง  มีคุณแม่คอยจัดสรรเวลาให้ตลอด

    ดูเหมือนชีวิตที่ผ่านมาของผมจะมีความสุขดี

    แต่เมื่อผมโตขึ้น  ได้มีโอกาสรับผิดชอบชีวิตตัวเองมากขึ้น  ตารางเวลาของคุณแม่เริ่มก้าวจากไปทีละน้อย จนในที่สุดผมมีตารางชีวิตเป็นของตัวเอง   แปลกที่ผมมีความสุขมากกว่าเดิม

    ผมเริ่มรับผิดชอบชีวิตตัวเองทุกอย่างตั่งแต่ก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัย   ความอิสระมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนนกที่ถูกปล่อยออกจากกรง   ท้องฟ้ากว้างมันทำให้ผมเลือกทางที่จะบินไปด้วยตัวเอง  ด้วยสองปีกอิสระ  ผมไม่รู้ว่าโบยบินในฟ้าไกลอยู่นานเท่าไร  ไม่รู้ว่าความอิสระมันดูดกลืนชีวิตจริงของผมไปแค่ไหน  ผมไม่รู้เลย

    จนเมื่อเธอก้าวเข้ามาในชีวิต  

    ผมพอใจและภูมิใจเสมอที่ได้คบได้รู้จักกับเธอ    ระยะเวลาไม่นานเราสองคนสร้างความสนิทสนมจนสามารถบอกคนอื่นได้เต็มปากว่าเธอกับผมเป็นแฟนกัน

    แต่ด้วยคำๆนี้มันเป็นเหมือนบ่วงคล้องคอผม  เหมือนกับผมกำลังบินกลับเข้าสู่กรงอีกครั้ง   อิสรภาพของผมกำลังจะหมดไป

    ผมไม่รู้ว่าการแต่งกายที่แสดงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของผมมันผิดตรงไหน  มันไม่ดีตรงไหน  ผมรู้สึกเพียงแค่ว่ารู้สึกพอใจ  สบายใจและภูมิใจทุกครั้งที่ได้ใส่เสื้อผ้าที่ผมเลือกด้วยตัวเอง  แม้มันอาจจะสกปรกตาคนอื่น

    แต่ผมก็พอใจ

    แต่เธอไม่พอใจ

    บางครั้งผมยังแอบแปลกใจเล็กๆไม่ได้  เมื่อทุกครั้งที่เราสองคนพบกัน  เธอไม่เคยที่จะใส่ชุดที่ซ้ำกันเลย  หรือว่าผมคิดมากไป  ใครกันเล่าจะใส่เสื้อผ้าซ้ำๆซากเหมือนกับผม

    “ทำไมรองเท้าดำปี๋อย่างนี้ล่ะ   เคยซักทำความสะอาดมั่งหรือเปล่า”

    เธอเอ่ยขึ้นในร้านรองเท้า   ผมก้มมองดูความซีดเก่าของมันแล้วเดินออกจากร้านโดยไม่ได้พูดอะไรตอบไป  ผมไม่มีอะไรต้องแก้ตัวเพราะทุกอย่างที่เธอพูดมันคือความจริง    แต่แปลกที่ความจริงนี้ผมตั้งใจให้มันเกิดขึ้นเอง

    ไม่รู้ว่าถ้าผมเป็นเธอ   ผมจะพูดกับตัวเองอย่างนี้หรือเปล่า  ผมจะเห็นมุมมองอย่างที่เธอมองเห็นผมในตอนนี้หรือเปล่า   คำถามนี้ตอบยากเหลือเกิน

    “เป็นอะไรหรือเปล่า  ทำไมเดินหนีออกมาโมโหเหรอ”

    เธอเดินตามผมออกมา  แววตาหม่นนิดๆ  ผมไม่รู้จะตอบเธอว่าอย่างไร  เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเธอในตอนนี้  ผมยังไม่สามารถตอบตัวเองได้เลย   ได้แต่เผยยิ้มแห้งๆกลับไป  พร้อมเอามือลูบหัวเธอด้วยความเข้าใจ

    “ไม่มีอะไรหรอก  แค่หิวข้าว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”   ผมเบนความสนใจ  กลัวเธอจะคิดมาก   เธอเผยยิ้มบานสะพรั้งอาบแก้ม   เธอพาผมไปทานอาหารร้านหรู  

    เป็นอีกครั้งที่ผมตามใจเธอ  ทั้งที่ใจผมลอยไปอยู่ร้านข้าวแกงริมฟุตบาทแล้ว

    “อร่อยดีเนอะ”  เธอพูดหลังจากดื่มน้ำเปล่าในแก้วล้างคราบอาหารคาวในลำคอ  ผมส่งยิ้มตอบกลับให้เธอ

    ผมเพิ่งเข้าใจว่าบางครั้งความสุขก็ต้องเอาอิสรภาพไปแลกเพื่อที่จะได้มา





    จากคุณ : เรือ่ยเปื่อยไปวันๆ - [ 26 มี.ค. 47 16:17:18 A:203.155.225.170 X: ]