สิ่งที่จะทำได้...

    สิ่งที่จะทำได้

    บานประตูห้องที่เป็นจุดหมายของผมอยู่ตรงหน้าแล้ว  แต่ผมก็ยังรีๆรอๆอยู่หน้าห้องอยู่นั่นเอง เพราะตัวผมเองยังตัดสินใจไม่ถูกเหมือนกันว่าจะบอกกับผู้ที่นั่งอยู่ในห้องอย่างไรดี

    หากแล้วเหมือนผู้ที่อยู่ในห้องจะรู้แล้วว่าผมมายืนอยู่ เพราะผมเองก็ไม่ได้เจตนาย่องมาแต่อย่างไร เสียงฝีเท้าผมน่ะมันดังมาแต่ไกลแล้ว  ไม่แปลกหรอกที่คนข้างในจะได้ยิน

    “เข้ามาสิ” เสียงเย็นๆที่ผมได้ยินมาจนชินดังออกมา ให้ผมเอื้อมมือไปแตะลูกบิดและเปิดเข้าไปภายในห้องอันมีเพียงแสงสลัวของดวงอาทิตย์ที่จวนจะลับขอบฟ้าๆจากรอยแยกของม่านอันเล็กน้อยเท่านั้น

    แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ดีคือ….

    ในห้องของเธอยังหลงเหลือแสง

    แต่ในใจของเจ้าของห้องนั้นไร้ซึ่งแสงสว่างไปแล้ว

    แม้จะเป็นแสงน้อยนิดที่เหลืออยู่ในห้องแต่ผมก็ยังพอเห็นว่าร่างระหงนั้นอยู่ในชุดสีดำสนิทราวกับจะรู้แล้วในสิ่งที่ผมกำลังจะบอก

    และผมก็แน่ใจเมื่อเธอเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ

    “แก้ว….ตายไปแล้วสินะ”

    สิ่งที่ผมจะทำให้ได้มีเพียงการพยักหน้ารับเท่านั้น  ผมเห็นเธอไม่มีทีท่าตกใจหรือสะดุ้งสะเทือนใดๆเลย  ความจริงทั้งผมทั้งเธอเตรียมใจกันมานานแล้วด้วยซ้ำไปว่าวันนี้ต้องมาถึง

    ที่จริงมนุษย์ทุกคนจะอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี….ทั้งผม…เธอ…รู้ดีพอๆกัน เพียงแต่เรื่องบางเรื่องถึงจะรู้ดีแต่ก็ไม่อยากยอมรับมัน

    ทั้งเรื่องความตายของ “แก้ว” หรือเรื่องที่แก้วรัก “ผู้ชายคนนั้น”

    ภวังค์ความคิดของผมสะดุดลงเมื่อเสียงของผู้หญิงอีกคนในห้องดังขึ้นมา

    “นาย…อยู่ที่นั่นตลอดเลยใช่ไหม….”

    ผมไม่ตอบคำใดอีกนอกจากพยักหน้ารับเมื่อเช่นเคย

    “แก้ว….ยิ้มหรือเปล่า…..”

    คำถามของเธอขาดเป็นห้วงๆทำให้ผมต้องมองหน้าเธอ หากเห็นแต่เพียงวงหน้าเรียบเฉยเหมือนใส่หน้ากากเท่านั้นเอง

    ผมหวนรำลึกถึงวินาทีสุดท้ายของคนที่เพิ่งจากไป

    “แก้ว” ร้องขอรูป “ผู้ชายคนนั้น” มาดู แทนตัวเขาที่วุ่นวายกับงานจนไม่มีเวลามาใส่ใจแก้ว

    หล่อนดูรูปนั้นแล้ว…..ยิ้ม..หลับตาลงอย่างผาสุข….
    หลับตาลงเพื่อหลับไปตลอดกาล…

    “ยิ้ม….ยิ้มให้กับรูปผู้ชายคนนั้น” ผมบอกความจริงให้เธอได้รู้โดยไม่ปิดบัง

    “เธอ” ที่อยู่ตรงหน้าผมหัวเราะในลำคอหากกังวานบอกถึงความขมขื่นที่กร่อนลึกทั้งในใจของเธอและในใจของผมเอง

    “นายรู้ไหม..ถึงแก้วจะตายไป ตายไปเพราะไอ้ผู้ชายคนนั้นมันไม่เคยไยดีแก้วเลย ปล่อยให้แก้วป่วยหนักกว่าเราจะรู้ก็ช้าเกินไป….ถึงจะรู้อย่างนั้น….ฉันหรือนายก็ไม่มีสิทธิ์ไปโทษหรือไปห้ามแก้วไม่ให้อยู่กับมันต่อ”

    ใช่ ทั้งผมทั้งเธอไม่มีสิทธิ์ห้าม เพราะนั่นเป็นชีวิตที่แก้วเลือกนี่คือเหตุผลในมุมมองของผม แต่เหตุผลของเธอ….

    “แก้วน่ะ เวลาอยู่กับผู้ชายคนนั้น เขาก็ยิ้มเสมอ… ยิ้มแบบที่พวกเราเองยังทำให้เขายิ้มอย่างนั้นไม่ได้” เธอเว้นจังหวะสูดลมหายใจราวกับจะพยายามข่มเสียงไว้ไม่ให้สั่น แต่ริมฝีปากบางเฉียบนั้นกลับสั่นระริกยามเอ่ยต่อ

    “พวกเราที่ทำให้เขายิ้มอย่างมีความสุขแบบนั้นไม่ได้น่ะ….ห้ามเขาหรือทำอะไรให้เขาไม่ได้หรอก”

    ประโยคที่ถึงเธอไม่เอ่ยออกมาผมก็รู้อยู่แก่ใจ  และเพราะรู้จึงทำได้แค่มองมาตลอด

    ความเงียบเข้ามาปกคลุมระหว่างผมกับเธอไปชั่วครู่ ให้จมดิ่งอยู่ในภวังค์แห่งอดีตอันไม่อาจเรียกคืนมาได้….

    “แก้ว” ชื่ออันมีความหายถึงสิ่งอันสวยงามสูงค่า หากก็เปราะบางแตกสลายได้ง่ายดายเช่นกัน

    หล่อนเป็นเด็กกำพร้าที่อาศัยทุนเรียนมาตลอด หล่อนไม่มีใคร อยู่กับพวกเรามาตั้งแต่สมัยยังนุ่งกระโปรงใส่คอซองมากับเธอตรงหน้า

    “แก้ว”กับ”เธอ” และ “ผม”
    จึงเป็นยิ่งกว่าพี่น้องเสียอีก

    หากแล้วเมื่อวันหนึ่งผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา… เข้ามาพร้อมกับชิงเอาหัวใจอันใสสะอาดของแก้วนั้นไป

    มันเอาไปแล้วมันก็ทิ้งขว้าง!

    ทิ้งให้ผู้หญิงที่เปราะบางคนนั้นจมอยู่กับบ้าน ขณะที่มันควงผู้หญิงเฉิดฉายในงานสังคม ทิ้งให้แก้วกลายเป็นเศษแก้วเล็กๆที่น่ารำคาญ

    จนหัวใจอันเปราะบางนั้นรับไม่ไหวต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคร้าย

    และ….สายเกินไป…..

    “วันนี้..ก็รดน้ำศพเผามันไปเลยเถอะ” เธอเอ่ยลอยๆหากเป็นการตัดสินใจที่ผมเองก็ไม่อยากค้าน

    เก็บไว้ทำไมให้แสลงใจทั้งเธอและผม…..

    เราไปที่โรงพยาบาลเพื่อรับศพของเธอไปไว้ที่วัดที่อยู่ใกล้โรงเรียนที่เราเคยเรียนเมื่อตอนประถมฯ

    ลานวัดยังกว้างเหมือนเก่า…..ต้นไทรตั้นที่เคยอยู่ก็ยังคงแผ่กิ่งก้ารให้ร่มเงาเหมือนเช่นวันวาร

    หากวันนี้เด็กๆที่เคยวิ่งเล่นซุกซน….สองคนมายืนอยู่ในเสื้อผ้าสีดำสนิท

    อีกคน…….นอนมาด้วยสีหน้าผาสุขมือกุมรูปถ่ายไว้แนบแน่น

    เธอ….เดินเข้าไปหาเจ้าอาวาส…อดีตหลวงตา…เพื่อบอกเล่าอย่างปกติ

    ผม…..กุมมือคนที่ “หลับ” อยู่ตลอด  เพราะอย่างน้อยครั้งหนึ่งที่มันยังมีไออุ่นแห่งชีวิต มือนี้เคยปลอบโยนทำแผลให้ผมมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

    วันนี้ไออุ่นมลายหายเหลือเพียงความเย็นชืดอันไร้ความรู้สึก

    ผมกลืนก้อนแข็งๆที่เข้ามาจุกที่คออย่างยากลำบาก  ขณะที่เธอเดินกลับมาพยักหน้าให้ผมพาเพื่อนรักของเราไปนอน…ในที่ที่จัดไว้

    พิธีรดน้ำศพ..เราจัดพอเป็น “พิธี” จริงๆ ในเมื่อมีแค่เราสองคนเท่านั้น….

    ผมรดน้ำให้เธอด้วยมือที่สั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ หยาดน้ำหลั่งรินผ่านมือเรียวนั้น…หากไม่มีหยาดใดเกาะติด….

    โลกหน้า….แก้วไม่ต้องการเอามันติดไปด้วย….

    ผมส่งขันให้เธอที่รับมา แล้วบรรจงรดอย่างเบามือราวกับเกรงคนที่นอนอยู่จะบ่นว่าเย็น…..

    หยาดน้ำสุดท้ายไหลรินก่อนที่เธอจะ…ยิ้ม…ให้แก้วอย่างอ่อนโยนไม่ผิดกับยามมีชีวิต…..

    ผมเพิ่งนึกออกเดี๋ยวนี้เอง…..

    ว่าตั้งแต่ตอนที่ไปรับแก้วมา
    หรือกระทั่งตอนรดน้ำให้แก้วนี้

    เธอไม่หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว!

    หากยามเห็นหน้าแก้วที่นอนบนเตียงที่เข็นมาให้เธอกลับยิ้มและลูบหัวแก้วเหมือนน้องน้อย

    เธอไม่หลั่งน้ำตาแต่เธอยิ้มมาตลอด…..

    เมื่อเสร็จการรดน้ำ หลวงตาก็สวดมนต์และชักบังสกุลให้เสร็จในคราเดียวเลยดูเหมือนว่า “เธอ” คงจะแจ้งเจตจำนงไว้แล้ว

    จากนั้นเป็นหน้าที่ผม…..

    ร่างบอบบางนั้นดูเหมือนจะไร้น้ำหนักโดยสิ้นเชิง  ยามที่ผมวางร่างแก้วเพื่อเตรียมใช้เปลวอัคคีชำระล้างทุกสิ่ง…

    ผมมองหน้าแก้ว….มองเพื่อที่จะจำทุกสิ่งไว้ในใจ

    เพราะต่อแต่นี้ผมจะไม่มีวันได้พบอีก นอกจากในความทรงจำของผมเท่านั้น

    ผมพยักหน้าให้คนที่คอยท่าอยู่แล้วค่อยๆดันเธอเข้าไปในเมรุ…..ก่อนที่ผมจะรีบหันหลังกลับและสาวเท้าหนีออกโดยเร็วที่สุด

    ผมไม่อยากหันไปมองควันที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น….มันยากเกินไปสำหรับผม  เท้าพาผมก้าวไปอยู่ใต้ร่มไทรอันร่มเย็นนั้น ราวกับจะให้ใจของผมได้เย็นขึ้น

    หากแล้วที่ใต้ต้นไทรร่างระหงในชุดสีดำสนิทที่มาพร้อมกับผม  เธอนั่งอยู่ก่อนแล้ว ซบหน้าลงกับท่อนแขนวางบนเข่าที่ชันขึ้น ไม่มีเสียงใดหลุดร้องออกมา แต่ไหล่ที่สั่นสะท้านนั้นทำให้ผมรู้ดีว่าเธอออยู่ในอาการใด

    ผมเรียกขื่อเธอเบาๆ……

    “..ไม่เป็นไร” เสียงเครือที่เจ้าของพยายามบังคับให้มันปกติแต่ทำไม่ได้ดังออกมาแต่เธอยังไม่ยอมเงยหน้า

    “ขอแค่ตรงนี้…เดี๋ยวนี้..ให้ฉันร้องไห้  หลังจากนี้เวลาไปรับแก้ว  ฉันจะได้ยิ้มได้  ต่อหน้าแก้ว ฉันสัญญาแล้วว่าฉันจะไม่ร้อง ฉันจะยิ้ม…ให้เขาตลอด”

    นี่เองทำให้ผมเข้าใจ……แล้วผมก็จำได้  แก้วเคยบอกว่าชอบเธอเวลายิ้มที่สุด……

    ผมไม่รบกวนเธอ..เพราะผมเองก็ต้องการเวลาเหมือนกัน…..

    เวลาที่เปลวไฟจะแผดเผาร่างอันไร้วิญญาณนั้นให้เหลือเพียงเถ้าถ่านนั้นมอดลง

    ให้คนเบื้องหลังจมอยู่กับเปลวไฟอันแผดเผาหัวใจที่โศกเศร้าอันดับไม่ลง

    มันไม่นานเลย…ใช้เวลาไม่นานเลยจริงๆกับการทำลายชีวิตหนึ่งที่กว่าจะเติบโตใช้เวลาไปหลายปีเป็นสิบปี….

    แต่แค่ไม่ถึงวันเดียว มันก็มลายหายไป……

    “เธอ” ลุกขึ้นยืนและก้าวเดินไปยังเมรุด้วยสีหน้าปกติมีเพียงดวงตาที่แดงช้ำเท่านั้นสำแดงหลักฐานว่าผ่านการร้องไห้ติดๆกัน……

    นิ้วเรียวค่อยๆเก็บกระดูกใส่ผ้าขาวอย่างเบามือจนหมด  เธอกล่าวขอบใจคนที่ทำหน้าที่เบาๆ  ขณะอุ้ม “แก้ว” ไปพร้อมรอยยิ้ม

    “จะพาแก้วไปทะเลนะ……..” เธอบอกเบาๆยิ้มบางๆฉาบที่ริมฝีปาก “แก้วชอบทะเลนี่นา…”

    เราพาแก้วไปที่ทะเลกัน…..เพราะในความคิดเรา แก้วน่าจะได้นอนในที่ๆเขาชอบมากกว่าอึดอัดอยู่ในโกศแคบๆ…

    ผมเดินไปหาซื้อพวงมาลัยดอกมะลิที่แก้วชอบมาด้วยเพื่อให้แก้ว….

    แม้กระทั่งตอนที่เราค่อยๆปล่อยแก้วลงสู่ทะเล  เธอ….ก็ยังไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว มีเพียงรอยยิ้มหวานละมุนให้เท่านั้น

    เธอเข้มแข็ง…..เป็นทั้งความคิดและคำพูดที่ผมพูดให้เธอฟังขณะเรากำลังกลับ

    หากเธอกลับหัวเราะอย่างขื่นๆแทน

    “ฉันไม่ใช่คนเข้มแข็งเลย….เพราะฉันทำอะไรไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว นอกจากคอยยิ้มให้แก้ว….” เธอเว้นจังหวะราวกับกลืนก้อนสะอื้นที่วิ่งขึ้นมาก่อนกล่าวต่อ

    “ฉันมันเป็นแค่คนบ้า…..คนบ้าที่ทำได้แค่ยิ้มให้เพื่อนรักเท่านั้น นอกนั้นฉันทำอะไรไม่ได้เลย ทำไม่ได้…เลยสักอย่าง…  ถ้าฉันเข้มแข็งจริง…” เธอก้มลงมองดูมือตัวเองด้วยสายตาที่ว่างเปล่า  “ถ้าฉันเข้มแข็ง ฉันคงไม่ตัดใจจากแก้ว ทำให้แก้วตายง่ายแบบนี้”

    ผมเงียบ…และเธอก็ไม่พูดอะไรต่อ….

    สิ่งที่ทำได้…..

    เพื่อให้ “แก้ว” เพื่อนรักของพวกเรามีแค่นี้เท่านั้นเอง

    ผมทำได้แค่ให้พวงมาลัยดอกมะลิที่เธอเป็นครั้งสุดท้าย….

    เธอทำได้แค่ยิ้มให้แก้วโดยไม่หลั่งน้ำตาให้เห็น

    มีแค่นี้เองที่พวกเราทำได้……

    ผมเหลือบมองคนข้างตัวที่นั่งเงียบ…

    วันข้างหน้าบางที…ผมก็ต้องเสียเธอไป….แล้วผมจะทำอะไรให้เธอได้บ้าง…..

    วันนี้….ตอนนี้….เดี๋ยวนี้….เท่านั้นที่ผมควรเร่งทำ

    ทำเพื่อคนที่รัก..เสียตั้งแต่วันนี้ก่อนที่จะไม่มีโอกาสให้ทำ……..

    ผมจะมีชีวิตอยู่พร้อมกับคำๆหนึ่งเพื่อเตือนตัวเอง

    “วันนี้….เราทำเพื่อคนที่เรารัก..คนที่รักเรา…คนที่อยู่ข้างๆเราหรือยัง?”

    + + + + + +

    ฮือๆๆๆ เพราะคนแต่งDiabolic Temption นั่นแหละทำเอาอมราวตีน้ำตาตกเลย แง้ๆๆๆๆๆ เลยต้องหาอะไรมาระบายเสียหน่อย ฮือๆๆๆๆๆ

    เรื่องนี้ก็จบลงด้วยคำถาเหมือนเคย…ตอบกันก็ได้นะคะว่าจะทำอะไรเพื่อคนที่เรารัก..คนที่รักเรา และคนที่อยู่ข้างๆเรา เพื่อจะได้ไม่เสียใจภายหลัง หรืออยากบอกอะไรก็บอกเข้ามาได้ค่ะ ^O^

    จากคุณ : อมราวตี - [ 28 มี.ค. 47 16:26:49 ]