สะพานมรณะ


    เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงเมื่อประมาณสี่สิบปีที่แล้วทางภาคอีสาน ความเจริญยังไม่มากเท่าปัจจุบัน ถนนหนทางก็ยังไม่กว้างขวางสะดวกสบายนัก การเดินทางตอนนั้นต้องอาศัยรถประจำทางที่มีวันละหนึ่งรอบ สมัยนั้นใครมีมอเตอร์ไซต์จะถือว่าเป็นคนที่มีฐานะและเท่ห์มาก
    กิตติ ชายหนุ่มอายุย่างสามสิบ เป็นชายหนุ่มที่สาว ๆ หลายคนจับตามอง เนื่องจากเป็นคนหน้าตาดีพอสมควร อีกทั้งฐานะทางบ้านก็ดีพอสมควร และยิ่งกว่านั้น กิตติมีมอร์เตอร์ไซต์คันงามเป็นของตัวเอง
    กิตติเป็นคนที่มีน้ำใจพอสมควร ถึงแม้ว่าจะชอบดื่มเหล้ามากไปหน่อย ถึงกระนั้นเขาก็เป็นคนที่โด่งดังทั้งตำบลทีเดียว
    เหตุการณ์ที่ทำให้กิตติต้องจดจำเกิดขึ้น เมื่อเขาต้องไปรับพ่อที่ตัวจังหวัด วันนั้นเขาดื่มเหล้านิดนึง จึงยังไม่เมา แต่ก็ทำให้เขาสลึมสะลือพอสมควร เขาต้องไปรับพ่อเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ตัวจังหวัดอยู่ห่างจากหมู่บ้านของเขาประมาณสามสิบกิโลเมตร ซึ่งก็ไม่ไกลเท่าไหร่สำหรับกิตติ เพราะเขาตระเวนไปมาทุกวัน
    เวลาเกือบหกโมงเย็นกิตติจึงออกจากวงเหล้าเพื่อจะไปรับพ่อ เขาคว้ามอเตอร์ไซต์คู่ใจบึ่งออกจากหมู่บ้านไป บรรยากาศรอบกายเริ่มอึมครึมขึ้นทุกที แต่นั่นไม่ได้เป็นความกังวลหรือกลัวของกิตติเลย
    กิตติบิดมอร์เตอร์ไซต์เต็มที่ ไปตามถนนที่ไร้แสงไฟ  สองข้างทางเป็นป่าที่ทั้งรกและมืด นาน ๆ ทีจะผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ สักครังหนึ่งซึ่งพอจะทำให้รู้สึกว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ บ้างนอกจากเขาคนเดียว
    เสียงเครื่องยนต์แผดสนั่นในความมืด ไฟหน้าส่องออกไปไม่ชัดนัก แต่ด้วยความชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดีของกิตติทำให้เขาไปได้อย่างรวดเร็ว
    เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เขาก็มาถึงเขตป่าช้าบ้านหนองปลาไหล ถนนตัดผ่านตรงกลางป่าช้าไปทะลุหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อหมู่บ้านหนองปลาไหล ซึ่งตอนนี้เหมือนทุกคนในหมู่บ้านจะหลับใหลไปหมด ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนสมัยนั้น เมื่อตกค่ำ ทุกครอบครัวจะเข้าบ้านนอนกันแต่หัวค่ำ
     กิตติผ่านป่าช้าบ้านหนองปลาไหลโดยที่ไม่ได้คิดอะไร แค่ก่อนที่เขาจะพ้นเขตป่าช้าซึ่งเป็นเขตต่อกับหมู่บ้านหนองปลาไหล  แสงไฟหน้ารถก็ไปต้องกับสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้กิตผ่อนมือที่บิดคันเร่งลงนิดหนึ่ง สายตากิตติจับจ้องอย่างพิจารณาไปยังร่างหญิงท้องแก่คนหนึ่งที่กำลังยืนกวักมือเรียกเขาอยู่ข้างหน้า
    กิตติผ่อนรถอย่างรวดเร็ว ด้วยความบริสุทธิใจและความมีเมตตา อีกทั้งเขาไม่คิดว่าผีจะมองเห็นเป็นตัวเป็นตนขนาดนี้ เขาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงท้องแก่คนนั้น  
    “ขอฉันติดรถไปด้วยสิ” เสียงหญิงคนนั้นพูดขึ้น อย่างเชื่องช้า
    ด้วยความมีน้ำใจของกิตติ ประกอบกับความเชื่อของคนอีสานที่ว่า ถ้าคนท้องขอร้องให้ทำอะไร ไม่ควรที่จะขัด  จะเป็นบาป
     กิตติประครองรถให้นิ่ง เพื่อให้แธอขึ้นซ้อนด้านหลัง กิตติออกรถอีกครั้ง เมื่อเธอบอกว่าเรียบร้อยและขอติดรถไปลงแค่หมู่บ้านข้างหน้า
    กิตติรู้สึกแปลกนิด ๆ ที่เธอไม่พูดอะไรกับเขาอีกเลยหลังจากขึ้นรถมา มีเพียงเสียงลมหายใจที่เหมือนถอนหายใจบ้างเป็นบางครั้ง
    เสียงเครื่องยนแหวกดังผ่านอากาศตอนค่ำฟังได้ชัดเจนในระยะ ลมเบา ๆ พัดเย็นกระทบหน้า เมฆบนฟ้าประปราย พอส่องให้เห็นดวงดาวบนฟ้าที่ดาษเดื่น วันนี้เป็นวันที่อากาศดีมากสำหรับกิตติถ้าเกิดว่าเหตุการณ์แปลกประหลาดไม่เกิดขึ้นกับเขาเสียก่อนจนทำให้บรรยากาศนั่นเสียไป
    รถมอเตอร์ไซต์วิ่งด้วยความเร็วปานกลางมาถึงยังสะพานขาวก่อนเข้าหมู่บ้านถัดไป ทางขึ้นสะพานเป็นเนินสูงขึ้นเล็กน้อย หินลูกรังสีแดงส่องเห็นชัดกับไฟรถด้านหน้า ทันใดนั้นลมหมุนที่เป็นเรื่องธรรมดาซึ่งเห็นเป็นประจำในหน้าร้อนก็พัดผ่านหน้ารถมอเตอร์ไซต์ไป ทำให้ฝุ่นที่เกิดจากดินลูกรังพัดเข้าตากิตติจนแสบ แต่เขาก็ยังขับต่อไปได้
    แต่ล้อรถมอเตอร์ไซต์คันเก่งเหยียบขึ้นไปบนสะพาน  กิตติก็รู้สึกเหมือนกับรถของเขาถูกเขย่าอย่างแรง  เสียงโช๊คดังเอียดอาดสองครั้ง แล้วก็กลับสู่ปกติ กิตติตกใจจนรถเกือบเซถลา  เขาหันกลับไปว่าผู้หญิงที่ซ้อนมาด้วยว่า ทำไมต้องเขย่ารถ อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้  
     แต่เมื่อกิตติหันกลับมา ขนทุกส่วนในร่างกายเขาก็ลุกพอง เนื้อตัวเย็นวาบ แต่ใบหน้าร้อนผ่าว เขาเสียงวาบไปทั้งใขสันหลัง ผู้หญิงคนนั้นหายไป  ไฟท้ายรถส่องให้เห็นความว่างเปล่าของถนนด้านหลัง
     กิตติตัดสินใจด้วยความกล้าอันเล็กน้อยในการเบรครถ เขาร้องหาเธอด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ไม่มีเสียงตอบใด ๆ กลับมานอกจากเสียงแมลงกลางคืนที่ร้องระงมรอบด้านและเสียงกบเขียดร้องอยู่ใต้สะพาน
    ลมพัดแรงขึ้นอย่างผิดปกติ พัดเอาเสียงหมาหอนในหมู่บ้านถัดไปมากระทบหูเหมือนมันรู้ว่าจะหอนเวลาไหน  คันเร่งถูกบิดอย่างแรงจนรถพุ่งทะยานออกไปอย่างไม่แป็นท่า เสียงร้องโหยหวนของกิตติก็เกิดขึ้นเมื่อรถมอเตอร์ไซต์คันเก่งของเขาเหมือนจะควบคุมไม่ได้ มันพุ่งเข้าชนตรงตอหม้อสะพาน และทำให้เขาตกลงไปในลำธารเบื้องล่าง
    สติของเขายังคงเหลืออยู่ แต่ความเจ็บปวดที่ซี่โครงด้านหน้านั้นทำให้เขาเดินขึ้นมาด้านบนไม่ได้ กิตติภาวนาถึงบุญกุศลที่เขาทำมาให้ช่วยคุมครองเขาด้วย
    เห็นการวันนั้นผ่านไปโดยที่พ่อของกิตติเดินทางกลับมาด้วยรถรับจ้างเมื่อไม่เห็นลูกชายไปรับ และมาเจอรถมอเตอร์ไซต์ของลูกชายล้มพาดอยู่กับคอสะพาน จากนั้นจึงพบตัวกิตติ และนำส่งโรงพยาบาล
    กิตติปลอดภัยพ้นขีตอันตราย เพียงแค่กระดูกซี่โครงด้านหน้าร้าวเท่านั้นเอง กิตติเล่าเรื่องทุกอย่างให้พ่อกับแม่ฟัง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนขนพองสยองเกล้า เรื่อง ที่ “แม่มาร” ขอติดรถมากับกิตติด้วยนั้นเป็นเรื่องที่ผู้คนจะพูดกันให้เซด   “แม่มาร” คนอีสานใช้เรียกผู้หญิงที่ท้อง
    เนื่องจากการเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ ความเชื่อของคนอีสานอีกอย่างคือ จะต้องไปทำพิธีเพื่อนำ “ขวัญ” ของคนที่เกิดอุบัติเหตุกลับมายังร่าง ซึ่งต้องไปทำพิธีที่บริเวณที่เกิดเหตุ ชาวอีสานเรียกพิธีนี้ว่า  พิธี “ช้อนขวัญ”
    พ่อแม่ของกิตตินำผู้เฒ่าผู้แก่ของหมู่บ้านไปทำพิธีบริเวณสะพานขาว เมื่อมาถึงคนแก่ก็เริ่มทำพิธี ช้อนขวัญทันที  พิธีทำไปได้สักพัก แม่ของกิตติก็เหลือบไปเห็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่อีกฟากของลำธาร เหมือนกำลังทำพิธีอะไรอยู่สักอย่าง ก็เลยร้องถามไป
     “ขอโทษคะ  ทำอะไรกันอยู่หรือคะ” แม่ของกิตติร้องถาม คนฝั่งนั้นหันมา
     “กำลังทำพิธีช้อนขวัญอยู่”  คนฟากโน้นตอบกลับ “แล้วฝั่งโน้นทำอะไรละ”
    “ช้อนขวัญไอ้กิตติมัน มันขับรถมอเตอร์ไซต์ชนสะพาน”  แม่ของกิตติร้อง
    “เอ้อ.. ฝั่งนี้ก็มาช้อนขวัญ อีก้อน มันเป็นแม่มาร มันตกรถมอเตอร์ไซต์  ”
    ทั้งสองฝ่ายจึงต่างฝ่ายต่างทำพิธีกันต่อไป ....

    จากคุณ : ไอ้ทิด - [ 29 มี.ค. 47 17:21:17 A:202.44.14.242 X: ]