วันนี้นายไกด์บ๊องมารับฉันที่หน้าโรงแรมจิ้งหรีดตามเวลานัด นั้นก็คือ 9 โมงเช้า เป้าหมายที่เขาจะพาฉันไปวันนี้คือ เมืองซูวอน ซึ่งที่จริงเขาจะต้องพาฉันไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว นึกถึงเรื่องเมื่อวานก็ยังโมโหไม่หาย หลังจากที่ฉันกลับมานั่งสงบสติอารมณ์ที่โต๊ะได้สักพัก นายไกด์บ๊องซึ่งคงเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว เดินหน้าแฉล้มเข้ามาถามไถ่ว่าฉันอ่านหนังสือไปถึงไหน เข้ามาพลิกหนังสือไปมา ทำหน้าเครียด เสแสร้งต่างๆนานา หนอยย ไอ้ตัวแสบบบ ฉันอยากจะลุกขึ้นจับหัวอีตาไกด์บ๊องกระแทกโต๊ะซ่ะจริงๆ แต่เอาไว้ก่อน ฝากไว้ก่อน หัวเราะทีหลังดังกว่า ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!!!
รถกระป๋องปุ้มปุ้ยของนายไกด์บ๊องกำลังมุ่งหน้าไปยัง Korean Folk Village หรือ หมู่บ้านพื้นเมืองเกาหลี ที่ตั้งอยู่ในเมืองซูวอน วันนี้นายไกด์บ๊องดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาเปิดเพลงไปฮัมไป แถมมีหันมาหยักคิ้วยิ้มให้ฉันซ่ะด้วย ท่าทางของเขาตอนนี้ เหมือนคนที่กำลังถูกฝนโปรยปรายลงมาบนหัวใจ มองอะไร ฟังอะไร ก็มีความสุขไปหมด ซึ่งผิดกับฉันตอนนี้ ฉันกำลังระทมทุกข์อยู่กับเสียงเพลงที่อีตาไกด์บ๊องกำลังเปิดอยู่ มันช่างหนวกหูเสียเหลือเกิน มันไม่ใช่เพลงสมัยใหม่ที่พวกเราฟังกัน แต่มันเหมือนกับเพลงสุนทราภรณ์ของไทย ที่นักร้องร้องเสียงสูงๆ ร้องทีแก้วหูแถบแตกนะ
' Arirang, arirang, arariyo, Arirang kokearo naumawkanda Na reul pauriko kasineun nimeun
Simnido moskasaw palpyaungnanda '
เอ๊ะ เพลงนี้คุ้นๆ นะ???!!! เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เอ้...........เพลงอะไรหว่าาาาาา อ้อ! นึกออกแล้ว เพลง อารีดัง นี่นา!
" This is Arirang song !! "
นายไกด์บ๊องหันมามองฉันอย่างแปลกใจ " you know arirang? Arhh....read many book-ses , now you good head! " ( >_^)
หนอย ตาบ้าเอ้ยยย " I know arirang song for a long time ย่ะ! "
" long time ? how know ?! "
" My mother sing , very famous in Thailand before ."
ฉันยังจำเพลงนี้ได้ดี เพราะตอนเด็กๆแม่ชอบร้องให้ฟัง เพลง อารีดัง เป็นเพลงที่อยู่ในภาพยนตร์เรื่อง อารีดัง แสดงนำโดย จตุพล ภูอภิรมณ์ วาสนา สิทธิเวช และ ซอง ซุน มี ซึ่งสมัยแม่ยังสาวหนังเรื่องนี้ฮิตมากเลย
ฉันยังไม่มีโอกาสได้ดูเรื่องนี้สักที แต่เคยอ่านในหนังสือเก่าๆที่แม่เก็บไว้ เรื่อง อารีดัง เนี้ย เป็นเรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นในแดนกิมจิ เมื่อนายทหารไทยไปร่วมรบจนได้รับบาดเจ็บ และได้รับการดูแลจากสาวเกาหลีนางหนึ่ง จนทำให้เกิดเป็นความรัก แต่เขาทั้งสองยังต้องฝ่าฟันอุปสรรคอีกมากมาย ซึ่งเรื่องราวจบลงยังไง อันนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พูดถึงเรื่อง อารีดัง ฉันก็เริ่มอยากดูขึ้นมาแล้วสิ ก็ขอภาวนาให้ใครสักคนนำ อารีดัง กลับมาสร้างใหม่อีกสักครั้งเถอะ เพราะดูขนาดเรื่อง คู่กรรม สิ ยังมีคนนำกลับมาสร้างแล้วสร้างอีกจนนับครั้งไม่ถ้วน
นายไกด์บ๊องหันมามองฉันด้วยท่าทางแปลกๆ เขาจ้องหน้าฉันเหมือนพยายามสำรวจอะไรบางอย่าง " แทกึค , you tai ?"
" Yes , I'm Thai , 100%!!!! "
เขายังจ้องมาที่ฉัน แล้วส่ายหัวไปมา " you look ve-ry bad. Errr....no no no , so-ri , i say wrong. I wan say you look no look แทกึค. "
ดูเขาพูดสิ (-_-') แต่อะน่ะ ฉันยอมรับว่าเขาก็พูดถูกเพราะมีใครหลายคนบอกว่าฉันไม่ค่อยเหมือนคนไทยเลย แถมยังทักว่าฉันหน้าตาแปลกอีก ครั้นพอถามว่าแปลกแบบไหน ก็ได้รับคำตอบกลับมาเป็นเสียงเดียวกันว่า ' แปลกประหลาด ' (-_-') ก็ว่ากันไป ฉันเคยถาม ยัยติ๊ก จอมมารปากร้าย ผู้ซึ่งบรรดาเพื่อนๆมักจะให้เครดิตในเรื่องความตรงไปตรงมา การไม่มีบิดเบือนในข้อเท็จจริง และความปากหมาในการวิจาร์ณของเธอ
" ติ๊ก ฉันถามจริงๆเถอะ แกว่าหน้าฉันเนี้ยเป็นยังไง ใครๆก็หาว่าฉันแปลกประหลาด "
ติ๊กจ้องหน้าฉัน ทำหน้าวิเคราะห์ เหมือนกับว่าตัวเองเป็นซินแสแป๊ะเจี๊ยะ
" วิเคราะห์ตามหลักฮวงจุ๊ยบนหน้าแกแล้วเนี้ย ความที่แกได้เชื้อแขกผสมจีนมาจากพ่อ ทำให้แกมีดวงตาอันกลมโตน่าพิศมัย แต่ติดอยู่อย่างเดียว ดันเป็นตาชั้นเดียว มันเลยดูแปลกๆว่ะ แต่นั้นยังไม่เท่าไหร่ เชื้อลาวพรวนของแม่แก ซ้ำกระหน่ำชีวิตแกเข้าไปใหญ่ สร้างจมูกดั้งหลบในมาให้ โอ้ย ขำกลิ้ง นี่ยังดีน่ะที่แกผิวขาว ถ้าดำละแกเอ้ย ข้าคงคิดว่านิเชามาเกิดใหม่แน่ๆ "
อะน่ะ ดูแต่ละอย่างที่มันพูดสิ ( '-_- ) ฉันชักจะลังเลตัวเองแล้วว่าฉันเป็นคนหรือเอเลี่ยนกันแน่เนี้ย
------------------------------------------
ใช้เวลาร่วม 1 ชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดเราสองคนก็มาถึงเมืองซูวอน ที่จริงถ้าขึ้นทางด่วน Kyongku จากโซลมาที่ เมืองซูวอน จะใช้เวลาแค่เพียง 40 นาทีเอง แต่ที่มาช้าไปตั้ง 30 นาที นั้นก็เป็นเพราะรถกระป๋องปุ้มปุ้ยของอีตายไกด์บ๊องนะสิ อาการเหมือนจะร่อแร่ๆ แต่ก็ยังดีที่คลานมาถึงจนได้
เมืองซูวอนนี้ถือว่าเป็นเมืองหนึ่งที่มีการผสมผสานระหว่างอารยธรรมพื้นเมืองและอารยธรรมตะวันตกได้อย่างลงตัว ท่ามกลางตึก อาคาร สมัยใหม่ สามารถพบเห็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่ของเกาหลีตั้งอยู่เด่นเป็นสง่า ดึงดูดสายตานักท่องเที่ยวให้เลี้ยวหันไปมองแล้วมองอีก ตรงจุดนี้ ฉันประทับใจในเมืองซูวอนมาก อยากให้กรุงเทพเป็นแบบนี้บ้างจัง เพราะทุกวันนี้มองไปทางไหนก็มักจะเห็นอารยธรรมตะวันตกเต็มไปหมด จนมันแถบจะกลืนความเป็นกรุงเทพเมืองหลวงของไทยเข้าไปทุกที
จากตัวเมืองซูวอนขับต่อมาอีก 15 นาทีก็มาถึง Korean Folk Village ซึ่งเป็นหมู่บ้านวัฒนธรรมที่แสดงถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่จริงๆของคนเกาหลีในสมัยโจซอน มีคนพื้นเมืองจริงๆอาศัยอยู่และใช้ชีวิตประจำวันอยู่ที่นี่ ในหมู่บ้านแห่งนี้มีสิ่งก่อสร้างของเกาหลีมากมาย เช่น บ้าน ร้านค้า ร้านหมอ ฯลฯ แต่ละหลังจะมีลักษณะแตกต่างกันไปหลายแบบ นับรวมกันแล้วก็ประมาณ 240 กว่าหลัง ช่างเยอะเหลือเกิน เยอะจนฉันไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร แบบนี้คงจะต้องเดินตามอีตาไกด์บ๊องลูกเดียวแล้วล่ะ
ฮุน วุ๊ค พาลูกทัวร์สาวไปดูเฉพาะจุดที่น่าสนใจ เพราะถ้าใช้เวลาแค่วันเดียว คิดว่าคงจะเดินไม่ทั่วแน่นอน และเช่นเคย เขาจำเป็นต้องสวมวิญญาณผู้เชี่ยวชาญบรรยายข้อมูลต่างๆของหมู่บ้านแห่งนี้
" ฮันกึค โจซอน die-nass-ty vill-lage-gu . hou-ses look many , have from sout hous, from nort hous , from ease hous and from wase hous."
จากนั้นเขาก็พาหล่อนเดินมาที่ลานการแสดง ซึ่งมีการแสดงดนตรีและระบำพื้นเมืองให้ได้ชมกันหลายรายการ ซึ่งระบำพื้นเมืองที่โชว์อยู่นี้ เป็นระบำของชาวนา ส่วนมากระบำพื้นบ้านจะมีจังหวะการเต้มตามเสียงดนตรี แสดงถึงอารมณ์การเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติของคน พอการแสดงสิ้นสุดลง ทางคณะแสดงก็เปิดโอกาสให้ผู้ชมเข้าไปถ่ายรูปกับนักแสดงได้ และแน่นอน แม่ลูกทัวร์สาวของเรารี่เข้าไปเชียว ('-_-)
ฮุน วุ๊ค ชี้ให้ลูกทัวร์สาวดูชุดที่ผู้หญิงคนนึงใส่ " ฮันบก , ฮันกึค na-ton-nel dess "
" Oh.. It's beautiful, but i think it looks very big. "
" Big? you tink it big ? " หล่อนว่ามันใหญ่อย่างนั้นเหรอ...ฮึ ฮึ การที่ชุด ฮันบก มีกระโปรงที่ใหญ่และบาน ที่จริงแล้วมันมีความเป็นมาที่ใครหลายคนอาจจะไม่รู้ แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ฮันกึคอย่างนาย ฮุน วุ๊ค คิม แล้ว มีหรือที่เขาจะไม่รู้
" You wan know why ฮันบก big ? "
ฮุน วุ๊ค มองมาไปข้างหน้าด้วยสายตาอันเป็นประกาย ก่อนจะเล่าด้วยเสียงอันขื่นขมว่า
" many long year , ฮันกึค have many war , bad so-jer do bad ting to ฮันกึค woo-men. ฮันกึค woo-men ve-ry don't like , they tink dat made dess big ,bad so-jer tink they have baby. ฮันกึค woo-men wear big ฮันบก bad so-jer don't do bad ting to they no more. ฮันกึค wear big ฮันบก many many times , today...now ฮันกึค tink ฮันบก na-ton-nel dess. "
" เอ่อออ................................ " ฉันกำลังอึ้งกับสิ่งที่นายไกด์บ๊องเล่าให้ฟัง
แม้จะฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ฉันก็พอสรุปได้ว่าที่สิ่งนายไกด์บ๊องเล่านั้นก็คือ เมื่อก่อนเกาหลีเป็นประเทศที่มีสงครามบ่อยมาก ผู้หญิเกาหลีกลัวพวกทหารข้าศึก ดังนั้นจึงคิดค้นชุดแบบนี้ขึ้นมา โดยการทำกระโปรงให้มันพองๆ ให้คนอื่นเค้าเห็นว่าเป็นคนท้อง จะได้ไม่โดนฉุดกระชาก ข่มขืน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผู้หญิงเกาหลีก็ใส่ชุดนี้กันเรื่อยมา จนคนเกาหลีถือว่าชุดแบบนี้เป็นชุดประจำชาติของเค้าไปโดยปริยาย รู้สึกเศร้าๆยังไงไม่รู้ เอ.....ว่าแต่ชุดประจำชาติของไทย จะมีประวัติเหมือนกันชุด ฮันบก ของเกาหลีหรือเปล่านา น่าสงสัยๆ
จุดหมายที่เราสองคนไปเป็นจุดสุดท้ายคือ หมู่บ้านหัตถกรรม ซึ่งที่หมู่บ้านแห่งนี้จะมีการสาธิตการทำสินค้าพื้นเมืองของเกาหลีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพวกเครื่องปั้นดินเผา ภาชนะเครื่องสาน และพวกเครื่องเหล็กต่างๆ วิธีการทำของเขา ก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนไทยทำ อันนี้ไม่ได้เข้าข้างคนไทยน่ะ แต่ฉันว่า คนไทยเราทำอะไรปราณีตและวิจิตบรรจงมากกว่า
มาถึงตรงนี้ตาชักลายแล้ว ก็มันเริ่มหิวขึ้นมาแล้วละสิ มองนาฬิกา นี่ก็ปาไปตั้งบ่าย 3 โมงกว่า ชักจะไม่มีแรงเดินแล้ว
" I don't want to walk or see anything anymore. I'm hungry. "
" Hungy ? เบะ กอ เพีนน ? " เขาทำท่าตักอาหารเข้าปาก
" เออ , hungry. "
" Ok ok , we go dontow suwon have many food , ve-ry ve-ry good. "
ไปซูวอนอย่างงั้นเหรอ มีอาหารเยอะด้วย งั้นยอดส์มาก อย่ารอช้าเลย
" Let's go!!!!!!!! " @^-^@
-------------------------------------------------------
จากคุณ :
uluvme
- [
29 มี.ค. 47 23:59:46
]