"ถ่ายทอด"

                              ถ่ายทอด
                                                                                                   
    หมายเหตุ:  บุคคลและสถานที่ในเรื่องเป็น สิ่งที่สมมุติขึ้นทั้งสิ้น
           -----------------------------------------------
       
        กลิ่นหอม เย้ายวนชวนชิม ลอยเข้าจมูก กระตุ้นอาการหิวให้เริ่มตอกบัตรทำงานอีกครั้ง แถมโค้งให้น้ำลายออกมาเต้นระบำอยู่ในกระพุ้งแก้ม เหมือนเป็นการโหมโรงเตือนให้เจ้าของร่างกายให้ขยับเข้าไปใกล้สิ่งที่ก่อกำเนิดกลิ่นอันชวนพิสมัยนั้น ก่อนค่อยๆ ไหลผ่านลำคอไปนอนรอในกระเพาะอาหารอย่างว่าง่าย
       
         “น่ากินจัง”ผมส่งเสียงลอยออกไปทั้งยังไม่เห็นหน้าตาเจ้าตัวที่ก่อให้เกิดอาการพุ่งพล่านในท้องตอนนี้ แต่พอเดาออกว่าเป็นอะไร
       
        ภาพร่างหญิงชราในครัว กำลังสาละวนกับหม้อนึ่งใบเขื่องที่อยู่ตรงหน้า มือทั้งสองข้างวุ่นวายชวนน่าปวดหัว  ท่าทีที่ดูเชื่องช้าแต่ทว่าแฝงความมั่นคง พิถีพิถัน ด้านข้างมีที่เสร็จแล้วนอนอยู่ในจาน
       
        “ ซาลาเปาน่ากินจัง”ผมเอ่ยอีกครั้งเมื่อร่างขยับเข้าไปใกล้
        “อ้าว เอกนี่เอง กลับจากโรงเรียนแล้วหรือลูก”เธอละสายตาจากหน้าหม้อนึ่ง เหลือบขึ้นมามองผมอย่างช้าๆ
         “ให้ช่วยไม๊ครับยาย”ผมเอ่ยถามก่อนวิสาสะหยิบซาลาเปาในจานขึ้นมากัด
        “ไม่ต้องหรอกลูก ช่วยเอาที่เสร็จแล้วไปวางที่โต๊ะข้าวที”ยายเอ่ยเสียงแผ่วก่อนหันหน้าไปง่วนกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อ
       
         ผมไม่ได้เข้าข้างยายผมแต่ว่ากันตามเนื้อผ้าจริงๆ แล้วต้องถือว่าซาลาเปา ฝีมือของยายผมอร่อยไม่แพ้เจ้าไหนเหมือนกัน เนื้อแป้งที่เนียนขาว นุ่มกำลังได้ที่ เด็ดสุดเห็นจะไม่มีเกินเนื้อหมูที่อยู่ด้านในทั้งหนุบทั้งหยุ่น กัดทีรู้สึกที่ความแตกต่างกับเจ้าอื่นที่ได้เคยลิ้มลองมา
       
        ยายเคยเล่าว่าถ้าตอนอยู่บ้านนอก มีโอกาสก็จะทำซาลาเปาให้ลูกหลาน กินกันเป็นประจำ บางครั้งก็ทำเผื่อแผ่ไปยังเพื่อนบ้านด้วย จากปากของยาย แกว่าไปได้สูตรมาจากเจ๊กชาวจีนคนหนึ่งที่รอนแรมผ่านมาหน้าบ้าน ยายเกิดความสงสารก็เลยให้ข้าวให้น้ำกันตายแก่เจ๊กคนนั้นสิ่งที่ได้แลกเปลี่ยนมาก็คือสูตรซาลาเปาแสนอร่อยนี่เอง  ความสุขของแก คือการได้เห็นทุกคนมีสีหน้าที่มีความสุข เอร็ดอร่อย กับซาลาเปาฝีมือแก ซึ่งเรื่องนี้ผมเห็นด้วยอย่างแน่นอน พอมาอยู่กรุงเทพฯ ก็เลยห่างไปนานๆ ถึงจะทำที แต่ก็ยังไม่เข้าใจในบางครั้งที่แม่จะชอบปรามแกไม่ให้แกทำ คงเป็นเพราะไม่อยากเห็นแกเหนื่อย ผมคิดว่าอย่างงั้น
       
        “เป็นไงพอกินได้ไม๊ลูก”เสียงสั่นเบาของยาย เรียกให้ผมเงยหน้าจากซาลาเปา
        ผมตอบไปตามความจริงว่าอร่อย เหมือนทุกครั้งที่มีโอกาสได้กินซาลาเปาของยาย ก่อนที่จะมีเสียงดังกุกกักมาจากในครัว เหมือนเสียงตัวอะไรซักอย่าง ผมลุกขึ้นจะเข้าไปดู แต่ยายจับแขนผมไว้ ก่อนบอกให้นั่งกินไปเถอะ จะเข้าไปดูเอง ยายค่อยๆ เดินเข้าไปช้าๆ ก่อนหายเงียบไปครู่ใหญ่ เสียงล้างมือดังแว่วมา ก่อนยายจะเดินหันหน้ายิ้มออกมา
       
        ยายในสายตาผม ดูแก่ลงไปมาก หรือว่าที่ผ่านมาผมไม่ค่อยสนใจตัวแกมากนักก็ว่าได้  เส้นผมที่ดูขาวโพลน ไม่ได้ใส่ใจที่จะย้อมกลบวัย ปล่อยให้สีขาวครอบคลุมอาณาจักรไปทั่วหัวของยาย ไม่เหมือนดังเมื่อซักสองสามปีก่อนผมยังเป็นคนที่คอยวิ่งซื้อยาย้อมผมให้แกอยู่เสมอๆ  อาการหูตาที่ไม่ค่อยจะดีเหมือนจะถูกลดประสิทธิภาพการใช้งานลงไปมากตามกลไกแห่งกาลเวลา บ่อยครั้งที่มีคนทักแก แล้วแกต้องจ้องแทบจะหน้าแนบกับคนที่ทักด้วย คงด้วยความที่อาการลางเลือนเข้ามาสิงอยู่ในตา
       
        เคยมีเสียงร่ำๆ จากยายว่าอยากจะทำอะไรก็ได้ขายแถวหน้าบ้าน ไม่อยากอยู่บ้าน นั่งๆ นอนๆ แบบนี้ สิ่งที่ถนัดคงไม่พ้นพวกเหล่าบรรดาของอาหาร ของกิน  ซึ่งแน่นอนหนึ่งในเมนูนั่นต้องมี ซาลาเปา
        ผมเองก็เคยพูดติดตลกว่าจะเป็นลูกมือช่วยแกเองถ้ามีโอกาสขายกัน  “จริงๆ นะลูก” แกยังถามย้ำความแน่ใจ ผมเองตกปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ
       
        แต่อย่างว่าผมเองก็หลงระเริงอยู่กับเพื่อนฝูงซะมากว่า จวบจนมาถึงช่วงชีวิตที่ต้องก้าวสู่วัยที่ต้องตัดสินใจเลือกทางเดินของชีวิต จึงมีเวลาให้กับคนในครอบครัวมากขึ้น ยังพอจำคำนั้นที่เคยพูดกับยายได้ แม้ไม่มีโอกาสเลยด้วยหน้าที่การเรียนและปัจจัยหลายๆ อย่าง
             ..................................................
       
        “แกจะเรียนต่อทางด้านไหน ละเอก”เสียงทุ้มแต่ดูหนักแน่นเอ่ยลอยๆขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร
        “ผมว่าจะเรียนทางด้านพวกบริหารธุรกิจ การตลาด อะไรประมาณนี้นะครับพ่อ” ผมพูดหลังจากตักแกงในถ้วยให้กับยายที่อยู่ข้างๆ
        “มันเป็นอย่างไงหรือลูก”ยายเอ่ยน้ำเสียงเบาๆ
        “ก็พวกการจัดการเกี่ยวกับวิธีการคิด การวางแผน ดำเนินนโยบายเกี่ยวกับตัวสินค้าหรือกิจการของเราให้ตรงกับที่ผู้บริโภคหรือตลาดต้องการนะครับยาย”ผมเอ่ยตามที่รู้มา
        “ยายเขาไม่เข้าใจหรอก ลูก”แม่เอ่ยพลางหัวเราะผม
        “เออ จริงซิแฮะ ลืมไปเลย”ผมยิ้มเจื่อนๆออกมา
        “แบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ ทำอย่างไงก็ได้ให้สินค้าหรือกิจการของเราอยู่ได้และมีผลกำไรนะ”พ่อช่วยผมอีกแรง
        ยายพยักหน้ารับ เหมือนจะเข้าใจ
       
         “อ้าว ใครจะเอาของหวานบ้าง”แม่เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าทุกคนเริ่มกินข้าวอิ่มแล้ว
       
        ก่อนที่จะมีใครตอบ ยายก็ลุกขึ้นก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปในครัว แล้วพูดโดยไม่หันหลังมามอง
       
        “เดี๋ยวหยิบมาให้เอง”ยายเอ่ยเสียงแผ่วผิว
       
        สักครู่บัวลอยไข่หวานหอมกรุ่นหม้อขนาดย่อมที่แม่ทำก็มาอยู่บนโต๊ะ ข้างๆ มีซาลาเปาห้าหกลูก  ของโปรดที่ผมคุ้นลิ้นเป็นอย่างดี
       
        “โอ้โห..วันนี้มีซาลาเปาของยายด้วย”พ่อเอ่ยน้ำเสียงร่าเริงพลางส่งยิ้มให้ยาย
        “ใช่พ่อ ซาลาเปายายอร่อยที่สุดเลย”ผมส่งเสียงเชียร์ยายอีกคน เล่นเอายายยิ้มไม่หุบ แกค่อยๆ เอาขนมรักของแกแบ่งใส่จานใบเล็กแจกจ่ายทุกคน
        “ถ้าผมเรียนจบนะ ผมจะใช้วิชาที่เรียนมา ทำให้ซาลาเปายาย โด่งดัง และได้รับการยอมรับจากคนทุกคน ใครที่ได้กินต้องเอ่ยปากว่าอร่อย”ผมกล่าวทั้งที่ยังมีซาลาเปาอยู่ในปาก
         
        ยายเข้ามาโอบกอดผมแน่น ก่อนพูดออกมา “จริงๆ นะลูก”
       “นี่แม่ยังทำซาลาเปาอีกอยู่เหรอ” น้ำเสียงของแม่ผมกร้าวใส่ยายทำให้บรรยากาศอึมครึมขึ้นมาทันที
        “แหมไม่เป็นไรหรอกคุณ นานๆที นะแกคงอยากทำอะไรให้พวกเราชิมบ้าง ”พ่อช่วยแก้ต่างแทนยาย หวังฟื้นบรรยากาศให้ดีขึ้น
        “คุณไม่เข้าใจหรอก ใครอยากกินก็กินไป ฉันขอตัวละ”แม่พูดพลางลุกพลุนพลันขึ้นชั้นบนไป
        “ยายอย่าคิดมากนะ แม่เค้าคงไม่อยากให้ยายเหนื่อยนะ”ผมเข้าไปจับมือยายมากุมไว้ มองหน้ายายที่ตอนนี้เอาแต่ก้มหน้าหลบตาผมและพ่อ ไม่มีน้ำเสียงใดเล็ดลอดออกมา
             ....................................................
       
        ลมพัดเอาความเย็น ตีเข้ามาที่หน้าผมเบาๆ ทำให้รู้สึกคลายร้อนไปได้บ้างอีกทั้งไล่ความง่วงหาวที่เกาะกุมทั่วหัวให้พ้นไป ผมกระชับหนังสือในมือให้เหมาะ ตั้งใจอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ เพื่อจะได้ไปอ่านเนื้อหาของวิชาอื่นๆ ที่รออีกเยอะ เอ็นทรานซ์คราวนี้ไม่ใช่เพื่อตัวผมคนเดียวเสียแล้ว แต่ดูเหมือนทุกคนในครอบครัวดูจะเฝ้ามองดูห่างๆ อยู่ด้วย แม้จะไม่มีใครตั้งความหวังหรือกดดันผมก็ตาม แต่ผมก็รู้สึกอยู่ในที
       
        เสียงสวบๆ ดังรอดมาจากหน้าต่างบริเวณหน้าบ้าน  ต้นเสียงมาจากพุ่มไม้ที่ปลูกไว้เป็นพุ่มๆยาวจนชนขอบรั้วบ้าน จะว่าเป็นเสียงหมาจากบ้านอื่นเข้ามาก็ไม่น่าจะใช่ เพราะผมมั่นใจว่าล็อกประตูรั่วหน้าบ้านเรียบร้อยดีแล้วหลังจากไปส่งยายเข้านอน
       
        พยายามตั้งใจเพ่งฝ่าเข้าไปในความมืด สิ่งที่เห็นคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นคน ถ้าเป็นคนจะเป็นใคร พ่อกับแม่ต้องนอนไปแล้วแน่นอนเพราะมีงานที่จะต้องทำตอนเช้ารออยู่ หรือว่า...
       
        “ใครอยู่ตรงนั้น ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้น..” น้ำเสียงของผมถูกส่งไปยังพุ่มไม้ที่เคลื่อนไหว หวิวๆ อยู่
        “อย่าลูก นี่ยายเอง”เสียงราบเรียบที่คุ้นเคยดังลอดออกมา ก่อนค่อยๆพาร่างมายังที่แสงไฟริมรั้วบ้านส่องถึง
        ผมใช้ไฟฉายส่องให้แน่ใจอีกครั้งนึง
       
        “อ้าว ยายมาทำอะไรดึกๆ อย่างนี้ครับ”ผมเอ่ยถามพลางค่อยๆเดินเข้าไปรับยาย
        “พอดีนอนไม่หลับนะลูก ก็เลยมาเดินเล่น”ยายตอบน้ำเสียงราบเรียบแต่ไม่สู้หน้าผม
       
        เสียงดิ้นขลุกขลักของอะไรซักอย่างดังมาจากมือยาย
       
        ภาพที่เห็นคือหนูตัวขนาดน้องๆ กระต่าย ขนกระดำกระด่างมองคล้ายขนหมาขี้เรื้อนสี่ห้าตัวเดินพล่านหาช่องทางสู่อิสระ อยู่ในกรงดักแบบสี่เหลี่ยมอลูมิเนียมขนาดหนึ่งฟุตคูณหนึ่งฟุต จำนวนไม่ต่ำกว่าสิบกรงในมือยาย
       
         “ยายจับหนูมาทำอะไร เยอะแยะ”ผมถามพลางอุดจมูกด้วยเกรงกลิ่นสาปจากพวกมัน
        “เออ..ยายกลัวมันจะเข้าไปในบ้านก็เลยเอากรงไปตั้งดักไว้ตามพุ่มไม้นะ”ยายตอบพลางเกร็งมือแน่นสู้กับแรงดิ้นของพวกมัน
        “แล้วยายจะทำอย่างไงกับมันต่อไปละครับ”ผมอดแขยงกับสารรูปของพวกมันไม่ได้
        “ว่าตอนสาย จะจ้างเด็กแถวๆ นี้ให้มันเอาไปปล่อยที่ไกลๆนะลูก”
        “อย่างนั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปอ่านหนังสือต่อนะครับ อ้อ ยายอย่าลืมล้างมือด้วยนะครับ พวกนี้สกปรกจะตาย”ผมพูดพลางรีบละสายตาจากพวกมัน นึกขยะแขยงกับสัตว์ชนิดนี้เป็นที่สุด
       
        เสียงนาฬิกาปลุกให้ผมลุกขึ้นมาเหมือนดังคนที่อยู่ในเมืองกรุง ทั่วไปปฏิบัติกัน ผมรีบอาบน้ำ  แล้วแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลงไปชั้นล่างกะจะหาอะไรลองท้องก่อนจะไปโรงเรียนเพื่อเตรียมความพร้อมครั้งสุดท้ายกับเพื่อนๆ ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย
       
        พ่อกับแม่ไปทำงานตั้งแต่ตีห้าครึ่งแล้ว ดังนั้นข้าวปลาอาหารทุกคนต้องช่วยเหลือตัวเอง  เปิดตู้เย็นมีแต่น้ำดื่มแช่กับผลไม้หง่อมๆ หมู ไก่ ที่เคยมีหายไปหมด สงสัยพ่อกับแม่ลืมซื้อติดตู้เย็นแน่ๆ เลย  ไม่เป็นไรไปหากินที่โรงเรียนก็ได้ ผมหยิบแต่น้ำเปล่าขึ้นมาสดเฮือกใหญ่ ก่อนรีบออกไป
       
         บ่ายคล้อย ตะวันก็ยังไม่มีท่าทีจะลดราวาศอกในการเปล่งแสงให้กับมนุษย์โลก ดูเหมือนตั้งใจจะให้ทุกอย่างมอดไหม้ไปตามอนุภาพแห่งรังสี
    ผมค่อยๆ พาร่างที่เหงื่อโทรมกาย หน้าผากเต็มไปด้วยหยดน้ำใสเกาะกราวมองคล้ายสิวเสี้ยน ทรุดนั่งหน้าพัดลมใกล้โต๊ะกินข้าว
       
        เมื่อดูเหมือนความร้อนในกายจะถูกพัดลมนำพาไปที่อื่นได้จำนวนหนึ่งแล้ว ความหิวก็เริ่มกวักมือเรียกอีกครั้ง ผมก้าวไปเปิดตู้เย็นด้วยความเคยชิน นอกจากน้ำเปล่ากับผลไม้หง่อมๆ ที่เคยเห็นตอนเช้า สิ่งที่ถูกเพิ่มเติมคือเนื้อหมู เออ.หรือเนื้อไก่ หรือเนื้ออะไรซักอย่างที่ถูกบดสับอย่างละเอียดวางอยู่ในกล่องพลาสติกใสปิดฝามิดชิด ก่อนที่จะคิด ทำอะไรต่อไปเสียงแผ่วๆ ด้านหลังก็ดังขึ้น
       
        “หิวเหรอลูก”
       “เออ..นิดหน่อยครับยาย”ผมตอบน้ำเสียงโหยๆ
       
        ยายคว้ากล่องพลาสติกใสในตู้เย็น หายไปเกือบสิบห้านาทีก่อนถือ ซาลาเปา ลูกอ้วนขาวพลี ห้าหกลูกในจานมาวางตรงหน้า
        เราสองคนยายหลานต่างคุยกันไป กินซาลาเปาไปพลาง การสนทนาออกรสออกชาติ รอยยิ้มของยายมีปรากฏบนหน้าเป็นระยะๆ เป็นใบหน้าที่อาบความสุขอย่างแท้จริง สุขแค่ให้คนที่รัก รู้สึกชอบในสิ่งที่เรามอบให้ก็พอ
       
        นั่น ดูยายกินจนไส้ซาลาเปาติดมุมปากยังหัวเราะไม่รู้ตัว ผมขยับไปใกล้ตั้งใจจะเช็ดมุมปากให้ยาย เอ.. ทำไมรูปร่างไส้ซาลาเปามันแปลกๆ คล้ายจะเป็นเส้นผม ใช่..เส้นผมหลายๆ เส้นรวมกัน มันคล้ายหาง..เอ๊ย..หางอะไรมันจะมาอยู่ในซาลาเปาได้นะ ยายคงเห็นผมจ้องผิดปกติเลยตวัดลิ้นมามุมปากลากสิ่งน่าสงสัยนั่นเข้าไปเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
       
       

    จากคุณ : "ตานายเดิน" - [ 30 มี.ค. 47 06:19:50 A:203.145.22.164 X: ]