1.พายุร้าย…พายุรัก (จากหนังสือทำมือ ...บันทึก...ทะเล...เห่รัก 2)

    รถกระบะสีเข้มค่อยๆ แล่นเข้าสู่ชายหาดเงียบเหงาในเวลาบ่าย
    หลายชีวิตถูกเบียดอัดภายในพาหนะคันนั้น
    หลังจากได้ผ่านการทะเลาะเบาะแว้งและโต้เถียงกันมาหลายวัน
    คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ก็สรุปได้ว่าพวกเขาและเธอจะหอบสังขาร
    ที่ล้าจากการทำงานในสังคมเมืองพร้อมด้วยจิตใจที่เริ่มจะเหี่ยวเฉา
    จากตารางการทำงานที่เต็มเหยียดไปด้วยคำว่า
    “ประชุม” “ประชุม” และก็ “ประชุม”
    พวกเขาลงมติยึดชายหาดฝั่งทะเลห้อยไปทางใต้ของประเทศเป็นที่หมาย
    หลังจากได้ผ่านการประชุมหลายต่อหลายรอบทั้งรอบในและรอบนอก รวมไปถึงนอกรอบด้วย
    พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องประชุมอะไรกันนักหนา
    คุยกันเฉยๆ แบบเพื่อนคงทำไม่เป็นกันแล้ว
    พอเริ่มพูดกันหลายๆ คน ต้องกลายเป็นประชุมไปทุกที
    ต้องมีคนเริ่มพูด มีการจดบันทึก มีการโหวตเสียง สรุปผล
    และติดตามผลจนกว่าจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
    ถ้าไม่สำเร็จลุล่วงหรือสำเร็จลุล่วงไปด้วยไม่ดี
    ก็จะต้องมีการ “ประชุมด่า” ตามที่ต่างๆ ทั้งในห้องประชุม โต๊ะทำงาน
    ห้องอาหาร ห้องน้ำ หรืออาจจะเก็บเอาเรื่องนี้ไปประชุมต่อกับคนนอกบริษัท
    คนที่บ้าน ใครก็ได้ที่อยากไป “ประชุมบ่น” ให้เขาฟัง

    เมื่อพวกเขาและเธอมาถึง เป็นเวลาบ่ายที่แสนสงบของหาดทรายยาวแห่งนั้น
    เหลียวซ้ายแลขวาแล้วปรากฏเต็นท์ของผู้พักแรมห่างกันเป็นระยะ
    รวีเจ้าของรถเปิดประชุมขึ้นในหัวข้อ
    “เราควรจะกางเต็นท์ที่ไหนดี” ลีลาวดีหยิบถุงถั่วต้มมาจดรายละเอียด
    รัมภา อัปสรเสนอให้หาที่ว่างระหว่างเต็นท์หมู่ของครอบครัวแสนสุข
    กับเต็นท์คู่รักหวานแหววที่นั่งกอดกันกลมบนเปลสนาม
    เพลงพิณ และรากไม้ไม่ออกความคิดเห็นใดๆ เพราะถูกห้ามไว้ก่อนเดินทาง
    เนื่องจากไม่ว่าหนึ่งในสองคนนี้จะพูดอะไร
    อีกคนที่เหลือจะไม่เห็นด้วยทุกครั้ง จนทำให้การประชุมเยิ่นเย้อไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
    เมื่อมติในที่ประชุมเป็นเอกฉันท์
    สัมภาระมากมายท้ายรถถูกทยอยลงมาตามคำบงการของรากไม้เจ้าของอุปกรณ์การพักแรมทั้งหมด
    เขาพยายามให้ทุกคนขนของตามลำดับความเหมาะสม
    เท่าที่เขาคิดได้เพื่อเป็นการประหยัดเวลา

    “บอกแล้วว่าให้คลุมดีๆ ก่อนก็ไม่เชื่อ” เจ้าของเครื่องนอนพูดถากถางความเกียจคร้านของเพื่อนๆ

    “ก็เมื่อกี้ฝนยังไม่ตกนี่นา” เพลงพิณบ่นกระปอดกระแปด

    “ยังไม่ตก ใช่ว่าจะไม่ตก” รากไม้พูดเป็นคติเตือนใจ

    “ก็มันตกไปแล้ว บ่นไปก็ช่วยอะไรไม่ได้” เพลงพิณพยายามพูดเป็นคติเตือนใจบ้าง
    คนอื่นที่เหลือแอบหัวเราะ เมื่อเห็นสองคนเถียงกันไปมา ทุกคนรู้ดีว่า
    ทั้งสองชอบพูดจากวนประสาทอีกฝ่ายเสมอๆ ใครหยุดก่อนถือว่าแพ้
    ผ้าใบผืนใหญ่ถูกเรียกมาปูลองพื้นสัมภาระอื่น
    ถุงอุปกรณ์เต็นท์ถูกวางลงตรงหน้า
    รากไม้ทำหน้าเหลอหลาหันไปมองเพื่อนๆ ที่มาด้วยกัน
    เขาเองก็ไม่เคยกางเต็นท์ได้แต่นั่งดูเวลาที่ไปพักแรมกับครอบครัว
    เสียงเพื่อนๆ หัวเราะขึ้นเมื่อเขาสารภาพออกไปตามตรง

    “กางยังไงล่ะนี่ ไม่เคยกางเองซักที” แต่ในเมื่อได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของสมบัติทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว
    เขาจึงมีอำนาจและความน่าเชื่อถือพอที่จะบอกให้เพื่อนๆ
    ช่วยกันทำตาม ตั้งแต่แผ่เต็นท์ออก ตั้งเสาหน้า
    เสากลาง เสาหลัง ขึงผ้าหลังคาคลุมเต็นท์กันน้ำค้างกับต้นไม้ ยึดสมอบก

    “เวลาปักสมอต้องเอียงเข้าหาเต็นท์ ทำมุม 45 องศาแบบนี้”
    เขาทำตัวอย่างให้เพื่อนดู นึกดีใจที่วิชาลูกเสือที่ได้ร่ำเรียนมาในอดีตช่วยกู้หน้าเอาไว้ได้ “
    ไม่ใช่ๆ นั่นมันมุม 30 องศา เฮ้ย! นั่นมัน 60 องศา”
    เขาโชว์การผูกเงื่อนเก้าอี้เพื่อยึดเชือกกับต้นไม้ใหญ่
    กว่าที่เต็นท์ขนาดใหญ่จะตั้งตรงสง่างามด้วยฝีมือของคนจำนวน 6 คน
    พระอาทิตย์ก็เฉียงทำมุม 60 องศากับพื้นน้ำ
    เมื่อหยิบเสื่อมาปูและโยนข้าวของที่เหลือเข้าไปภายในเต็นท์
    ก็ได้ที่นั่งเล่นนอนเล่นหน้าเต็นท์ที่แสนสบาย
    แต่ทุกคนไม่สามารถนอนทอดหุ่ยทอดหางได้นานนัก
    เมื่อเสียงท้องของแต่ละคนดังขึ้นพร้อมกัน
    เป็นเสียงประสานที่ยากจะบรรยายถึงความไพเราะได้
    จะว่าเหมือนเพลงสวดในโบสถ์ก็ไม่เชิง
    จะเหมือนเพลงแร็พของวัยรุ่นก็ไม่ใช่
    แต่ก็สามารถเป็นท่อนฮุคที่ติดหูคนได้ยินได้ไม่ยากนัก

    จากคุณ : วรา - [ 7 เม.ย. 47 14:17:48 A:202.133.176.245 X: ]