โลกไม่เคยหยุดหมุน(บทที่๓)

    บทที่ ๓
    รถแท็กซี่กำลังถอยย้อนกลับไปปากซอย แสงชัยกระชับกระเป๋าถือไว้ในอุ้งมือ หัวใจเต้นระส่ำเมื่อมองตึกสูงตระหง่านด้านหน้า เขาหยิบที่อยู่ขึ้นมาดูเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ป้ายชื่อสถานที่ที่อยู่หน้าตาเขากับในจดหมายมันตรงกัน เขารีบเดินเข้าไปในตัวตึก


    บริเวณรอบๆตึกสูงระฟ้า รถยนต์มากมายจอดซ้อนเรียงรายเต็มรอบอาคาร แม่ค้ารถเข็นหลายเจ้าจับจองพื้นที่รอบขายอาหาร ส้มตำ ผลไม้ ลูกชิ้นปิ้ง ปลาหมึกย่าง ฯลฯ แหงนมองไปด้านบนแสงไฟสีส้มเหลืองมากมายลอดออกจากช่องหน้าต่างชั้นต่างๆ ใต้ตึกมีร้านมินิมาร์ทเปิดไฟสว่างสีขาว ภายในร้านมีสินค้าวางเรียงกันอยู่ไม่มากนัก พนักงานหญิงวัยกลางคนหลังเครื่องคิดเงินกำลังจดจ้องดูละครทีวีอยู่ แสงชัยเดินตรงไปยังโต๊ะติดต่อสอบถาม ในเคาท์เตอร์เป็นชายวัยฉกรรจ์สวมชุดยามสีน้ำเงินกำลังหมุนบิดวิทยุเครื่องน้อยในมือ เสียงซู่ซ่าฟังไม่ได้ศัพท์ปลิวเบาออกมาจากช่องลำโพงน้อย


    “ขอโทษครับคุณ” แสงชัยเดินประชิดหน้าเคาท์เตอร์

    ยามเงยหน้าขึ้นมองเพียบสบตา แล้วก็ก้มหน้าก้มตาสนใจเครื่องเสียงในมือ “มีอะไรเหรอลุง”

    “คือว่าผมมาหาลูกสาว” เขายื่นจดหมายวางหน้าเคาท์เตอร์ “เธอพักอยู่ที่นี่”

    วิทยุเปล่งเสียงเพลงปนเสียงซู่ซ่าออกมา ยามหมุนบิดเสาอากาศไปมาจนได้มุมที่เสียงเพลงเสนาะใส เขาส่งยิ้มเมื่อเงยหน้าสบตาแสงชัยแล้วลุกขึ้นยืน หยิบซองจดหมายขึ้นดู

    “ครับ ที่อยู่ผู้ส่งที่นี่แหละครับ แต่ชั้นอะไรกันล่ะครับลุง” ยามตอบโดยไม่ได้ละสายตาจากซองจดหมาย

    “ชั้นอะไรลุงก็ไม่รู้หรอก” แสงชัยโคลงศีรษะเบาๆ “แต่เธอชื่อแก้ว แก้วมณี พ่อหนุ่มรู้จักไหม”

    ยามส่ายศีรษะยิ้มแห้งๆ “โธ่ลุง ในตึกนี้มีคนอยู่เป็นร้อยเป็นพัน ผมจำชื่อได้ไม่หมดหรอก ถ้าลุงรู้ว่าชั้นไหน ห้องอะไรผมก็พอจะช่วยหาได้บ้าง แต่นี่” ยามก้มมองบนกระดาษอีกครั้ง “จนปัญญาจริงๆครับ”


    แสงชัยชายตามองพ่อลูกคู่หนึ่งจูงมือกันมาหยุดหน้าประตูกระจก พ่อหยิบการ์ดพลาสติกออกมาลูดบนเครื่องที่ติดไว้กับประตูกระจก เสียงสัญญาณดังขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนจากไปแดงที่เครื่องเป็นไฟเขียว ประตูกระจกเปิดออกจะก็ดึงตัวกลับมาปิดสนิทเหมือนเดิมโดยอัตโนมัติ หลังประตูกระจกพ่อเด็กกำลังหยอกล้อกับลูกสาวบนรอยยิ้มระหว่างรอลิฟต์ เสียงกริ่งสัญญาณดังขึ้นเมื่อตัวเลขสีแดงด้านบนประตูลิฟต์เปลี่ยนเป็นเลข1 ประตูเปิดอารับพ่อลูกทั้งสองให้ก้าวเข้าไป มันปิดตัวอัตโนมัติตัวเลขลูกศรสีแดงวิ่งชี้ขึ้นด้านบน เลข1กำลังเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามความสูงของชั้นที่ลิฟต์เดินทางขึ้นไป


    “แล้วให้ลุงขึ้นไปข้างบนได้หรือเปล่า”

    “ไม่ได้หรอกครับ ตึกนี้ห้ามคนนอกขึ้น” ยามยื่นซองจดหมายคืน “แล้วถึงลุงจะขึ้นไปก็คงหาห้องลูกสาวไม่เจอหรอก ตึกนี้มีห้องเป็นร้อยๆห้อง”

    “อย่างนั้นเหรอ” แสงชัยลดศีรษะ ตาตกคล้ายคนสิ้นหวัง “แล้วลุงจะทำยังไงดี”

    “เอาอย่างนี้ดีไหมครับ ลุงทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ผม แล้วผมจะถามให้ว่าในตึกนี้ใครชื่อกะ...แกว”

    “แก้ว พ่อหนุ่ม แก้วมณี”

    “ครับ แก้วมณี ถ้าผมพบเธอแล้วจะโทรไปบอกลุงดีไหมครับ”

    เขาถอนหายใจหมองๆออกมา “ไม้ได้หรอกพ่อหนุ่ม ลุงไม่มีโทรศัพท์หรอก”

    “ลุงไม่มีโทรศัพท์มือถือเหรอครับ งั้นโทรศัพท์ที่บ้านก็ได้”

    “โทรศัพท์ที่บ้านลุงก็ไม่มี”

    ยามเกาศีรษะด้วยความแปลกใจ

    “เอาอย่างนี้ได้ไหมพ่อหนุ่ม ให้ลุงรออยู่ที่นี่จนกว่าจะเจอลูกได้ไหม เพื่อบางทีแก้วอาจจะลงมา หรือไม่ก็กำลังจะกลับมาก็ได้” แสงชัยมองตายาม “ถ้ามีใครเขามาหรือออกไปวานพ่อหนุ่มช่วยถามให้ด้วยนะว่ารู้จักแก้วหรือเปล่า”


    ยามพยักหน้ารับคำ นั่งลงบนเก้าอี้พร้อมบิดตัวปรับเพิ่มความดังวิทยุ ตอนนี้สถานีเพลงกำลังเปิดเพลงฮิตประจำคลื่น “แล้วผมจะถามให้” ยามก้มหน้าพูดหลับตาพริ้มกับสำเนียงเสนาะของเสียงเพลง




    หลังจากฝากความหวังไว้กับยามแล้ว แสงชัยเดินเอื่อยเข้าไปหาซื้ออะไรกินในมินิมาร์ท เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าการเดินทางวันนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย เขาหยิบน้ำนมกล่องออกจากตู้แช่มาจ่ายค่าสินค้าที่จุดชำระเงิน


    แสงชัยวางนมกล่องไว้น้าเคาท์เตอร์ หญิงวัยกลางคนยังคงจับจ้องอยู่กับละครทีวีไม่ลดละ เธอแวบมองสินค้าแค่หางตา แล้วกลับไปจดจ่ออยู่กับทีวี


    “สิบสองบาท” เธอพูดโดยไม่หันมามอง

    เขายื่นสตางค์พอดีกับค่าสินค้า เธอยื่นรับไว้ในอุ้งมือโดยไม่หันมามองอีกเช่นเคย

    “คุณรู้จักผู้หญิงชื่อแก้วไหม เธออาศัยอยู่ในตึกนี้” เขาถามเผื่ออาจจะได้ข้อมูล

    คำพูดของเขาเหมือนจะไม่กระทบการรับฟังของเธอเลย เธอยังคงจดจ่ออยู่กับละคร ฟันเริ่มขบกัดกันเป็นเสียง ตาสองข้างเขม่นเข้าหากัน มือกำเหรียญที่เขาส่งให้ไว้แน่น

    “เฮ้อ... ไม่รู้ว่าแม่งจะโง่ไปถึงไหน ซื่อฉิบหาย” เธอสบถบ่นตัวละครทีวี ตอนนี้รายการกำลังคั่นโฆษณา

    “คุณครับ คุณรู้จักผู้หญิงชื่อแก้วไหมครับ เธออาศัยอยู่ที่นี่”

    เธอนับเหรียญในมือโยนใส่ช่องเก็บเงิน “...แก้ว ไม่รู้จักหรอก คนในตึกนี้มีเป็นร้อย”

    แสงชัยหยุดนิ่งคิดคำถามที่พอจะเป็นประโยชน์สำหรับการตามหาแก้ว

    “แล้วลุงตาหาคนชื่อแก้วทำไมล่ะ เมียหายเหรอ” เธอแสดงท่าทีสนใจ

    “เปล่าๆ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น คือว่าลุงมาหาลูก แกอาศัยอยู่ที่นี่แต่ลุงไม่รู้ว่าอยู่ชั้นไหนห้องอะไร”

    เธอเบือนหน้ากลับ ท่าทีสนใจเมื่อสักครู่สลายหายไป “ตามหาลูกหรอกเหรอ ไม่รู้หรอกลุง”

    “เอ่อ ถ้าคุณพอจะรู้หรือมีคนรู้จักช่วยถามให้ลุ...ง...” เขาหยุดบทสนทนา เพราะดูเหมือนว่าถ้าพูดต่อไปก็คงเปล่าประโยชน์ ละครทีวีกำลังมา เธอกลับเข้าสู่สภาพเดิม คิ้วทั้งสองขมวดชนกันอีกครั้ง ฟันกัดกรอดๆ มือทั้งสองเริ่มกำแน่นขึ้นทุกที


    แสงชัยเดินไปนั่งรอตรงที่นั่งใกล้ๆกับเคาท์เตอร์ติดต่อสอบถาม ยามกำลังนั่งง่วนกับการบิดหมุนหาเพลงจากเครื่องวิทยุ คนหลายคนเดินเข้าออกผ่านหน้าไป ไม่มีการสอบถามหรือท่าทีแสดงความสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้ฝากฝังไว้เลย เขาถอนลมด้วยความอ่อนใจ เจาะหลอดดูดนมขึ้นจากกล่องเฝ้าสังเกตคนเดินผ่านไปมา มองไปข้างนอก รถเข็นขายของแม่ค้าหลายเจ้ากำลังเก็บข้าวของกลับบ้าน



    เวลากำลังหอบหิ้วความมืดมิดของรัตติกาลผ่านไปช้าๆ แสงชัยนั่งเฝ้าคนเดินผ่านไปมาคนแล้วคนเล่าก็ยังไม่มีวี่แววของแก้วมณี เขาไม่อยากคิดว่าการนั่งรถมาทั้งวันกำลังจะสูญเปล่า ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานสักเท่าไรถึงจะเจอแก้วมณีเดินผ่านเข้ามา ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและการเฝ้ารอทำให้เขาเผลอหลับไป


    แสงชัยสะดุ้งตื่นเพราะรู้สึกว่ามีเสียงกำลังเรียกอยู่ข้างหู

    จากคุณ : เรือ่ยเปื่อยไปวันๆ - [ 8 เม.ย. 47 09:12:57 A:203.147.26.123 X:203.147.26.56 ]