โลกไม่เคยหยุดหมุน(บทที่ ๔)

    บทที่ ๔
    เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นห้องตั่งแต่แสงสว่างยังไม่โผล่จากขอบฟ้า แหวนดันหมอนขึ้นมาประกบใบหูทั้งสองข้าง เธอไม่เคยรื่นรมย์กับเสียงบาดหูนี่เลย แต่ด้วยความจำเป็นทำให้เธอต้องเรียกใช้บริการมันทุกเช้าอยู่ร่ำไป เมื่อความง่วงงัวเงียเริ่มจางหายไป และประสาทหูเริ่มรู้สึกว่าเสียงแสบแก้วหูนั้นดังรบกวนจนไม่สามารถทำให้เธอนอนต่อไปได้ ที่สำคัญถ้าหากลุกขึ้นจากเตียงช้ากว่านี้อีกนิดละก็ เธออาจจะต้องไปทนฟังเสียงบ่นเรื่องการมาสายจากเจ้านายเธออีกทอดแน่


    แหวนใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวประมาณครึ่งชั่วโมง ตอนนี้พระอาทิตย์โผล่ขึ้นท้องฟ้าเต็มดวงแล้ว เธอเดินไปหน้าคอนโดเรียกมอเตอร์ไซด์รับจ้างไปต่อรถที่ปากซอย บริเวณป้ายรถเมล์ผู้คนเริ่มจอแจตามปกติของชั่วโมงเร่งรีบ เธอเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เข็มสั้นและเข็มยาวยังทำให้อารมณ์เธอเป็นปกติอยู่


    แสงแดดกระจายเปลวร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับอุณหภูมิอารมณ์ของแหวน ตาทั้งสองข้างเริ่มเขม่นจนดึงคิ้วเข้าหากัน เหงื่อเม็ดน้อยกำลังซึมแหวกออกจากเครื่องสำอางบนใบหน้า เธอเหลือบมองนาฬิกาเป็นครั้งที่ร้อย เข็มวินาทีกำลังกระชากเวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดหายไปทุกที


    กว่าครึ่งชั่วโมงแล้วที่แหวนชะโงกคอมองไปทางขวามือของตัวเอง การหมุนบิดไปมาทำให้กล้ามเนื้อคอปวดเมื่อย มันเป็นบททดสอบแรกสำหรับวันนี้ เธอมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งและชะโงกหน้ากลับไปมองบนถนน ปลายตาลิบๆสิ่งที่เธอรออยู่กำลังคืบคลานต้วมเตี้ยมเข้ามา


    รถเมล์สีส้มค่อยๆวิ่งเอียงเข้ามาตรงป้ายรถเมล์ เมื่อล้อหยุดนิ่งสนิทประตูอัตโนมัติเปิดตัวช้าๆ ผู้หญิงสองคนถูกขย่อนออกมาจากก้อนคนบนนั้น แหวนมองกวาดตามองไปตั้งแต่หน้ารถถึงท้ายรถ คนเบียดเสียดอัดแน่นกันจนแทบจะไม่มีที่ยืน ตอนนี้คนที่กำลังเดินขึ้นไปคนล่าสุดเข้าไปยืนได้แค่บันได้ขั้นที่สองของประตูหน้า กระเป๋ารถเมล์ร้องตะโกนโหวกเหวกให้เดินขึ้นไปด้านใน คนที่เบียดกันด้านบนทำหน้าเป็นยับยู่ยี่เหมือนผ้าไม่ได้รีด


    แหวนมีเวลาตัดสินใจเพียงชั่วอึดใจ ผู้โดยสารสองคนสุดท้ายกำลังทะลวงตัวแหวกก้อนคนขึ้นไป ถ้าเธอไม่ตัดสินใจขึ้นรถคันนี้ แล้วรอรถคันหลังซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไรอาจจะทำให้เธอไปทำงานสายได้ แต่ถ้าหากเบียดเสียดยัดเยียดตัวเองขึ้นไป ความทรมานอีกไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงข้างหน้ากำลังรอเธออยู่บนกระป๋องสีส้มบรรทุกก้อนคน


    เธอมีเวลาคิดเพียงเสี้ยววินาที ผู้โดยสารคนสุดท้ายกำลังเบียดตัวเองขึ้นไป เหมือนสัญชาติญาณการเอาตัวรอด สองขาพาเธอกระโจนขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เธอยืนทรงตัวด้วยกำลังเพียงเท้าข้างเดียว เท้าอีกข้างของเธอเหยียบแผ่วๆปลายนิ้วไว้ริมบันได มือซ้ายจับยึดราวจับข้างบันไดไว้แน่น เส้นผมเธอกำลังสยายพลิ้วไปตามแรงลม รถกำลังเคลื่อนตัวช้าๆออกจากป้าย


    “ในว่างชิดในหน่อยพี่ ประตูปิดไม่ได้แล้ว” กระเป๋ารถเมล์สาวรุ่นป้าทำหน้าที่กระบอกเสียงจัดระเบียบก้อนคนบนรถ แหวนเหลือบตามองขึ้นไปด้านบน เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะได้เลื่อนระดับการยืนของตัวเองขึ้นไปมากกว่านี้ แต่เธอมีความจำเป็นต้องดันตัวเองให้พ้นประตูเพราะแรงกดดันจากทั้งความหนาแน่นด้านหน้า ความว่างเปล่าที่วิ่งผ่านไปมาด้านหลัง และน้ำเสียงกระเป๋ารถเมล์ที่กำลังกระแทกหู


    “พี่สาวตรงบันไดเบียดขึ้นมาหน่อย ประตูบิดไม่ได้ ไปไม่ได้รอคันหลังดีกว่านะคะ”


    แหวนชะเง้อตามองหาต้นเสียง ด้านบนผู้คนอัดแน่นแทบไม่มีที่จะให้หายใจแล้ว เธอยังมีความจำเป็นต้องยัดตัวเองขึ้นไปอยู่ในนั้นอีกคน เธอใช้ลูกฮึดอยู่หลายอึดใจกว่าจะเบียดตัวเองให้พ้นจากวิธีประตูรถ ประตูรถบิดตัวเองลงแต่ปากแม่ค้าของกระเป๋ารถเมล์ยังไม่ปิด


    “ใครยังไม่ได้ส่งค่าโดยสารช่วยยื่นด้วยนะคะ ใครยังไม่ลงก็ชิดในด้วยด้านในยังว่างอีกเยอะ แบ่งๆกันไป”


    แหวนหัวเราะปนความสมเพชตัวเองในแววตา ทำไมเธอต้องมาทนใช้ชีวิตลำบากน่าเบื่อหน่ายอย่างนี้ หางตาแวบมองเห็นอะไรสีส้มกำลังวิ่งผ่านไปตรงหน้าต่างบานประตู เธอขบฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ รถเมล์สีส้มสายเดียวกันกำลังตะบึงแซงปาดหน้าทิ้งหายไป และความเจ็บใจก็เพิ่มทวีคูณเป็นร้อยเท่าเมื่อความโหรงเหลงของผู้โดยสารบนรถคันนั้นกระแทกสายตาเธออย่างจัง





    รถเมล์ชะลอตัวจอดเทียบป้ายรถ แหวนเบียดตัวลีบจนหลุดออกมา เสื้อผ้าชุดทำงานที่รีดเรียบคมกริบกลับยับยู่ยี่สภาพไม่ต่างกับชุดนักเรียนของเด็กอนุบาลตอนเลิกเรียน เธอหยุดสะบัดร่างกายจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่เรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหลือบดูเข็มนาฬิกาล่าสุด มันจวนเจียนเวลาเส้นตายไปทุกที ๆ


    แหวนกึ่งเดินกึ่งวิ่งกระหืดกระหอบหวังจะไปยังที่หมายให้ทัน เวลากำลังวิ่งไปข้างหน้า เธอเหลือเวลาอีกไม่ถึงสองนาที เข็มวินาทีมันกำลังกระดิกบีบหัวใจเธอให้หลุดกระเด็นออกจากอก


    เมื่อที่หมายใกล้ตาเข้ามาตัวเลขดิจิตอลสีดำมะเมื่อมกำลังพุ่งทะยานสู่เส้นชัย แหวนพุ่งตัวไม่แพ้เวลาที่กำลังเดินไปข้างหน้า เธอดึงบัตรกระดาษเสียบรู้เล็กๆด้านบน เสียงกึกกักลั่นออกก่อนที่มันจะขย่อนบัตรคืนมา


    “ฟู่ นึกว่าไม่ทันซะแล้ว” เธอปาดเหงื่อซกอย่างโล่งใจ


    “นั้นสินะ ฉันก็นึกว่าเธอมาไม่ทันซะแล้ว” เสียงแหลมบาดหูลอยลมมา


    แหวนใจหายวูบเมื่อได้ยิน หันหลังควับไปมองต้นเสียง


    “โธ่ นึกว่าใคร”


    “แล้วนึกว่าใครล่ะจ๊ะ ยายแหวน มาถึงเส้นตายพอดีเลยนะ” นิสาเพื่อนรวมงานกล่าวทักพลางซดกาแฟจากแก้วกระดาษใบใหญ่


    “เกือบไปเหมือนกัน รถแน่นฉิบ กว่าจะมาถึงได้” แหวนล้วงค้นหาบัตรพนักงานในกระเป๋าถือ


    “เอ๊ แหวน กระเป๋าแกมีรอยอะไรเป็นเส้นๆน่ะ”


    แหวนมองหน้าเพื่อนด้วยความสงสัยแล้วก้มมองกระเป๋าตัวเอง


    “เฮ้ย ๆ ๆ”


    “อะไรแหวน เป็นอะไร”


    สีหน้าของแหวนซีดเผือกอยากเห็นได้ชัด “ฉันโดนกรีดกระเป๋า” เธอล้วงค้นทุกซอกทุกมุมจนนิ้วโผล่ออกมานอกกระเป๋าตามรอยกรีดเป็นทางยาว


    “ถูกกรีดกระเป๋า เป็นไปได้ยังไง ทำไมไม่ระวังตัวบ้างล่ะ” นิสาเข้ามามองรอยกรีดใกล้ๆ


    ความสับสนกลัดกลุ่มของเธอก่อตัวเพิ่มขึ้นทุกวินาทีที่ตรวจสอบว่ามีอะไรสูญหายไปบ้าง


    “หมดเลย มันเอาไปหมดเลย กระเป๋าตังค์ บัตรเอทีเอ็ม” แหวนพูดเสียงคลอนเหมือนจะร้องไห้ออกมา นิสาเข้ามาปลอบใกล้ ๆ


    “ทำใจดีๆไว้ คิดให้ดีว่าโดนกรีดที่ไหน เมื่อไร แล้วจะได้ไปแจ้งความกัน”


    “ต้องเป็นบนรถเมล์แน่ ๆ เลย” แหวนไตร่ตรองไล่เรียงลำดับเหตุการณ์





    ในร้านอาหารตอนพักกลางวัน ข้าวเที่ยงดูเหมือนจะไม่มีรสชาติความอร่อยเจือปนอยู่เลย ความเศร้าระคนความเสียดายและความโมโหถูกระบายออกมาทุกคำที่บดเคี้ยวอาหาร นิสามองหน้าแหวนด้วยความเห็นใจ แต่ก็ช่วยอะไรมากไม่ได้นอกจากจะเป็นเพื่อนไปแจ้งความกับให้สตางค์หยิบยืม


    “อย่าไปเสียดายเลย คิดซะว่าทำบุญไป” นิสาหวังจะให้แหวนลืมๆไปซะ ยังไงก็เรียกของและเงินเหล่านั้นกลับคืนมาไม่ได้ แหวนมองหน้าแก้วพลางยิ้มแห้ง ตักข้าวคำต่อไปเข้าปาก


    แหวนกับนิสาเดินเอื่อยออกจากร้านอาหารเพื่อจะเข้าทำงานในช่วงบ่าย ระหว่างทางสองข้างฝั่งเรียงรายไปด้วยของขายกระจุกกระจิก เสื้อผ้าสีสวยลดราคา และของล่อตาล่อเงินในกระเป๋ามากมาย นิสาหยุดดูร้านเสื้อผ้าที่คนกำลังมุงกันแน่น แหวนชายตามองแต่ก็ไม่ได้สนใจเท่าไร


    “เสื้อสวยๆทั้งนั้นเลยนะ ราคาก็ไม่แพงคนมุงกันเต็มเลย ลองแวะดูก่อนไหม” นิสาทำท่าจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แหวนส่ายศีรษะปฏิเสธ นิสานึกขึ้นได้ว่าลืมตัวไปว่าเพื่อนพึ่งโดนกรีดกระเป๋า “โทษทีฉันลืมไป กลับเข้าออฟฟิตเลยก็ได้”


    “อยากซื้อก็เข้าไปเลือกดูสิ ฉันรอได้” แหวนเกลื่อนรอยยิ้ม


    “ไม่เอาหรอก เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาดูใหม่ก็ได้ เออ ใช่แล้วพรุ่งนี้เงินเดือนออกนิ เอาไว้พรุ่งนี้เรามาซื้อด้วยกัน”

    จากคุณ : เรือ่ยเปื่อยไปวันๆ - [ 9 เม.ย. 47 11:49:06 A:203.147.26.123 X:203.147.26.38 ]