สุขาวดี ภาคสุดขอบฟ้าข้าคือลิขิตสวรรค์ ตอนที่๒ "คือผู้มากับสายน้ำ"

    “สถิติความปลอดภัยปรโลก – เราทำงานมาแล้ว ๒๙,๓๙๘ วันโดยไม่มีเหตุผิดปกติ     เป้าหมายต่อไป ๓o,ooo วัน  ,   เราเคยมีสถิติทำงานสูงสุดโดยไม่มีเหตุผิดปกติ  ๘๔,๔๖๑ วัน”

    ภูติสำนักงานตนหนึ่งกำลังเปลี่ยนป้ายหมายเลข “๒๙,๓๙๘” ออกแล้วใส่เลข “o” เข้าไปแทนขณะที่ชลรีชาเดินกลับลงมาที่ห้องโถงใหญ่ของศาลาว่าการวิญญาณ   เลข o บนป้ายนี้แสดงให้เห็นอย่างเป็นทางการแล้วว่าสถิติความปลอดภัยที่สะสมกันมาไม่น้อยนั้นถูกทำลายไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วินาทีที่อ่างน้ำบนห้องดวงตาลับกระพริบวาบเตือนภัย   ภูติสาวรู้ดีว่าการเปลี่ยนตัวเลขบนบอร์ดขนาดมหึมาที่มีรูปปั้นแร้งสยายปีกอันเป็นสัญลักษณ์ของปรโลกประดับอยู่ด้านบนนั้นกำลังจะทำให้ภูติอีกหลายตนในอาคารนี้ต้องเดือดร้อนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนแน่ๆ

    นกแร้งตัวหนึ่งบินออกจากลานหน้าศาลาว่าการฯโดยมีชลรีชากับภูติทหารนายหนึ่งขี่ออกมาด้วย   ภูติสาวรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่ได้ขี่นกแร้งเป็นครั้งแรก เพราะผู้ที่จะมีสิทธิขี่มันได้นั้นมีแต่ภูติทหารและผู้ที่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษเท่านั้น   แต่ที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าชลรีชาคือภูติทหารตนนั้นที่ไม่คิดฝันมาก่อนว่าจะได้ขี่แร้งกับยมฑูตสาวที่สวยอย่างนี้   มาดามวีเลย์เป็นผู้แนะนำให้ชลรีชาโบกแร้งสักตัวที่บินผ่านหน้าศาลาว่าการฯไปยังท่าเทียบโลงได้เพื่อให้เธอไปถึงเร็วที่สุด  โดยสัญญาว่าจะไม่รายงานให้ใครรู้ทั้งสิ้น   ชลรีชาหันไปมองอาคารศาลาว่าการวิญญาณที่ค่อยๆห่างออกไปทุกทีและลับไปทางด้านหลังเมื่อแร้งออกบินไปไกล   ท้องฟ้าสีชมพูอมม่วงรอบตัวปรากฎภาพแร้งอีกหลายสิบตัวของภูติทหารกำลังแปรขบวนกลางอากาศอยู่โดยมีสายตาทึ่งๆของเธอมองตามไม่วางตา   ภูติทหารแต่ละตนแต่งชุดเกราะสีดำมีสายหนังคาดและหมวกเหล็กที่เปิดแต่ช่องลูกตาดูทะมัดทะแมง   ในมือของแต่ละตนถือคฑากะโหลกที่เป็นทั้งอาวุธและเครื่องหมายแสดงยศทางทหารด้วยในท่าพร้อมจะใช้ทุกเวลา   ทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าออกจากตัวเมืองและข้ามภูเขาแล้งร้างสูงชันเบื้องหน้าเพื่อไปยังท่าเทียบโลงอาร์เคเดียเป็นจุดหมายเดียวกัน  

    นี่เป็นครั้งแรกที่ชลรีชาเคยเห็นการรับมือกับการบุกรุกด้วยตาตัวเอง   เมื่อครั้งที่ยังเรียนในมหาวิทยาลัยจิตกาธานนั้นเธอเคยได้ยินว่ามีมนุษย์ที่ยังไม่สิ้นชีวิตจริงแต่หลุดมาที่ปรโลกหลายครั้งโดยไม่ตั้งใจ   ซึ่งแทบทั้งหมดก็จะถูกผลักดันกลับไปก่อนจะมาถึงท่าเทียบโลงอยู่แล้ว   มีเพียงนิทานปรัมปราที่เล่าว่านานมาแล้วเคยมีกษัตริย์หนุ่มจากอาณาจักรแห่งหนึ่งยกกองทัพเรือนแสนจากโลกมนุษย์มายังปรโลกเพื่อแย่งชิง “หัวใจจักรวาล” ที่เชื่อกันว่าเก็บรักษาอยู่ที่ปรโลกและจะทำให้ผู้ที่ครอบครองมีอำนาจต่างๆราวกับพระเจ้า   การต่อสู้เป็นไปอย่างยาวนานและดุเดือดจนฝ่ายภูติเกือบพ่ายแพ้   แต่ที่สุดกองทหารภูติก็ต่อสู้จนสามารถขับไล่กองทัพมนุษย์กลับไปได้
    กษัตริย์หนุ่มและกองทัพของเขาเป็นใครมาจากไหน?  สามารถมาถึงปรโลกขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?   หัวใจจักรวาลคืออะไร? ถูกเก็บอยู่ที่ไหน?   แต่ที่สำคัญที่สุด…….ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?

    แร้งตัวนั้นบินข้ามสันเขามาแล้ว   ยอดของมันทำให้เห็นภาพของทิวทัศน์ทั้งสองฟากอย่างชัดเจน   ฝั่งมหานครสัมปรายภพเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ของอาคารปราสาทต่างๆท่ามกลางแสงแดดและม่านเมฆหมอกเหมือนกับดินแดนในจินตนาการ อีกด้านคือทะเลสาปกว้างไกลถูกปกคลุมด้วยหมอกสีหม่น   มีท่าเทียบโลงแรกรับวิญญาณเป็นอาคารทรงโค้งยาวตั้งอยู่โดดเดี่ยวสุดปลายถนน   ซึ่งบัดนี้เห็นแต่กระจุกภูติตัวเล็กๆในชุดสีดำยืนเกาะกลุ่มและมีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆตามระยะทางที่ลงไปใกล้

    ชลรีชากระโดดลงจากหลังแร้งเมื่อมันบินมาถึงท่าเทียบโลงและบินทรงตัวอยู่เหนือน้ำข้างตัวท่า   แหวกทางฝูงภูติไปจนถึงกลางวงที่ภูติทหารหลายตนกำลังล้อมชายหนุ่มมนุษย์โลกคนหนึ่งอยู่   มาดามลิกซ์ – รองผู้บังคับการท่าเทียบโลงและยังเป็นพี่เลี้ยงของเธอยืนอยู่กลางวงด้วย
    สภาพของมนุษย์ที่ถูกจับได้นั้นยังสมบูรณ์ดีทุกส่วน  และกำลังนั่งตื่นตระหนกอยู่โดยมีคฑาของภูติทหารเล็งไว้รอบด้าน   ชลรีชาถามเพื่อนยมฑูตที่อยู่ในเหตุการณ์จนได้ความว่าชายคนนี้ถูกบรรจุอยู่ในโลงพร้อมกับข้าวของต่างๆเหมือนกับคนตายทั่วไปและลอยมาเทียบท่าตามปกติ   แต่เมื่อเขาก้าวออกจากโลงศพมายืนบนท่า   เขาก็ทำในสิ่งที่ทำให้ภูติทุกตนบริเวณนั้นได้รู้ทันทีว่ามีสิ่งผิดปกติใหญ่หลวงเกิดขึ้นแล้ว……เขาไม่มีปฏิกริยาต่อการสวดรับวิญญาณแม้แต่น้อย

    “ตอนนั้นฉันสวดจนจบบทก็แล้ว  สวดสองรอบก็แล้ว  เขาก็ยังหันไปมากับถามฉันว่าที่นี่ที่ไหนๆๆๆ  จนฉันต้องตามภูติที่อาวุโสกว่ามาช่วยสวดให้สงบลง   แต่เขากลับไม่เป็นอะไรเลย   จนมีใครไปตามมาดามลิกซ์มาตรวจสอบเท่านั้นแหละ  มาดามใช้พลังจิตตรวจดูแวบเดียวก็รู้ว่าวิญญาณดวงนี้ยังไม่ถึงฆาต”
    “แล้วไงอีก”  ชลรีชาเอียงหน้าเข้าไปใกล้ภูติที่เล่าเรื่องจนหูเกือบชิดปากภูติตนนั้น
    “มาดามลิกซ์ก็อุทานอะไรออกมาสักคำแล้วสั่งให้ภูติทหารยามบนหอคอยตีระฆังรัวแจ้งเหตุฉุกเฉิน   พวกภูติทหารยามตนอื่นๆก็คว้าคฑามาล้อมไว้อย่างที่เห็นนี่แหละ”
    ชลรีชาชะโงกหน้าเข้าไปดูชายหนุ่มที่ถูกล้อมอยู่บ้าง   ใบหน้างุนงงและฉายแววหวาดกลัวของเขาถูกผมยุ่งๆสยายลงมาปิดไว้บางส่วน   เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นชุดผ้าฝ้ายพื้นเมืองสีตุ่นตัดเย็บอย่างดีบ่งบอกการมีฐานะพอสมควร   แต่ไม่สามารถช่วยเขาจากความหนาวเย็นจนต้องนั่งสั่นงันงกได้เลย   โดยเฉพาะเมื่อยามมีลมพัดมา (มีต่อ)

    จากคุณ : ธามาดา - [ 10 เม.ย. 47 21:21:26 A:203.151.206.81 X:203.155.224.1 ]