@@@...ดาราฝั่งทะเล...@@@...(ตอนอวสาน)

    ตอนที่๑เเละบทนำ
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2611933/W2611933.html
    ตอนที่๒
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2649398/W2649398.html
    ตอนที่๓
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2670247/W2670247.html
    ***
    ตอนที่๔
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2702415/W2702415.html
    ***
    ตอน๕
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2759613/W2759613.html
    ***

    บทอวสาน…

    “วางพระทัยเถิดองค์ปูตรี…เร่งเสด็จตามข้ามาเถิด”

    บุรุษในอาภรณ์สีขาวเฉกราชองครักษ์..เหลียวใบหน้าเค้าคม เเลมององค์ผู้เสด็จติดตามมาเบื้องหลัง..พลางชูคบไต้นำทางออกจากเขตพลับพลาที่ประทับ…สู่พงไพรอันกว้างใหญ่หลังเหลื่อมเขา..

    วรองค์อรชรหยุดชะงักบาทรอรา..พลางทอดสายเนตรยังเรือนพลับพลาที่ทรงเสด็จจากมาเมื่อครู่…ซึ่งอยู่ไกลกันจักทรงทอดพระเนตรได้เเต่เพียงเเสงไฟวิบวับ จากภายในห้องหับรโหฐาน เเละเรียงรายตามป้อมกำเเพง

    ..เเรงลมหนาวต้องพระฉวียะเยือกจนต้องทรงดึงภูษายาวให้คลุมกระชับเเนบอังสะบาง…

    คล้ายกับพระทัยของพระองค์พลันหวิวไหว..ดั่งจักลอยหายไปพร้อมกับสายลมรำเพย..

    “ทูลลา เพคะ เสด็จพ่อ”

    ผู้เป็นปูตรี ทรุดองค์ลงบนพื้นดิน..หันพระพักตร์ไปตามเเสงไฟวิบวับ ..จรดนลาตเนียนเเนบกับกอหญ้าเเฉะชื้นเฉกเดียวกับปลายเนตรที่ปริ่มไปด้วยหยาดน้ำใส

    ..เเล้วเมื่อใดข้าจักได้พบพักตร์ของพระองค์…อีกครา..

    บุรุษร่างสูงค่อยๆเดินเข้ามา พลางทรุดกายอยู่เคียงองค์ เอ่ยทูลเบาๆราวกับจักปลอบประโลมหทัย

    “ทรงอย่าวิตกไป…ยามสายัณห์วันพรุ่ง สงครามก็คงจักเสร็จสิ้น..เเล้วก็จักได้ทรงเสด็จกลับคืนซุนดาพร้อมด้วยองค์รายา..อีกมินาน หรอกพระเจ้าข้า

    ..เพลานี้ ขอให้ทรงถนอมองค์ก่อน เพื่อที่จักได้มีโอกาสกลับไปพบ เสด็จเเม่ เเละ พระขนิษฐาบุษบา ที่กำลังรอคอยการเสด็จกลับมาของพระองค์อยู่”

    ใต้เปลวไฟระริกของคบไต้..ใบหน้าเค้าคมเเย้มยิ้มคล้ายกับว่า..การสงครามในวันพรุ่ง..มิได้หนักหนาจนน่าวิตกกังวลใจ เพื่อมิให้องค์ปูตรีทรงวิตกกังวลไปยิ่งกว่านี้

    …ทั้งที่ชเลรู้อยู่เเก่ใจดี..ในการยุทธนาครั้งนี้ จักมิมีฝ่ายใดยอมถอยร่นจนกว่าจัก ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ..เเละซุนดา..อาจจักต้องเป็นฝ่ายปราชัย…

    เเต่ก็มิมีทหารพลทัพซุนดา ผู้ใดหวาดเกรงกลัว…ตายในสมรภูมิรบอย่างผู้พ่ายเเพ้…ยังจักมีศักดิ์ศรียิ่งกว่า..การมีชีวิตอยู่ให้ถูกผู้อื่นเหยียบย่ำ…

    ชเลราชองครักษ์ ก็ดำริเช่นนั้น….

    เบื้องบน..นวลบูลันเร้นอยู่หลังม่านเมฆ พรายเเสงสลัวซีดลงสู่พื้นล่าง..ต้องเนินบุกิต เขาสูง เเละหมู่ไม้ จนเป็นสีเทาทะมึน..ยอดหญ้าไหวเอนลู่ลมพริ้ว..ดุจเดียวกับปลายเปลวของเเสงไต้ที่เริ่มราเมื่อต้องลม..

    น้ำค้างหนาวพร่างพรมในยามดึกสงัด…เงียบเชียบ จนเเทบจักได้ยินเสียงทอดหทัยระโหยอ่อนเเห่งองค์ปูตรี…ไหวสะท้านเข้าไปถึงกลางใจของบุรุษหนุ่มผู้อยู่เคียงองค์..

    …หทัยของชเลก็ร้าวราน อยู่ปานกัน…

    “ดึกมากเเล้ว เร่งเถิด”
    ราชองครักษ์ผุดลุกขึ้น..โดยไว พลางทอดตาขึ้นเเลมองฟ้าเบื้องบน..เพื่อคาดเดาช่วงยามของเวลา

    “เจ้าจักพาข้าไปที่ใด..”
    องค์ปูตรีผู้ยังประทับอยู่บนพื้นตรัสเอ่ยถาม..

    “บนเขานั่น มีถ้ำ พอให้ทรงพออาศัยหลบซ่อนได้..พระเจ้าข้า”

    ผู้ทูลชี้ไปยังเงื้อมเขาสูงเทาทะมึน..ที่โอบล้อมไปด้วยหมู่ไม้รกทึบอยู่ด้านล่าง..ทำให้เเลดูอยู่ไกล กว่าความเป็นจริง..จนวรองค์บางถึงกับตรัสบ่นเบา

    “ช่างไกลนัก…”

    “มิไกลหรอก..ถ้าทรงเร่งฝีพระบาท ก็อาจจักถึงภายในชั่วยามเดียว..หากยังทรงชักช้าเช่นนี้..ก็คงราวๆสองสามชั่วยามกระมัง”

    ราชองครักษ์เอ่ยทูลตอบบนริมฝีปากได้รูป เเย้มยิ้มคล้ายจักเเย้มยั่วให้ทรงกริ้ว..

    “ก็เพราะข้าเหนื่อยต่างหากเล่า…จึ่งได้กล่าวออกไปเช่นนั้น..หากว่าข้ามิล้าเสียก่อนก็คงจักเดินได้เร็วกว่าชั่วยามเดียวเป็นเเน่..ถ้าข้าถ่วงเจ้ามากนัก..ก็ไปก่อนเถิด”

    บุรุษหนุ่ม ยื่นมือลงมายังเบื้องพระพักตร์ที่ขมวดย่นยุ่งอย่างมิใคร่พอพระทัย..ก่อนที่จักเอ่ยทูลออกมาเบาๆ

    “ถ้าทรงล้า..ข้าจักโดยเสด็จพร้อมกับพระองค์..”

    วงพักตร์เค้าคมคาย..ปรากฏรอยเเย้มสรวลน้อยๆ..ขณะที่วางพระหัตถ์ลงบนปลายฝ่ามือเรียวให้อีกฝ่ายฉุดพระองค์ให้ทรงยันองค์ผุดลุกขึ้น

    “หากเจ้าพาข้าไปที่นั่น ล่าช้ากว่าหนึ่งชั่วยาม.คอยดูเถิด.ไว้ข้ากลับซุนดาได้เมื่อใด จักลงโทษเจ้าให้หนักทีเดียว”

    ทรงเเสร้งตรัสอย่างกริ้วยามที่ทรงสาวพระบาทตามชเลราชองครักษ์..กระนั้น บุรุษดวงหน้าคมคายก็มิได้รู้สึกหวาดเกรงพระอาญาที่ทรงว่าไว้นั่นเเต่อย่างใด..

    “เมื่อไหร่เจ้าจักปล่อยมือข้าเสียที”

    สุรเสียงใสเริ่มตรัสท้วงเมื่อทรงเสด็จต่อไปได้อีกหลายสิบก้าว..เเต่ มือของผู้ที่เดินนำเสด็จก็ยังมิมีทีท่าที่จักปล่อยพระหัตถ์ ออกจากการเกาะกุมไว้อย่างหนาเเน่น..

    บุรุษร่างสูงยังคงเพิกเฉย หากเเต่มีเพียงรอยเเย้มบนริมฝีปากได้รูปสวยเท่านั้นบนใบหน้าเรียบนิ่งที่จักทูลตอบโต้คำตรัสท้วงของพระองค์…

    *****************

    ดวงบุหลันคล้อยเคลื่อน…ดาราเริ่มราเเสงเมื่อเสี้ยวเดือนใกล้จักลับปลายฟ้า..เนินไศลสูงลาดชันสะท้อนเเสงเงินยวงระยับตามโขดเขาเงื้อมหิน

    ..ที่ปกคลุมไปด้วยไม้พุ่มเตี้ยเเละเถาวัลย์รกเรื้อตามทางเดินลัดเลาะที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดที่เเตกออกมาจากศิลาบนยอดเขา

    ร่างสูงของชเลราชองครักษ์ในเเสงไต้ที่มอดไปกว่าครึ่ง..ยังคงคอยจูงพระกรน้อยอย่างมิยอมวาง…วรองค์บางในพัสตราภรณ์สีนวลสาวพระบาทตามอย่างมิย่อท้อ ลัดเลาะตามเเนวโขดหินตะปุ่มป่ำ

    ฝ่าพระบาทงามเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนเเละเศษหญ้า..ภูษาทรงไหมมีรอยดินเป็นปื้นเฉกเดียวกับวงพักตร์ที่เต็มไปด้วยหยาดเสโทผุดพราย..

    “โน่นนั่น..ใกล้จักถึงเเล้วพระเจ้าข้า”
    ผู้พูดชี้มือไปยังถ้ำเล็กๆริมชะง่อนผา.. ปากทางรกเรื้อไปด้วยกอหญ้าเเละเถาวัลย์ระโยงระยาง..เมื่อถึงที่หมาย..วรองค์บางถึงกับทิ้งองค์ลงบนโขดหินหน้าถ้ำด้วยทรงอ่อนล้าเป็นอย่างยิ่ง..

    “ทรงรออยู่ที่นี่ก่อน”

    ชเลสาวเท้าเข้าไปยังด้านในคูหา..ภายในมืดสนิทมีเพียงลำเเสงจากช่องกลม ที่เกิดจากกการผุกร่อนในเนื้อศิลา เป็นรูขนาดใหญ่…บุรุษหนุ่มกวาดคบไต้ไปรอบตัวซึ่งเป็นลานเรียบโล่ง..สับกับเป็นหลุมบ่อน้ำขัง…บนเพดานสูงเป็นเเท่งหินเเหลมย้อยลงมาเปล่งประกายระยับยามต้องเเสงไฟ..

    “เชิญเสด็จเถิด”

    ผู้เป็นราชองครักษ์รวบรวมกิ่งไม้เป็นกองเล็กๆเเล้วจึงจักสุมไฟไล่ความมืดภายในถ้ำ..นำทางให้องค์ปูตรีเสด็จตามมา..วรองค์บางจึงค่อยๆสาวพระบาทเข้ามายังด้านในคูหา..หัตถ์น้อยคลำทางป่ายเปะปะไปตามผนังศิลา

    ..ก่อนที่จักทรุดองค์ลงบนเเท่นหินกลางลาน เบื้องหน้า ชเลราชองครักษ์ซึ่งนิ่งนั่งอยู่บนพื้นอย่างสงบ..ใต้เเสงจากวงรอยผุบนเพดานด้านบน

    “เเล้วเจ้าจักทำการอันใดต่อไป”

    สุรเสียงอ่อนปนหอบกระชั้นตรัสเอ่ยถาม…พลางทอดสายเนตรไปยังวงพักตร์ของบุรุษหนุ่มซึ่งกำลังยิ้มน้อยๆ ราวกับมิมีเรื่องใดให้ต้องกังวล

    “ข้าก็จักกลับไปหาองค์รายา..ให้ทันก่อนรุ่งสาง”

    ชเลทอดตาเเลขึ้นสู่ไปยังช่องกว้างบนเพดาน..เห็นดวงดาวพราวพรายอยู่บนฟากฟ้า..ณ มุม เบื้องบูรพา เริ่มมีเเสงทองฉาบฉาย…ด้วยใกล้จักล่วงถึงอรุณยาม

    “บัดเดี๋ยวก็คงจักต้องไปแล้ว..เเต่ข้าห่วงว่า พระองค์จักทรงประทับที่นี่โดยลำพังได้หรือไม่”

    “ได้สิ..ไยจักมิได้..ข้าหรือจักต้องกลัวสิ่งใด”
    องค์ปูตรีมณีดารยาทรงเเสร้งเชิดพระศอระหง..ประหนึ่งทรงมีพระทัยกล้าหาญ..ทั้งที่พระองค์ก็หวาดกลัวความมืด เเละสัตว์ร้าย อยู่มิน้อยเช่นกัน

    “ข้ามี สิ่งนี้เเล้ว..เจ้ามิต้องห่วง..กลับไปหาเสด็จพ่อเถิด”

    วรองค์บางทรงเเก้ปมไหมให้คลายออกเผยให้เห็นศาสตราวุธปลายหยักโค้งคมขนาดสั้น สลักลายปราณีต..เเล้วจึงทรงชูอวดให้บุรุษหนุ่มเห็น..ให้ถนัดชัดเจน

    “เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็วางใจ…หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ขออย่าได้ทรงออกไปนอกถ้ำนี้..เเล้วข้าจักกลับมาอีกครา ในยามสายัณห์วันพรุ่ง”

    “ชเล ข้าจักรออยู่ที่นี่… เจ้าต้องกลับมาให้ได้”

    องค์ปูตรีมณีดารยาลุกขึ้นจากพระเเท่น ก่อนที่จักทรุดองค์ลงบนพื้นดินเบื้องหน้าของบุรุษหนุ่ม.. ใกล้เสียจนทรงได้ยินเสียงลมหายใจเบาๆของผู้เป็นราชองครักษ์

    “ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง..”

    ฝ่ามือคู่เรียวค่อยคว้าเอาพระหัตถ์บางมาเกาะกุมไว้อย่างทนุถนอม…วงพักตร์งามเค้าคมเเย้มสรวลน้อยๆพลางรีบเบือนพระพักตร์ไปอีกทางหนึ่งเพื่อเร้นซ่อนความประหม่าที่กำลังผุดขึ้นมาในพระทัย..

    …ราวกับว่า ความอุ่นผ่าวร้อนใต้ฝ่ามือเรียวจักสะกดมิให้หัตถ์น้อยมิปราถนาสะบัดออกจากการเกาะกุมในครานี้..

    “รีบไปเถิด..จวนจักรุ่งสางเเล้ว”

    องค์ปูตรีมณีดารยา..ตรัสเบาประหนึ่งจักทรงเตือนให้ผู้ที่อยู่เบื้องพระพักตร์รู้สึกตัว..

    “ข้าต้องกลับมาหาพระองค์เเน่นอน..ข้าสัญญา”

    บุรุษหนุ่มบรรจงวางพระหัตถ์ลงบนพระเพลา…อย่างอาลัยอาวรณ์ยิ่งนักก่อนที่จักผุดลุกขึ้นกระชับด้ามกริชยาวไว้เเนบกาย..

    “ทูลลา พระเจ้าข้า”

    ชเลรีบสาวเท้าออกไปจากที่นั้นโดยไว…ด้วยหากชักช้า อาจจักมิได้การเดินทางกลับไปให้ทันก่อนรุ่งสาง..

    ..ถึงอย่างไร เย็นย่ำวันพรุ่งก็จักได้กลับมาตามสัญญา…
    …ถ้ามิตายเสียก่อน…
    *************
    (มีต่อ)

    จากคุณ : อชันฏา - [ 11 เม.ย. 47 23:23:12 ]