คนข้างหลัง
ตานายเดิน
เสียงหัวเราะ แกมหยอกเอิน ของเหล่ากลุ่มเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่เดินผ่านหน้าบ้าน เรียกความสนใจของโสตหูผมให้ลุกขึ้นมาทำงานโดยอัตโนมัติได้ไม่ยาก
ถ้อยคำสนทนาเป็นภาษาตามวัยของพวกเขา ผมลอบฟังไป บางครั้งอดอมยิ้มตามไม่ได้ จนน้ำเสียงขาดหายไปตามระยะทางที่พวกเขาเริ่มทิ้งห่างออกไป
ช่วยไม่ได้ที่ผมจะย้อนคิดถึงอดีตวัยเยาว์ตัวเองบ้าง
รอยยิ้มผุดมาบนหน้าเมื่อหวนรำลึก กับเหตุการณ์เมื่อครั้งกาลก่อน นึกมาเปรียบเทียบช่วงของเขากับของผมในตอนนั้น
ยุคไหนๆ มันก็เหมือนกันทั้งนั้น มันเป็นวัยของเขา ไม่รู้ใครเคยเอ่ยวลีทองนี้ แต่เป็นความจริงที่ไม่กล้าปฏิเสธได้
คำว่า เพื่อนของวัยรุ่นนั้น มันมีความหมายยิ่งใหญ่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว บางครั้งมันอาจสำคัญกว่า สิ่งสำคัญใดๆ ที่เจ้าของปากเคยพร่ำบอกใครต่อใครเสียด้วยซ้ำ
เพื่อน อาจจะดูด้อยค่า หรือซีดจาง ลงไปบ้างในยาม ที่มีสิ่งที่ธรรมชาติได้สร้างมาให้มนุษย์เพศทุกราย เมื่อถึงวัยที่เหมาะสมโหยหามาข้างกาย สิ่งนั้นก็คือ เพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกัน ที่ถูกใจของแต่ละบุคคล
วัยรุ่น ทุกยุคทุกสมัย บทสนทนาสำคัญ แนวทางในการเลือกใช้ชีวิต แรงจูงใจให้ฮึกเหิม เปี่ยมด้วยพลัง หรือ อ้อนล้า เศร้าสร้อย แม้กระทั้ง หดหู่ ซังกะตาย ไม่อยากจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรืออยู่เป็นผู้เป็นคน เพื่อนและแฟน เป็นผู้ทรงอิทธิพลหลักๆ ในเหตุผลเหล่านั้น
โดยลืมคิดไปว่ามีคนที่สำคัญกว่าคอย..... ห่วงใย
ในวัยที่ธรรมชาติจูงตัวเลขมาเพิ่มให้กับตัวผมไม่มากเท่าไหร่ ผมใช้ชีวิตสำราญอย่างไม่กลัวเข็มนาฬิกาจะค้อนเอา สำมะเลเทเมาอย่างไม่ยี่หระกับชีวิต ขวนขวายความสุข มาใส่ตัวเพียงวันๆ ไม่ได้คิดถึงอนาคต หวังแค่ความอิ่มเอมเฉพาะหน้า
แฟนสาวของผมก็เป็นคนที่เข้าใจในความคิดของผมได้เป็นอย่างดี เออออห่อหมกตามไปกับผมด้วย เหมือนเป็นแรงส่งอย่างดีเยี่ยมในการเลือกใช้ชีวิตแบบนั้น ชีวิตอิสระตามแบบความเข้าใจของตัวเองโดยไม่ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ของสังคม หรือที่ใครๆ มาขีดไว้เป็นบรรทัดฐาน ลากเส้นทางเดินตามรอยปรุที่ตัวเองทำไว้ กำหนดชีวิตด้วยตนเอง ด้วยความเข้าใจ(ในตอนนั้น) ว่าความคิดของตัวเองเอกอุ... พอ
และที่สำคัญผมก็รักแฟนผมมาก
โดยมีสายตา และน้ำเสียงห่วงใย คอยบอกกล่าวอยู่เนืองๆ จากบุคคลหนึ่ง ว่ารักใคร ให้เผื่อเจ็บไว้บ้าง แน่นอน....มันไม่เข้าหูผมซักกระนิด
ปริมาณความรักของผมกับแฟนแต่ละคนมากน้อยขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาและความเข้าใจ บางคนก็มีช่วงการใช้ชีวิตคู่กับผมที่นานมาก บางคนก็สั้น มาก พอๆ กับแค่ช่วงเวลาข้ามคืน แต่ไม่ใช่กับคนที่ผมคบอยู่คนนี้แน่
กับเพื่อนๆ ผมยังคบ ไปมาหาสู่ กันปกติ ตามแต่เวลาจะอำนวย กิจกรรมหลักของผมและเหล่าสหาย ไม่พ้นการนั่งทำลายสุขภาพ โดยมีขวดสุราเป็นองค์ประธานกลางโต๊ะ ช่วงเวลาที่ห่างหายเพื่อนก็จะเป็นช่วงที่มีแฟน แต่เมื่อเวลาพ้นไปซักระยะหนึ่ง ไม่ว่าจะยังคบกันดีอยู่หรือ เลิกล้างจากแฟนไป ก็เป็นอันหนีเพื่อนไม่พ้นซักรายไป โดยเป็นอันที่เข้าใจกันดีในกลุ่มเพื่อนว่า ทุกข์หรือสุข ช้าหรือเร็ว ไม่นานเป็นได้เห็นหน้า ขอให้บอก เพื่อนๆ ก็ยังยินดีอ้าแขนรับอยู่เสมอ
ข้อคิดที่ติดอกผมมาจนถึงทุกวันนี้ ได้มาจากแฟนคนนี้ของผม วันนั้นเรามีปากเสียงกันค่อนข้างรุนแรง พยายามจูน เข้าหากันอย่างไร ก็ไม่มีผล ในที่สุดก็ยอมเอ่ยปากยอมรับมาโดยตรง ว่าต้องการ เลิกกับผม หล่อนเอ่ยทั้งน้ำตาเปื้อนหน้า เอ่ยอ้างเหตุผลหลักว่าอยู่กับผมต่อไปมองไม่เห็นอนาคต เพราะเรายังเรียนอยู่ทั้งคู่ และอีกอย่าง หล่อนบอกว่า ดูผมจะให้ความสำคัญเพื่อนมากกว่าหล่อน
ผมพยายามเยื้อหล่อนไว้ ด้วยไม่อยากเสียหล่อนไป พยายามอธิบายให้เข้าใจ ว่าเพื่อนก็คือเพื่อน แฟนก็คือแฟน อย่างไรมันก็ไม่เหมือนกัน
แต่หล่อนก็ยังยืนยันคำเดิม ตอนนั้นผมคิดยังไงก็ไม่ยอมเลิกแน่ แต่เมื่อมาได้ยินประโยคหนึ่งจากปากของหล่อน ทำให้ต้องจำยอมและอีกใจหนึ่งมันก็สิ้นเรี่ยวแรงไปพร้อมๆ กับคำพูดของหล่อน
หล่อนบอกน้อยใจที่ผมไม่รักหล่อนเลย ผมเถียง บอกว่าผมรักที่สุดของหัวใจแล้ว ผมบอกไปตามความนึกคิดในใจที่มีอยู่
แต่หล่อนบอกอย่างไรก็ไม่เชื่อ นอกจาก พ่อ แม่ กับ พี่น้อง และญาติของหล่อนบางคนแล้ว ก็มีผมนี่แหละ ที่มีพื้นที่ของหัวใจให้
ผมไม่ใช่ตัวเลือกแรก และตัวเลือกเดียวในใจหล่อน
คำตอบ มันชาลึกไปถึงในใจผม ผมไม่ตำหนิหล่อนที่มีความคิดอย่างนั้น แต่นึกน้อยใจ และสมเพศตัวเองที่ไม่ยอมเชื่อคำเตือนของ บุคคลหนึ่งผู้อยู่ข้างหลัง ผมรักใคร ผมรักถึงที่สุด ไม่เผื่อไว้เจ็บเลยจริงๆ เวลารัก.... ผมรัก.... ผมไม่เคยแบ่งปันให้ใครอีกเลย ไม่คิดแยกแยะเหมือนหล่อน ให้แต่คนที่ผมรักจนหมดใจ
แม้กระทั้งคนที่น่าจะแบ่งปันให้มากที่สุด.... ผมก็ไม่มีให้
ผลจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ผมเตลิดไปอยู่บ้านเพื่อนที่เพชรบูรณ์ โดยทิ้งอนาคตไว้เบื้องหลังอย่างไม่สนใจใยดีใดๆ ไม่มีความคิดที่จะกลับไปเรียน หรือทำอะไรอีกต่อไปอีกแล้ว ผมปล่อยจิตใจ จนลืมเรื่องทุกข์ใจไปได้เกือบหมดแล้ว เพื่อนสนิทคนหนึ่งก็มาหาพร้อมจดหมายในมือ เป็นรายมือที่ผมเห็นมาตั้งแต่จำความได้
ที่แล้ว ก็แล้วไป กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ เถอะนะ ก่อนลงท้าย รักลูก และชื่อของบุคคลหนึ่ง
ผมยอมทำตามความต้องการของบุคคลนั้น กระดาษข้อความกินใจ ใบนั้น ถูกพับย่อส่วน ซุกเก็บไว้ให้อบอุ่นใจ ในกระเป๋าสตางค์ แต่เมื่อกาลเวลาเดินหน้าอยู่เสมอ ความรู้สึกดีๆ ครั้งนี้ก็ถูกร่นเข้าไปลึกเรื่อยๆ ในซีกความรู้สึกของสมอง
ผมกลับมาตั้งใจเรียนได้พักใหญ่ แต่ไม่นานก็เข้าอีหรอบเดิม ผมติดเพื่อน ขาดเพื่อนไม่ได้ ไม่มีความรู้สึก ยับยั้ง ชั่งใจ ตัวเอง ปล่อยตัวเองให้เข้าวังวนเดิมๆ โดยไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอาทรใดๆ
ไม่นานผม ก็ถูกทางมหาลัย ให้รีไทร์ ออก
ภาพของบุคคลนั้น ยืนร้องไห้ หน้าห้องอธิการบดี ในวันที่ทางมหาลัยเชิญไปให้ผู้ปกครองรับทราบ ยังติดตาผมอยู่ วันนั้นไม่มีเสียงพร่ำสอนใดๆ ออกมาจากปาก เหมือนเคย
ผมเริ่มต้นอีกหลายครั้ง กับชีวิตการเรียน
บุคคลนั้นยังคอยกระตุ้นให้กำลังใจ อยู่เสมอ
แต่ในที่สุด ผมก็ยอมรับความจริงว่า มันไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ ชีวิตเสเพล กับชีวิตการศึกษาของผม
บุคคลนั้นเหมือนเริ่มเข้าใจชีวิตผม น้ำเสียงให้สติยังมีอยู่บ้าง แต่เริ่มแผ่วเบา จางๆ เหมือนแค่อยากเฝ้ามองผมมากกว่า
ด้วยการศึกษาที่มีติดตัวมาน้อยนิด ทำให้ชีวิตบทใหม่ในการทำงานเริ่มด้วยความยากลำบาก ตำแหน่งงานเล็ก ๆ ของบริษัทเล็กๆ ดูเหมือนจะลงตัวสำหรับผม
กับการมีชีวิตใหม่ที่ไม่เคยชิน สร้างความกระอักกระอ่วนใจ แก่ผม ต้องใช้เวลาปรับตัวนานกว่า จะเคยชิน แต่ผมก็พร้อมที่จะฝ่าขวากหนามที่มีแต่ตัวเองเท่านั้น ที่จะแผ้วทางไปได้
ระยะหลังนาน ๆ ครั้งผมถึง จะได้ยินนำเสียงจากบุคคลนั้น แต่สายตาที่ผมเห็นเวลามองผม ผมรู้ว่ามันยังมีความหมายห่วงใยแฝงข้างในอยู่
ผมเริ่มเป็นหนุ่มขึ้น แข็งแรง เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว พร้อมสำหรับโลกกว้าง ที่ไม่เคยสัมผัส
ซึ่งสวนทางกับบุคคลนั้นอย่างที่สุด ความขาวของเส้นผมมีปริมาณเพิ่มขึ้นจนกลบสีดำที่เคยมีอยู่บนหัวเกือบหมดสิ้น มือที่เคยแข็งแกร่ง หยิบจับอะไรทะมัดทะแมง กลับกลายเปลี่ยนเป็นมือที่สั่นเทา ผิวหนัง ยับย่นเหมือนถูกธรรมชาติทวงคืนกลับไป สายตาลางเลือน แม้จะพอเห็นอะไรได้ปกติ แต่ก็ต้องมีผู้ช่วยเป็นแว่นสายตาเวลาจะเพ่งมอง ข้อความใดบนสื่อต่างๆ
วันหนึ่ง ไม่ได้เป็นวันพิเศษอะไร ในขณะที่บุคคลคนนั้นนั่งเล่นอยู่หน้าบ้านบนเสื่อตามลำพัง ผมตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาเลยตลอดยี่สิบกว่าปี
วงแขนทั้งสองข้างของผมกระชับเข้าที่เอวของเธอ หัวหนุนบนตัก ความรู้สึกครั้งสุดท้ายที่ได้หนุนตักเธอ ผมจำไม่ได้แล้ว
ในมือข้างหนึ่งของผม มีเศษกระดาษเล็กๆ ที่ถูกพับย่อส่วนไว้
ผมรู้ข้อความในจดหมายนั้นดี โดยไม่ต้องเปิดดู
ที่แล้วก็แล้วไป มาเริ่มต้นชีวิตใหม่เถอะนะ
ผมไม่ได้ถาม ตัวเธอเองก็ไม่ได้ตอบอะไรออกมา
หยาดน้ำตาของผมค่อยๆไหลออกจากตา จนล้นมาเปียกผ้าถุงของเธอ
ส่วนผมก็รับรู้การตอบรับของเธอได้โดย หยาดน้ำที่ตกลงบนหัว.....เช่นกัน
ผมกระชับวงแขนให้แน่นกว่าเก่า เธอยกมือขึ้นมาลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา ไม่มีบทสนทนาใดๆ จากปากเราทั้งคู่
ผมไม่ได้ร้องขอ ที่จะมาเริ่มชีวิตใหม่อะไรอีกทั้งสิ้น
ผมเพียงแค่ต้องการดึงเธอมายืนอยู่ข้างผม
ไม่ต้องเหนื่อย กับการเป็น
คนข้างหลัง......... อีกต่อไป
ผมให้สัญญา
จากคุณ :
"ตานายเดิน"
- [
วันเถลิงศก (15) 23:56:17
A:203.118.75.31 X:
]