กุหลาบกับมะลิ

    แสงตะวันสาดผ่านปุยเมฆและชั้นบรรยากาศที่ร้อนอบอ้าวของยามเย็นลงสิ้นสุดที่ช่องหน้าต่าง  ฉายเงาของผมพาดยาวไปที่มุมห้องอีกด้านหนึ่ง  ผมนั่งบนก้าอี้ท้าวแขนซ้ายกับหัวเข่าในมือหมุนพลิกปากกากลับไปกลับมาจนเหงื่อจับ  อีกมือหนึ่งยกขึ้นประกบหูโทรศัพท์เข้าไว้กับหู นั่งนิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่
           "หวังว่าคงเข้าใจ"  ผมเอ่ยเบาๆ ในมือกำปากกาแน่นสูดหายใจเข้าลึกจนถึงก้นปอด  "ความจริงผมก็ไม่อยากพูดทางโทรศัพท์แบบนี้  แต่เพราะอยากจะรู้ ก็เลยบอกซะตอนนี้"  ผมหยุดปากปล่อยความเงียบเข้ามามีบทบาทอีกครั้ง  เม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ บนหน้าผากค่อยๆ รวมกันไหลผ่านหว่างคิ้วลงมาถึงตาคู่ที่กำลังมองผ่านช่องหน้าต่างไปจับอยู่ที่ต้นมะลิต้นเล็กๆ ในกระถางที่ตั้งอยู่ที่มุมระเบียงเพียงลำพัง  ต้นมะลิต้นเล็กๆ ในกระถางที่ไม่เคยมีความคิดมาก่อนเลยว่ามันจะมาอยู่ตรงนี้  ที่บ้านนี้

                       ผมเป็นคนชอบกุหลาบ…  กลีบแดงที่ซ้อนเรียงกันอย่างลงตัว  ก้านเขียวสลับหนามแหลมที่แตกแทงออกรอบกายป้องกันอันตรายทั้งหลายที่รายล้อมรอบข้างจากผู้ที่หมายปองต้องการจะเชยชมดอกแดงอันยั่วเย้าของมัน นั่นเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดหัวใจผม  
    ทุกๆ วันระหว่างทางกลับบ้านผมจะต้องเดินผ่านร้านขายต้นไม้  อดไม่ได้ที่จะต้องชำเลืองสายตามองกลีบแดงสดที่ตั้งเด่นอยู่ในร้าน  เพราะไม่รู้เป็นอย่างไรทุกครั้งที่ได้เห็นมันผมก็จะมีความรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก  หากวันไหนที่ผมรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อล้าจากการสิ่งที่รุมเร้ารอบข้าง  สิ้นหวังท้อแท้  หรือว่าต้องการกำลังใจ  ผมมักจะหยุดฝีเท้าแวะเข้าไปทักทายกับมันสักพัก  แค่เพียงเห็นดอกสีแดงที่จับด้วยละอองน้ำสะท้อนแสงเป็นประกายเหมือนประกายตาสาวที่แจ่มจรัสด้วยพลังและความร่าเริงสดใส  ความรู้สึกเย็นชื่นก็ซาบซึมเข้าไปจับหัวใจผมเสมือนได้ชำระคราบเขม่าดำจากวันอันเลวร้ายเช่นเดียวกัน  โดยที่มันอาจจะไม่เคยรู้หรือสนใจเลยว่า…ผมกำลังชื่นชมมันอยู่  หรือไม่สำหรับมันแล้วผมเองก็อาจจะมีความหมายเป็นแค่แมลงภู่ผึ้งที่มักจะแวะเวียนเข้ามาหมายเชยชมอย่างเช่นแมลงตัวอื่นๆ หรือชนิดอื่นๆ ที่รายล้อมตัวมันเท่านั้นเอง…
                      แต่ไม่หรอก… ผมไม่เคยสักทีที่จะได้ชื่นชมกับความงามของมันเต็มความต้องการ  ทุกครั้งที่ผมก้าวเท้าเข้าไปในร้าน  ผมจะเพียงแค่ยืนมองมันห่างๆ  ไม่  แม่แต่จะเอื้อมมือเข้าไปแตะต้องหรือสูดดมกลิ่นอายเกสรของไม้ดอกสัญลักษณ์แห่งความรักดอกนั้นอย่างเต็มปอดแม้ว่าความต้องการผายในจะรุมเร้ามากเพียงไรก็ตาม  ทำไม…ผมสงสัยในการกระทำของตัวเองไม่น้อยกว่าคนอื่นๆ ที่บังเอิญได้มาล้วงรู้พฤติกรรมของผมเข้า  ผมเฝ้ามองหาคำตอบที่น่าจะเข้าท่ามาบอกกับตัวเองว่าทำไมผมถึงไม่  แม้แต่จะสัมผัสสิ่งที่ผมเฝ้าหลงไหลหมายปองอย่างนั้น   ผมบอกตัวเองว่า  ผมอาจจะหลงไหล แต่ไม่แน่ใจว่าหมายปองมันหรือเปล่า ยิ่งการที่ได้เฝ้าดูมันนั่นทำให้ผมมีความสุขมากเพียงไร   ก็ยิ่งทำให้สัมผัสที่จะเชื่อมความใกล้ชิดของผมกับมันมีโอกาสน้อยลงมากเท่านั้น  นั่นอาจเป็นเพราะผมกลัว…กลัวอะไรนั้นหรือ….คงอาจกลัวว่าหากใครผ่านไปผ่านมาเห็นเข้า อาจจะคิดทึกทักเอาว่าผมเป็นคนโรแมนติกหรืออ่อนไหวเกินกว่าที่ผมควรจะเป็น  หรือบางทีผมอาจจะกลัวอย่างอื่น…อย่างอื่นที่ผมเองก็ไม่เห็นว่าจะสำคัญมากขนาดไหนในการหาเหตุผลว่าทำไม ถึงกลัวแบบนั้น  ที่ผ่านมาก็เพียงแต่ปล่อยให้มันได้ชูช่อต่อเสน่ห์ที่มันมีล้นเหลือให้ไหลล้นออกมาโปรยปรายแก่ผู้ที่ทั้งบังเอิญผ่านมา และตั้งใจที่จะมาพบเห็นอยู่อย่างนั้น  
    ไม่นานนักหลังจากที่ผมเองแวะเวียนเข้าไปชมต้นไม้ดอกใบในร้านนั้นบ่อยเข้า  เจ้าของร้านเองก็พอจะจำผมได้และปล่อยให้ผมได้เดินเข้าออกอย่างเป็นกันเอง แม้ว่าผมเองจะไม่เคยได้อุดหนุนจุนเจือเชื่อต้นไม้ในร้านเลยสักต้นเดียว  พี่เจ้าของร้านปล่อยให้ผมได้เดินไปเดินมาเสมือนว่าเป็นพนักงานคอยดูแลสินค้าที่มีชิวิตของเขาอย่างนั้น  บางทีผมก็ใช้เวลาเดินวนไปวนมาอยู่ในร้านอยู่นาน  แกล้งทำเป็นจับต้นโน้นดูต้นนี้  แวะเวียนอยู่ใกล้ๆ เหมือนพยายามปิดบังความรู้สึกไม่อยากให้ใครมารู้ ใครมาเห็นว่า ผมชื่นชมเจ้ากลีบบางนี่เพียงไรซ้ำยังไม่เคยที่จะเอื้อมมือไปแตะต้องสิ่งที่ผมหลงไหลจริงๆ สักที  แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น  อาการของผมก็คงจะดูออกได้ไม่ยากนักสำหรับเจ้าของร้านที่ประกอบอาชีพด้วยหลักจิตวิทยาและสังเกตสังกาลูกค้าของตัวเองอยู่เป็นนิจ  แน่ล่ะพี่เจ้าของร้านรู้มาตั้งแต่แรกว่า จุดมุ่งหมายเดียวของผมในร้านนี้คืออะไร  แต่ผมก็ไม่เคยกล้าที่จะพูดออกไปตรงๆ แม้ว่าจะมีคนแอบรู้ถึงความรู้สึกที่ผมมีต่อมัน  กลับพยายามปฏิเสธไปทั้งที่ความจริงมันเขียนย้ำลึกอยู่ในใจอย่างนั้น  เมื่อพี่เจ้าของร้าน ยื่นส่งกระบอกฉีดน้ำกระบอกเล็กๆ ให้ผมก็จะตรงไปฉีดรายละอองน้ำเลี้ยงมันให้สดชื่นเสียก่อน  ไม่ว่าผมจะต้องทำอะไรหรือจะไปไหน  การที่ได้ดูแลมันอย่างนั้นดูเหมือนจะไม่เป็นการเดือดร้อนหรือเป็นภาระเลย  ผมไม่เคยเข้าใจมาก่อนว่าการหลงวนอยู่ในความสุขนั้นเป็นอย่างไร จนได้มารู้สึกเข้าด้วยตัวเอง ผมไม่เคยเข้าใจมาก่อนว่าความรักใคร่ลุ่มหลงมันจะบีบทัศนวิสัยของคนเราให้แคบลงได้อย่างที่ใครๆ เขาว่ากันจริงๆ  ซึ่งข้อนั้นผมก็ระลึกอยู่เสมอ แต่ก็ไม่วายที่ทัศนวิสัยของผมมันจะถูกบีบให้เหลือเล็กลงจดจ้องที่มันและความสวยงามของมันจนลืมนึกถึงสิ่งรอบข้าง ภาระนานาทั้งปวงที่ผูกติดก้นเป็นหาง  ลืมมองไปถึงความร้ายกาจของหนามกุหลาบที่อาจทำให้เจ็บปวดแผลไปได้สองสามวันหาก เผลอเอามือไปให้มันตำเข้า  ครั้นเจ้าของร้านลองเอ่ยปากถามผมว่าจะไม่ลองเอากลับไปเลี้ยงเสียที่บ้านเลยหรือ  ผมกลับอ้ำอึ้ง  นึกอะไรไม่ออกตอบไปอย่างไม่มั่นใจว่า "ไม่ดีกว่า"  ไม่ใช่ว่าจะเป็นจากอุปสรรคด้านราคา  จากเวลาที่จะมีให้ จากวิธีการดูแลเอาใจใส่มัน ผมไม่รู้แน่ว่าทำไม่  จะเอาเหตุผลอะไรมาบอกพี่เจ้าของร้านว่าทำไมนะ  ผมถึงไม่ซื้อมันกลับไปเสียที  แต่รู้อยู่อย่างหนึ่งว่า  ผมรู้สึกว่า ปล่อยมันไว้อย่างนี้แล้วคอยมายืนดูชื่นมันอย่างนี้น่าจะดีกว่า  ดีกว่าที่จะได้เป็นเจ้าของมันจริงๆ  พี่เจ้าของร้านแม้จะไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนนักจากผมแต่ก็ไม่ได้ถามไถ่อะไรผมอีก  ได้แต่อมยิ้มแล้วก็ปล่อยให้ผมได้เดินเตร่ไปเตร่มาในร้านอยู่อย่างนั้น
    "มะลิก็ดีนะ  เลี้ยงง่าย"  ก่อนออกจากร้าน พี่เจ้าของร้านเอ่ยปากพูดกับผมเบาๆ ขณะที่ง่วนอยู่กับการตัดแต่งกิ่งต้นไม้อื่นๆ บน ชั้นวางด้านในของร้าน ไม่แม้แต่หันมามอง  ผมก้มลงมองต้นมะลิที่วางอยู่หน้าร้าน  คำพูดนั้นทำให้ผมนึกได้ว่านอกจากเจ้ากุหลาบที่ผมแอบเข้าไปชมความงานอยู่บ่อยๆ แล้ว  ที่ร้านก็ยังจะมีเจ้าต้นมะลิ  มะลิซ้อนทีวางตั้งรับแขกอยู่หน้าร้านแย้มกลีบบานขาวโพลน  ทุกครั้งที่ผ่านมาผมจะต้องเห็นมันก่อนต้นไม้อื่นๆ รู้สึกเหมือนกับว่ามันจะถูกตั้งไว้หน้าร้านเพื่อทักทาย ชูดอกขาวนวลเหมือนกำลังเรียกร้องให้ผมสนใจแวะเข้าไปทักทายมัน  หลายครั้งที่มันส่งกลิ่นหอมเย็นทั่วไปทั้งร้าน  แน่ล่ะการทำเช่นนั้นย่อมที่จะทำให้ลูกค้าทีเข้ามาในร้านอย่างผมต้องรับรู้ถึงการมีอยู่ของมันอยู่บ่อยๆ แม้ว่า จดมุ่งหมายหลักของผมจะไม่ใช่มันก็ตาม  ผมแวะเข้าไปทักทายมันอยู่บ้าง  ทุกครั้งที่ผมเข้าไปเยี่ยมชมดมกลิ่นหามของมัน ดูเหมือนมันจะยิ่งชูช่อแย้มกลีบบานส่งกลิ่นหอมมากขึ้นทุกทีๆ  เหมือนลูกสุนัขที่กระโดดโลดเต้นมีความสุขที่เจ้านายกลับมา  มันดูน่ารัก สีขาวของกลีบดอกสะท้อนความบริสุทธิที่จุไว้เต็มเปี่ยม  เจ้ากุหลาบเสียอีกที่ซ่อนเร้นเล่ห์กลไว้ในกลีบซ้อนแดงของมัน  แต่สำหรับผมแล้วความขาวหอมของเจ้ามะลิ ก็ไม่อาจจะเทียบเสน่ห์อันเร่าร้อนของกลีบแดงสดนั้นได้เลย  แม้ว่าผมจะไม่ได้เข้าไปทักทายเจ้ามะลิบ่อยนัก  แต่ผมก็รู้สึกว่า  เจ้าดอกขาวนั้นช่างขยัน  ขยันที่จะชูช่อส่งกลิ่นมาแตะจมูกผมทุกๆ ครั้งที่ผ่านหน้าร้าน

    จากคุณ : zylo (zylo@hotmail.com) - [ 16 เม.ย. 47 18:11:03 A:203.144.247.90 X: ]