เสียงกริ่งจักรยานกริ๊งกรั๊งบอกเป็นสัญญาณถึงเวลาตื่นตัวในยามเช้า ผู้คนเดินกันขวักไขว่ใส่เสื่อขาวสวนกันไปมาตามทางเดินขนาบด้วยรางดินที่เต็มพรั่งไปด้วยต้นเข็มแตกใบเขียวแซมด้วยพุ่มดอกแดงเรียงเป็นแนวยาว บางคนเดินลัดสนามก้าวตามอิฐก้อนใหญ่คอยระวังสายน้ำจากหัวฉีดรอบๆ เสียงทักทายดังไม่ขาดสาย โต๊ะยาวที่ตั้งเรียงรายใต้ตึกเริ่มถูกเต็มให้เต็มด้วยผู้คน บ้างก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ บ้างจับกีตาร์ร้องเพลง บางคนหลับฟุบต่อเวลาพักผ่อน แม่ค้าพ่อขาย เปิดร้านจัดจานชามถาดกับข้าว เครื่องถ่ายเอกสารเปิดอุ่นเครื่องอีกครั้ง
.มหาวิทยาลัยตื่นแล้ว!!!
จักรยามสีแดงคันเก่าวิ่งไปตามถนนปูนขนานไปกับทางเดินเท้าเกิดเสียงเคร้งคร้างตามมาตลอดทาง ล้อหน้ายางสึกหักเลี้ยววิ่งวนรอบสระขนาดย่อมที่ล้อมรอบด้วยหญ้าเขียว สูดอากาศบริสุทธิ์ก่อนจะวกกลับเข้าทางวิ่งจักรยานอีกครั้ง "กริ๊ง ๆ" เสียงกริ่งจักรยานดังแทรกเสียง เคร้ง คร้างน่ารำคาญ เบรกหน้ากดห้ามล้อจักรยานจอดเทียบหญิงสาวผมสั้นหอบของพะรุงพะรัง "ไปด้วยกันไหม?"
"ว้าย นี่ขี่ดีๆ หน่อยสิแก" เสียงคุ้นหูกับประโยคเดิมๆ เขาไม่ใช่คนที่ขี่จักรยานแย่สักเท่าไหร่ เขาเองจับจักรยานมาตั้งแต่ห้าขวบแล้ว กับแค่ผู้หญิงขาวอวบผมยาวเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังไม่อาจทำให้ศักยภาพในการขับขี่ของเขาลดลงได้ แต่การที่จักรยานสีแดงคันใหม่เอี่ยมที่เศษพลาสติกที่หุ้มตัวรถยังคงติดอยู่ตามซอกมุมของน๊อตตัวเงาที่ขันแน่นทั้งที่ตะกร้าหน้ารถ เบาะหลังและส่วนอื่นๆ วิ่งไปเฉี่ยวเอาพุ่มเข็มข้างทางหรือหักเลี้ยวคดไปคดมาเป็นงูเลื่อย นั่นก็เพียงเพื่อกระเซ้าเพื่อนหญิงที่นั่งอยู่ข้างหลังให้เคืองเล่นเท่านั้นเอง
"ไปทางไหน?" เขาหยุดจักรยานข้างต้นแก้วต้นเตี้ย ที่แตกยอดอ่อนตรงทางสามแพร่ง ข้างหน้าเป็นทางตรงขีดแนวด้วยรางดินปลูกต้นเข็มเช่นเดียวกับตลอดทางที่ผ่านมา อีกทางหนึ่งเป็นทางแยกซ้ายดินลูกรังเชื่อมต่อกับถนนอีกสาย
"ตรงไปเถอะ
ร่มดี
" คำตอบเหมือนเดิมทุกๆ วันที่ทางแยกสามแพร่ง เขาออกแรงถีบจักรยานให้เคลื่อนไปข้างหน้า ผ่านทางแยกซ้ายไป แม้ว่าเขานะคิดว่าทางนั้นมันจะทำให้ถึงอาคารเรียนได้เร็วกว่าเพียงแต่ว่าอาจจะโดนแสงแดดบ้างเท่านั้นเอง
สองปีมาแล้วนานเท่ากับอายุจักรยานสีแดงคันนี้ คันที่มีเบาะหลังสีครีมสวย และไม่เคยว่าง เขาเจียดเงินถอยจักรยานคันใหม่สำหรับสถานที่เรียนใหม่ที่มีอาณาเขตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
จักรยานสักคันคงช่วยเขาแบ่งเบาความเหนื่อยล้าและประหยัดเวลาได้มาก ในการเดินทางจากหอสู่ตึกเรียน หรือแม้แต่ตึกเรียนสู่ตึกเรียน และตั้งแต่วันที่จักรยานคันนี้ได้เปิดเส้นทางสู่โลกใหม่ชายเมืองแห่งนี้ทุกครั้งทีได้ยินเสียงกริ่งจักรยานของเขา จะต้องเห็นเธอนั่งซ้อนอยู่ที่เบาะหลังสีครีมสวย จนชินตาใครต่อใครที่พบเห็น จักรยานคันใหม่ของเขากลายเป็นของเธอไปเสียด้วย ความจริง ใครๆ ที่นี่ก็มีจักรยานกันทั้งนั้น เธอก็คงมีเช่นกัน
ถ้าเธอขี่มันเป็น
ทุกเช้าเขาจะจอดจักรยาน โชว์แสงสะท้อนเงางามที่หน้าหอหญิง คอยรอเธอ หอบหนังสือพะรุงพะรังลงมาจากบันได แล้วทำหน้าที่สารถีพาเธอไปทานข้าวเช้าที่ โรงอาหารของมหาวิทยาลัย หรือบางครั้งที่มีเวลาไม่มากก็จะแวะซื้อแซนด์วิชหรือไส้กรอกที่ซุ้มอาหารชื่อดังข้างทาง ที่แผ่สาขาไปทั่วทุกมหาวิทยาลัย เสร็จแล้วก็ขึ้นเรียนพร้อมกัน เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่า ทั้ง 2 คนนั้นมีตารางเรียนที่เหมือนกัน เกือบทุกวิชา หลังจากวันที่ได้พบกันวันแรกทักทายกันตามประสาเพื่อนใหม่ พบเห็นหน้ากันบ่อยๆ ตามชั้นเรียน เริ่มรับส่งจากคณะไปตึกเรียนตามประสาคนมีน้ำใจ ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ เพราะเวลาว่างช่างตรงกันอย่างบังเอิญ จนรู้สึกว่าทั้งสองจะสนิทสนมกันมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน เธอชอบหยุดแวะซื้อไอศกรีมรสรัมเรซิน ถ้วยใหญ่ที่ร้านระหว่างทาง และเขาจะจอดจักรยานรอเธออยู่ใกล้ๆ บางวันที่แดดร่มลมตกเขาจะพาเธอนั่งซ้อนท้ายเบาะสีครีม ขี่แล่นไปตามถนนที่ทอดยาวเลี้ยววนเป็นทางล้อมรอบกลุ่มตึกใหญ่รับลมเสียทั่วเก็บบรรยากาศของทุกแง่มุมหลืบเหลี่ยมที่ปรากฏอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย หากมีเวลาว่างมากกว่านั้นสักหน่อย ก็จะขี่เลยไปทางประตูหลังผ่านถนนลูกรังขรุขระไปสักระยะ แล้วจอดชื่นชมบรรยากาศของบึงธรรมชาติเล็กๆ ปล่อยให้ความคิดและอารมณ์ได้ล่องลอยไปกับลมเย็นๆ ที่พัดผ่าน ไหลเรื่อยไปตามความทรงจำ บันทึกวันเวลาเป็นเสมือนภาพวาดอยู่ ณ ริมบึงแห่งนั้น ขากลับก็จะแวะทานส้มตำที่ร้านเลื่องชื่อ หลังอาหารเย็นบางวัน ยังนั่งคุยกันจนดึกดื่น สนุกกับการตบยุงท่ามกลางแสงจันทร์ ด้วยต่างคนต่างรู้ดีว่า ช่วงเวลาช่วงหนึ่งของชีวิตมันช่างผ่านไปรวดเร็วนัก 3 หรือ 4 ปี อาจไหลแล่นผ่านหน้าพวกเขาไปเหมือนเพียงแค่ไม่กี่วินาที
"เป็นแฟนกันหรือไง?" เขาส่ายหน้าช้าๆ ไม่พูดอะไร นอกจากหันหลังแล้วเดินจากไป เขาสงสัยกับคำถามที่ประดังเข้าเมาเป็นระรอกๆ เกี่ยวกับเขาและเธอ ทำไม
การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง สนิทสนมกัน จำเป็นจะต้องจำกัดอยู่กับความสัมพันธ์แบบทีใครๆ เขาชอบคิดกันรึเปล่า เขาไม่เข้าใจสมองและปากของกระแสสังคม ที่จำกัดอยู่กับรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งตลอดเวลา
.ช่างเป็นกรอบที่ไร้ค่าฉาบฉวยเสียนี่กระไร เขาพยายามมองหาความละเอียดอ่อนและจริงใจของสังคม แต่ยิ่งใช้เวลาคิดกับมันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกเสียเวลาไปมากเท่านั้น ไม่เหมือนกับเวลาที่ใช้ไปกับเธอ ไม่ว่าจะทำอะไรไร้สาระเพียงไร ใช้เวลาไปมากแค่ไหน ก็ไม่เคยรู้สึกว่าเวลาที่เสียไปเหล่านั้นจะไร้ค่าเลยสักนิด
จนสุดท้ายเรื่องราวที่สังคมกล่าวขานเกี่ยวกับตัวเขากลับกลายเป็นเรื่องตลก คนอื่นจะรู้ไหมนะ ว่าเขาสองคนแม้จะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยเลยที่จะพูดคุยปรึกษาปัญหาส่วนตัวกันเลยสักครั้ง แล้วเธอเองก็มีคนรู้ใจของเธออยู่แล้ว ความจริงแล้ว พวกเขาทั้งสอง ต่างแทบจะไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังภายในใจของกันและกันเลยสักนิดเดียว ไม่มีการเล่า ไม่มีการถาม มีเพียงการคาดเดาไปตามประสา คนที่อยู่ใกล้ชิดเท่านั้นเอง เมื่อใดที่เขาและเธอพบกัน เขาก็จะหันชีวิตอีกด้านหนึ่งมาเพื่อสนุกด้วยกัน พยายามสร้างความทรงจำดีๆ ในช่วงเวลาชีวิตอันสั้นแห่งนี้ด้วยกัน เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่า แบบนี้จะเรียกว่าเขาเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดสำหรับเธอ และเธอเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดสำหรับเขารึเปล่า ไม่มีคำตอบ เพราะสำหรับเขาแล้ว ไม่มีอะไรมาวัดเรื่องราวพวกนี้ได้อย่างจริงจัง เขาไม่อยากมี สมองและปากอย่างกระแสสังคม ที่มักจะตัดสินอะไรด้วย เปลือกนอกฉาบฉวย เรื่องบางอย่างก็ลึกซึ้งเกินกว่า คำอธิบาย หรือ ลึกซึ้งมากกว่า ที่มันแสดงออกมา
จากคุณ :
zylo
- [
18 เม.ย. 47 20:03:26
A:203.113.35.11 X:
]