โลกไม่เคยหยุดหมุน (บทที่ ๗)

    บทที่ ๗
    พระอาทิตย์วันใหม่กำลังก้าวเบียดความมืดของรัตติกาลหมดไป แสงทองสีส้มฉายลอดช่องหน้าต่างเข้ามาตกกระทบสรรพสิ่งภายให้ห้องสี่เหลี่ยม บนเตียงร่างคนสองคนนอนคลุกกันผสานตัวรวมกันคล้ายจะเป็นส่วนหนึ่งของห้องนี้ไปซะแล้ว ไอร้อนค่อย ๆ คืบคลานอาณาเขตไล่จากปลายเท้าจนไปถึงใบหน้า เปลือกตาคู่หนึ่งในห้องกระตุกรับเบา ๆ จนคลี่ออกจากกัน ม่านตาสีคำค่อย ๆ ขยายตัวต้อนรับแสงแรกของวัน นิ้วมือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาขยี้ตาโดยอัตโนมัติ ความขุ่นมั่วเริ่มจางหายไป สภาพแวดล้อมแปลกตาเริ่มชัดเจนขึ้น เพดานห้องสีขาว กำแพงห้อง ฟอนิเจอร์ ตู้เตียงไม่คุ้นตา กวาดตามองไปรอบ ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกตาสำหรับเขาในเช้านี้ สายตาหยุดสะดุดร่างหญิงสาวเปลือยเปล่าที่นอนขนาบข้าง ความทรงจำที่หายไปค่อย ๆ กลับคืนมาประกอบกันทีละนิด


    สักลุกขึ้นจากเตียงเดินโคลงหาเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้น นึกสงสัยว่าต้องใช้แรงเหวียงแค่ไหนถึงจะทำให้ถุงเท้ากระเด็นไปอยู่ตรงประตูห้อง เดินหอบเสื้อผ้าเข้าไปในห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา แต่งตัวกลับสู้สภาพปกติ แม้อาภรชิ้นต่าง ๆ จะอยู่ในสภาพไม่ปกติก็ตาม


    ศีรษะยังคงปวดหนึบ ๆ อยู่เป็นระยะ สักมองภาพสะท้อนตัวเองในกระจก เช้านี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ต้องตื่นมาในบรรยากาศแปลกตา ห้องสีเหลี่ยม เพดาน ห้องน้ำ แปรงสีฟัน ทุกอย่างดูจะเป็นความไม่คุ้นเคยที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง ผละตัวออกจากห้องน้ำด้วยสภาพที่พยายามจะทำให้มันดูดีที่สุด คงถึงเวลาที่ต้องกลับบ้านซะที


    สักเดินมาหยุดนิ่งตรงปลายเตียง แววตาที่สะท้อนออกมาเรียบเฉย ภาพหญิงสาวที่สงบกายอยู่บนเตียงข้างหน้ามันทำให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่างไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา เขานึกย้อนกับประสบการณ์ทำนองเดียวกันนี้ที่เคยพบมา ส่วนใหญ่และทุกครั้งก็ว่าได้เขามักจะหลีกตัวหายไปโดยไม่ได้เอ่ยคำลา แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หัวใจร้อนผ่าวเต้นรัว ศีรษะยังคงปวดหนึบ ๆ เป็นระยะ ทำไมสองขาไม่ยอมก้าวเดินไปในทิศทางที่ควรจะเป็น ทำไมสายตายังคงจดจ้องกับหญิงสาวบนเตียงแทบไม่กระพริบตา ทำไม?


    แสงไล้สีทองทอดอาบร่างแหวนจนเผยรูปลักษณ์ที่ชัดเจน แม้จะไม่ต่างจากเมื่อคืนเท่าไรนักแต่มันก็พอที่จะทำให้สักเห็นผิวพรรณ ส่วนโค้งส่วนเว้าของเธอได้เต็มตา ภาพตรงหน้ามันทำให้สักปล่อยยิ้มออกมาไม่รู้ตัว หรือว่าสิ่งที่เขาต้องการตอนนี้ก็คือการตรึงเวลาของโลกไว้ให้นานแสนนาน เขาอยากให้โลกหยุดหมุน




    ประตูสีขาวปิดตัวลงอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับแรงหมุนของโลกที่เหวี่ยงไปข้างหน้าโดยไม่หยุดยั้ง หลังประตูสีขาวนั้นกลับสู่ความเงียบเหงาอีกครั้ง สิ่งที่เคยเติมเต็มลมหายใจของห้องนั้นได้เดินทางจากไปแล้ว ลมหายใจของแหวนยังอิ่มเอมไปความความสุขกับสิ่งที่ผ่านเข้ามาในค่ำคืน ความสุขและรอยยิ้มยังคงดำเนินต่อไปจนกว่าเธอจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง


    บนถนนกลางกรุงยามเช้าวันเสาร์ การจราจรยังคงเนืองแน่นไปด้วยรถราหลายสัญชาติหลากตระกูล แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันหยุด แต่ว่าปริมาณรถบนถนนยังคงคับคั่งไม่ต่างจากวันธรรมดาในชั่วโมงเร่งด่วนเลยสักนิด


    รถของสักส่ายกระท่อนกระแท่นตั้งแต่ออกมาจากคอนโดต้นทาง ขณะนี้เขากำลังใช้ความพยายามขับรถคลานตามรถคันหน้าช้า ๆ ไม่รู้ว่าเช้านี้ต้องใช้ความอดทนอีกสักเท่าไรกว่าจะหลุดพ้นแถวรถนี้ไปได้ การต่อสู้กับสภาวะแวดล้อมยังคงดำเนินต่อไป การต่อสู้กับภาวะภายในก็หนีไปจากมันไม่ได้ ศีรษะยังคงปวดหนึบ ๆ ไม่หาย


    คันเบรกถูกเหยียบอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเช้านี้สักเหยียบมันไปกี่ครั้งแล้ว แต่ตอนนี้มันก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น รถหยุดล้ออยู่ตรงหน้าประตูอัลลอยสีทอง สักความหารีโมทเปิดประตูอยู่ไม่กี่อึดใจแล้วก็เลิกล้มความพยายามในการค้นหา เขาบีบแตรรถเรียกใครสักคนให้มาเปิดประตูให้ อดทนอยู่ได้สองลมหายใจเขาก็เปิดประตูรถเดินเซลงมาเกาะลูกกรงประตู แสงจ้าบนหัวทำให้ต้องทำเปลือกตาเป็นสระอิ คอชะโงกดูภายในบ้าน มันเงียบสนิทราวกับเป็นบ้านร้าง ในโรงรถมีรถยุโรปจอดนิ่งอยู่สองคัน เขาตะโกนโหวกเหวกเรียกสิ่งมีชีวิตภายในบ้าน อารมณ์ฉุนเฉียวผสานกับอาการปวดหนึบ ๆ ที่ศีรษะมันทำให้เขาตวาดคนรับใช้ที่วิ่งกระหืดกระหอบมาเปิดประตูให้


    “ทำอะไรกันอยู่วะ เรียกตั้งนานแล้วทำไมพึ่งออกมา” สักตวาดเสียงใส่ สิ่งมีชีวิตที่กำลังพยายามทำตัวให้เล็กที่สุด


    “รีบเปิดเร็ว ๆ เข้า” สักเดินกลับไปที่รถ เด็กรับใช้ตีหน้าสลดไม่กล้าโต้ตอบและสบตา เลื่อนประตูเปิดให้อย่างลนลาน


    รถสักค่อย ๆ เคลื่อนตัวผ่านประตูบ้านเข้าไปจอดซ้อนในโรงรถเป็นคันที่สาม


    “เมื่อคืนหายไปไหนมาทั้งคืน” เสียงแหลมคุ้นหูเหวี่ยงกระแทกมาตั้งแต่ยังไม่ทันบิดกุญแจดับเครื่องรถยนต์ สักส่ายศีรษะด้วยความเบื่อหน่ายระคนความปวด หนึบ ๆ ถอนหายใจร่ายยาว


    “เที่ยวเก่งจังนะตาสัก บ้านช่องไม่รู้จักกลับ ดูสินี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้วเพิ่งจะเห็นหัว” บทกวีคุ้นหูร่ายเสียงบาดไปถึงหัวใจ


    สักลงรถปิดประตูปัง เก็บกุญแจรถใส่กระเป๋ากางเกงลายยับ สบตาต้นเสียงหนึ่งแวบแล้วก้มหน้าเดินเข้าไปในตัวบ้าน ทำหูทวนลม


    “แกไม่ต้องเดินหนีแม่เลยนะตาสัก บอกมาสิว่าเมื่อคืนไปไหนมา ไปเมาไปมั่วที่ไหนมาอีก แม่บอกแกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ไปเที่ยว ไม่ให้กินเหล้า โตแล้วนะแก หัดช่วยงานช่วยการที่บ้านบ้างสิ วัน ๆ เอาแต่ออกตะลอน ๆ ไม่มีประโยชน์ โตซะเปล่าไม่มีความคิด ความรับผิดชอบเอาซะเลย” ต้นเสียงกร้าวใส่ด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวขึ้นทุกที


    สักหยุดเดินหันหลังกลับ สีหน้าแววตาของแม่ดูเอาจริงเอาจังเหมือนทุกครั้ง หรือมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาไม่มีความหมายสำหรับเขาเลย เพราะในที่สุดมันก็จะเป็นเพียงแค่เหตุการณ์ในอดีตที่กำลังจะผ่านไป และพร้อมจะเกิดขึ้นได้ใหม่เสมอ




    “ก็กลับมาแล้วไงแม่จะบ่นอะไรอีก หรือว่าจะไม่ให้กลับ” สักย้อนกลับ พยายามกลั่นเสียงเรียบที่สุด แม่สบตาเขาด้วยแววตาคล้ายจะกินเลือดกินเนื้อ สักหันหลังกลับเดินโคลงผ่านห้องรับแขกขึ้นไปชั้นสอง จุดหมายในตอนนี้ก็คือห้องนอน มือข้างซ้ายยกขึ้นมากุมขมับ ไม่รู้ว่าอาการปวดหัวตอนนี้เป็นเพราะฤทธิ์เหล้าเมื่อคืน หรือว่าเพราะเสียงบ่นของแม่




    ประตูลายไม้ปิดตัวลงกลอน หลังประตูเป็นห้องกว้างสี่เหลี่ยม มุมห้องด้านขวาเป็นห้องน้ำหรูส่วนตัว ภายในห้องประดับประดาไปด้วยเครื่องใช้ไม้สอยราคาแพง เครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อดังวางตระหง่านสายตา ถ้าใครได้เห็นชุดเครื่องเสียงสีทมิฬมุมห้องด้านนั้นละก็ อาจจะต้องกลืนน้ำลายด้วยความกระหายอยากจะจับจอบเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ สักกดรีโมทเปิดแอร์คอนดิชั่น มือซ้ายยังคงกุมขมับไม่ปล่อย คิดว่าจะนอนอีกสักงีบ ตื่นมาค่อยหาอะไรไร้สาระทำ เพราะยังไงชีวิตนี้มันก็หมดความหมายไร้สาระมานานแล้ว จะไปยี่หระอะไรกับคำพร่ำบ่นของแม่ เขาทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม แรงกดของร่างกายทำให้สปริงที่ซ่อนอยู่ในเตียงราคาแพงยวบตัวรับแรงกด แล้วสะท้อนแรงกลับมาอย่างนุ่มนวล เปลือกตาเริ่มประกบประสานกัน ความมืดสีดำกำลังไหลลาดเต็มสองตา จิตใจหนักอึ้งเริ่มผ่อนคลายอีกครั้ง อีกไม่กี่อึดใจเขาคงหลับ

    จากคุณ : เรือ่ยเปื่อยไปวันๆ - [ 23 เม.ย. 47 12:39:44 A:203.147.26.45 X:203.147.26.123 ]