~:+:~ หัวใจของเขา ความรักของฉัน ~:+:~

    ทินกฤต คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตฉัน หากต้องขาดเขาไปก็เหมือนกับว่าฉันคงอยู่ในโลกนี้โดยปราศจากลมหายใจ

    เศษเสี้ยวของช่วงเวลาที่หล่นหายไปโดยที่มีเพียงความว่างเปล่าเข้ามาแทนที่ ทำให้ความเจ็บปวดที่ไม่อาจลบเลือน หยุดนิ่งไปโดยที่ฉันไม่เจ็บปวดมากนัก

    แต่ฉันก็ยังคงเฝ้ารอ เฝ้าคอย และมองหาพระอาทิตย์ดวงนั้น “ดวงอาทิตย์ของใจ” ดวงนั้น รอคอยว่าเมื่อไรพระอาทิตย์ดวงนั้นจะมาเปล่งแสงทำให้ชีวิตที่เงียบเหงาของฉันได้สดใสได้ดังก่อนเสียที หรือว่าบางทีอาจไม่มีวันนั้นเลย

    $ - $ ~ : + : ~ $ - $ @ $ - $ ~ : + : ~ $ - $ @ $ - $ ~ : + : ~ $ - $ @ $ - $ ~ : + : ~ $ - $


    “บุษ ๆ ตื่น ๆ ได้เวลาไปทำงานแล้วนะ” เสียงแจ้ว ๆ ดังอยู่ใกล้ ๆ หูพร้อมกับแรงเขย่าอย่างแรงจากท่อนแขน หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองทีละข้างก่อนจะค่อย ๆ หรี่ตาหลบแสงสว่างที่ส่องผ่านเข้ามา

    “ขออีกห้านาทีได้ไหม นู๋นิดหน่อย” พร้อม ๆ กับตวัดผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้า

    “ไม่ได้” เสียงเพื่อนสาวเด็ดขาดก่อนจะดึงผ้าห่มนั้นออก หญิงสาวเลยต้องจำใจลุกเดินเป็นปูโซซัดโซเซไปยังห้องน้ำ แต่แม่เพื่อนสาวก็ยังส่งเสียงแจ๋ว ๆ ของหล่อนมาว่า

    “ยัยบุษ เมื่อวานตอนเรียนประชุม หล่อนเห็นผู้ชายที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ท้างห้องประชุมเปล่า”

    “ครายยยอ่ะ”

    “ก็ไม่รู้ แต่รู้ว่าโคตร หล่อเลย”

    “เหรอ…” บุษบรรณโผล่หัวออกมาจากห้องน้ำทั้ง ๆ ที่ปากยังมีแปรงสีฟันคาอยู่

    “นี่ ๆ ยัยบุษ ไปสีฟันให้เรียบร้อยได้มะยะน่าเกลียด”  พอโดนว่าบุษบรรณจึงหดหัวกลับเข้าไปให้ห้องน้ำเหมือนเดิม

    แล้วเมื่อเธอโผล่ออกมาจากห้องน้ำอีกครั้งพร้อมชุดทำงาน เพื่อนสาวก็นั่งรออยู่ที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือรอท่าอยู่ก่อนแล้วพร้อมกับยิงคำถามมาทันที

    “แล้ว หล่อนจะกลับบ้านเมื่อไหร่ ” นิราวรรณ หรือนิดหน่อยเอ่ยถามเพื่อนสาวที่ทำท่าเหมือนครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยออกมาว่า

    “วันนี้แหละ ชั้นก็ขี้เกียจให้หล่อนเรียกชั้นจนแก้วหูแทบแตก หูชั้นจะหนวกเอา”

    “นี่แม่คู๊ณณณณ ชั้นมันไม่มีดีเลยใช่มะ ไอ้ที่ตะโกนปลุกหล่อนแทบตายก็กลัวว่าหล่อนจะไปทำงานสายอ่ะดิรู้งี้ไม่ปลุกก็ดี แล้วตกลงจะกลับเปล่า”

    “กลับ” คำตอบสั้น แล้วก็จบเพียงแค่นั้น บุษบรรณเป็นคนเช่นนี้นึกอยากจะพูดก็จะพูด บทจะไม่พูดก็จะสั้นจนคนฟังคิดว่าคนพูดไม่เต็มใจจะพูด

    “อือ..เย็นนี้ชั้นจะได้ไม่ต้องรอหล่อน นี่ชั้นลงไปรอด้านล่างนะหิวอ่ะ เดี๋ยวไปกินนมรอที่ห้องอาหารหอนะ” อาการตอบรับแค่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนที่เพื่อนสาวจะเดินออกจากห้องไป

    ผู้ชายคนนั้น ทำไมเธอจะไม่เห็น เพียงแต่เธอแค่เอาความรู้สึกของเธอไปจรดจดจ่อกับใครอีกคน ใครอีกคนที่เธอเห็นแค่เห็นแล้วความรู้สึกเดิม ๆ มันก็เอ่อล้นขึ้นมาจนแทบจะกักเก็บมันไว้ไม่อยู่ ความพยายามที่จะไม่หันไปมอง ไม่หันไปสบตาทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าแววตารุ่มร้อนคู่นั้นมองมายังด้านหลังของเธออยู่เสมอ ๆ ความร้อนรุ่มที่แผดเผาหัวใจและความรู้สึกให้มอดไหม้ ไปด้วย

    ผู้ชายคนที่เคยเป็นดังดวงอาทิตย์ในดวงใจของเธอคนนั้น ผู้ชายคนนั้นที่เคยบอกว่าจะอยู่ด้วยกันไม่ว่าจะเมื่อไร แต่ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ผู้ชายของเธออีกต่อไปแล้ว

    ถ้าไม่เพราะว่าต้องประชุมก็คงไม่มีทางได้พบกัน ไม่มีทางได้เห็นดวงหน้าดุเข้ม ไม่ได้รู้สึกถึงสายตารุ่มร้อนที่ส่งมาเป็นระยะ บุษบรรณ สะบัดหัวคล้ายจะขับไล่ภาพผู้ชายคนนั้นให้ออกจากสมองเธอไป หากแต่เธอรู้เขาสิงสถิตย์อยู่ก้นบึ้งแห่งใจ อยู่ในทุกอณูของความรู้สึก

    “ทำไมเราต้องเลิกกัน” คำถามเรียบสั้นง่ายจากปากของเธอในวันนั้น แม้กระทั่งวันนี้ก็ยังคงไม่มีคำตอบ “ตะวัน”ดวงนั้นสาดส่องแสงไปยังที่ใด

    ถ้าในสักวันหนึ่งข้างหน้า เธอรู้ว่าเธอได้ขาดเขาไปจริง ๆ แล้ว เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าจะมีชีวิตได้เป็นปกติอีกหรือเปล่า หรือว่าโลกใบนี้จะมืดมิดเช่นนั้นไปตลอดกาล

    ความเจ็บปวดยังคงแผ่ซ่านไปทั่วทั้งเนื้อหัวใจเมื่อคิดถึงเรื่องของตะวันดวงนั้น ดวงที่คงไม่มีวันอีกแล้วที่จะเข้ามาสาดส่องแสงให้ชีวิตเธอ หากแต่ในขณะนี้ ตอนนี้ และเวลานี้สิ่งเดียวที่เธอขอ ๆ เพียงได้หายใจด้วยอากาศเดียวกันกับเขาในพื้นแผ่นดินนี้ก็เพียงพอที่จะบรรเทาความเจ็บปวดที่เธอรู้สึก ใกล้แค่เอื้อมแต่ไกลสุดคว้า คือ ตะวันดวงนั้น ทินกฤต

    บุษบรรณวางแบบแปลนตกแต่งบ้าน ลงบนโต๊ะทำงานอย่างเนือย ๆ ต่อมจินตนาการของเธอวันนี้มันไม่ทำงานเอาเสียเลย และงานออกแบบตกแต่งที่ค้างอยู่ก็ยังไม่ก้าวหน้าไปจากเดิมสักเท่าไรนักทั้ง ๆ ที่จะถึงเวลานัดดูแบบกันแล้วแต่เธอก็ยังไม่มีกระจิตกระใจทำงานเอาเสียเลย มองไปทางโต๊ะมุมสุดที่อยู่ห่างจากเธอเพียงแค่กระจกกั้น โต๊ะของผู้ชายคนนั้น ผู้ชายคนที่ไม่ค่อยจะอยู่ออฟฟิศ ผู้ชาย…ที่ดูเหมือนจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งแรงขับเคลื่อนของลมหายใจในชีวิตเธอ

    กาแฟร้อน ๆ ถูกยื่นมาตรงหน้า หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองก็เจอสายตาอบอุ่นของเพื่อนรุ่นพี่ที่เรียนมาด้วยกันจนกระทั่งมาทำงานด้วยกัน ยิ้มสดใสทักทาย

    “หน้าเมื่อยจัง เป็นอะไรเปล่า บุษบาบัณ” เขาแซวเล็กๆ แถมยังเรียกชื่อที่เขาเป็นคนตั้งให้ตอนที่เธอเข้าเป็นนักศึกษาเสียอีก

    “ก็เซ็ง ๆ น่ะพี่อาร์ม”

    “ไมเมื่อวานตอนประชุมก็ไม่เห็นเจ้านายบ่นอะไรเลยนี่หน่า” เจ้าตัวเลิกคิ้วถามแปลกใจ

    “เปล่า ไม่มีไรหรอกพี่อาร์ม อยู่ ๆ ไอ้ต่อมเล็ก ๆ นี่มันก็ไม่ยอมทำงานเสียงั้น” เธอเคาะที่หน้าผากตัวเอง คนฟังหัวเราะเสียงดังก่อนจะเอามือเขย่าหัวเธอเบา ๆ อย่างเอ็นดู

    “ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ เจ้าบุษ ตั้งแต่ตอนเรียนยันตอนนี้ถ้ามีเรื่องต้องคิดทีไรต้องเป็นอย่างนี้เสียทุกที ไง ไปเปลี่ยนอากาศหายใจหน่อยไหม?” ดูเหมือนว่าอรัณย์ หรือพี่อาร์มจะเข้าใจเธอไปเสียทุกอย่าง รองจาก “ตะวันดวงนั้น” ที่เคยเข้าใจเธอ แต่ตะวันดวงนั้นไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด แค่มองตาเขาก็สามารถที่จะเข้าใจได้ เหมือนเราเป็นชิ้นส่วนชิ้นเดียวกันที่ต่างค้นหาเหลี่ยมหามุมที่จะประสานเข้าหากัน แต่วันนี้ เหลี่ยมกับมุมนั้นเดินกันไปคนละทางเสียแล้ว และเธอหวังว่าในสักวันมันคงจะหาเหลี่ยมและมุมของกันและกันเจออีกสักครั้ง แม้ว่าความหวังมันจะเลือนลางเต็มทีก็ตาม

    “พี่อาร์มจะพาไปเหรอ” เธอถามหน้าตาย จนชายหนุ่มที่ยืนยิ้มอยู่ เลิกยิ้มมองนิ่งคล้ายค้นหาอะไรบางอย่างจากสีหน้าเรียบเฉย ตรงหน้า

    “พูดจริงอ่ะ” เขาถามย้ำเสียงเข้มจริงจัง จนหญิงสาวหัวเราะเก้อ ๆ  “ว่าแล้วว่าต้องพูดเล่น คนอย่างเรานะเหร๊อ..จะยอมให้ใครพาไปเที่ยว” แถมด้วยการเอาปากกาเคาะกระโหลกเสียหนึ่งทีก่อนเดินจากไปที่โต๊ะทำงานของเขา

    ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าพี่อาร์มรู้สึกอย่างไรกับเธอ หากแต่เธอรับความรู้สึกนั้นไม่ได้ และไม่มีทางจะรับความรู้สึกนี้จากใครได้อีก และเธอก็บอกเขาไปแล้วด้วย ชายเสื้อสีฟ้าเดินผ่านหน้าโต๊ะเธอไปในระยะประชิดจนหญิงสาวต้องเงยหน้ามองแต่เขาก็เดินไปถึงโต๊ะเขาเสียแล้ว

    “เฮ้ย…ไอ้กฤตวันนี้เอ็งเข้าออฟฟิศได้เหรอวะ ฝนฟ้าถ้าจะตกโว้ย” เสียงพี่อาร์มตะโกนทักหากแต่คนที่เดินหน้าบอกบุญไม่รับไปตอบว่าอะไร

    คิ้วเข้มคู่นั้นขมวดมุ่น และถ้าเดาไม่ผิดแววตาที่เคยอบอุ่นคู่นั้นตอนนี้กำลังวาว ๆ ด้วยความโกรธ เธอรู้เขาโกรธ และกำลังอารมณ์ไม่ดี และอาจจะเพราะเธอคงจะจ้องเขานานไปหน่อย ดวงตาวาว ๆ คู่นั้นก็หันมาสบเข้าพอดิบพอดีทำให้เธอต้องหลบสายตาลงกับแบบแปลนบ้านตรงหน้า

    ชายเสื้อสีฟ้านั้นมาหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานเธอ ทั้ง ๆ ที่เป็นเดือน ๆ แล้วเขาแทบจะไม่ย่างกรายเข้าออฟฟิศ แต่วันนี้เขามาแปลก หญิงสาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นสบตาคนที่มายืนทำหน้าเข้มคิ้วขมวดเป็นเครื่องหมายคำถาม ดวงตาคู่ดุวาบวับคล้ายเก็บกดบางสิ่งบางอย่างอยู่และดูเหมือนว่าจวนจะระเบิดเต็มที หากแต่เจ้าตัวก็พูดเสียงเรียบเข้มว่า

    “ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ”

    “คะ…” บุษบรรณคล้ายจะหูอื้อ เพราะไม่คิดว่าเขาจะเดินเข้ามาหาและพูดจากับเธอ

    “เย็นนี้” ไม่ถือว่าเป็นคำถามหรือคำตอบ แต่เป็นคำสั่งเสียมากกว่าตามนิสัยของเขา แล้วชายเสื้อสีฟ้านั้นก็เดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองโดยไม่รอฟังคำตอบ

    บุษบรรณยังนั่งตาค้างอยู่เกือบอีกสิบนาทีก่อนจะดึงสติตัวเองกลับคืนมา เกือบครบหนึ่งปีแล้วสินะที่เธอกับเขาไม่ได้พูดกันเลยในเรื่องราวระหว่างกัน

    ….ระหว่าเรามีอะไรต้องพูดกันอีกเหรอ… เธอจำประโยคนั้นได้ดี วันที่ฝนตกปรอย ๆ แล้วเขาพูดประโยคนี้กับเธอและเมื่อจบประโยคเขาก็เดินจากไป

    และหลังจากวันนั้นดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ในชีวิตเธอจะหันไปฉายแสง ณ ที่ใดเธอก็ไม่อาจรู้ได้ เพียงแค่รู้สึกว่าเขาคอยหลบหน้า และหลีกเลี่ยงการพบปะในทุกกรณี

    จากคุณ : เปียร์รุส - [ 24 เม.ย. 47 14:31:09 ]