=Chance & Destiny=...Chapter 2...

    ...บางครั้งโชคชะตาก็มักจะนำพาสิ่งดีๆ มาให้เราได้สัมผัส แต่ท้ายสุดเราก็มิอาจจะดื้อดึงได้หากเขาจะมาทวงสิ่งเหล่านั้นคืน.....
    ผมหยุดยั้งมันไม่ได้...สิ่งเดียวที่ผมจะทำได้ก็คือการยอมรับแต่โดยดี...ความรักของผมมีองค์ประกอบหลายอย่างส่วนหนึ่งในนั้นคือ...คำว่าอิสระ ผมจะยอมปลดแขนของตัวเองเพื่อปล่อยให้เธอจากไปอย่างไร้ข้อแม้...เพียงแค่เหตุผลเดียวคือ... ’ผมรักเธอ’...
    ข้าวต้มคำสุดท้ายถูกปล่อยผ่านลำคอไปอย่างฝืนเต็มทน ผมลงนอนบนหมอนใบนุ่ม ก่อนที่พลอยจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ผมจนถึงหน้าอก
    พลอยเป็นผู้หญิงดื้อเงียบ หัวรั้น เธอกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของผมหลังจากที่เธอย้ายมาอยู่ข้างบ้านผมเมื่อสิบสามปีก่อน พลอยอยู่กับพ่อซึ่งเป็นอัมพาตส่วนล่างจึงต้องนั่งรถเข็นตลอด แม่เธอเสียไปเมื่อหลายปีที่แล้ว ก่อนที่เธอจะย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้เสียอีก ส่วนพี่ภูพี่ชายของเธอได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาตรีและโทที่อเมริกา ตอนนี้ก็ทำงานใช้ทุนและทุกๆ เดือนก็จะส่งเงินบางส่วนกลับมาให้พ่อและน้องได้เรียนได้ใช้ พลอยเองก็ไม่ได้อยู่เฉย ทำงานพิเศษที่ร้านอาหารทุกๆ วันเสาร์และอาทิตย์
    ผมกับพลอยเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่ชั้นประถมและมัธยม จนตอนเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่วายต้องมาเจอหน้าในคณะเดียวกันอีก พลอยไม่ใช่ผู้หญิงสวย หน้าตาเรียบๆ แต่น่ารักและมีเสน่ห์ตรงรอยยิ้มซึ่งไม่ค่อยจะมีใครได้เห็นนัก มีหนุ่มมาสนใจเธอตั้งหลายคน แต่ผมก็ไม่เห็นพลอยจะมองใครสักคน มิหนำซ้ำยังโดนล็อกคอเข้าแกงค์กลายมาเป็นเพื่อนซี้กันซะอีก หรือไม่ก็โดนตะเพิดหนีไปไม่ทันก็เท่านั้น
    “พลอยสบายดีใช่มั้ย” ผมเอ่ยถามเธอ เธอจึงลดหนังสือในมือที่บังหน้าของเธอลงเพื่อจะตอบคำถาม
    “อื่ม...เราไม่ได้ใจเสาะเหมือนใครบางคนหรอกน่ะ” ผมรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะพูดเพื่อกระทบรอยแผลของผม แต่มันก็ทำให้ผมพูดไม่ออก
    “เราขอโทษ เรากลับบ้านดีกว่า มีอะไรก็โทรไปแล้วกัน” เธอคว้าชามกระเบื้องแล้วเดินออกไปทันทีไม่ปล่อยให้ผมได้พูดอะไรอีก
    นี่แหละ...คือสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ ต่อหน้าคนอื่นๆ พลอยถูกมองว่าเป็นคนร่าเริง เปิดเผย เฮฮาสนุกสนาน ...แต่เวลาหลายปีที่รู้จักกันมา ทำให้ผมรู้ว่า...เธอไม่ใช่.....
    .........................................................................................................

    ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้ชายที่เคยเข้มแข็งกลับยอมปล่อยให้ผู้หญิงคนเดียวมาลบความเป็นตัวของตัวเองไปซะหมด ฉันภูมิใจทุกครั้งที่ได้ยืนข้างๆ ผู้ชายคนที่ไม่เคยยอมแพ้แม้ว่าจะต้องเจออุปสรรคมากมายแค่ไหน ผู้ชายที่เคยพูดเสมอว่าเขาสามารถปกป้องผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉันได้ทุกเวลาที่ฉันต้องการ...ผู้ชายคนนั้นหายไปไหนแล้ว...
    ฉันเจอเขาครั้งแรกเมื่อฉันย้ายมาอยู่ในบ้านหลังนี้ และก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ จากบ้านติดกัน ก็อยู่ห้องเดียวกัน นั่งโต๊ะติดกัน กลับบ้านด้วยกัน พอขึ้นชั้นมัธยมก็เลือกเรียนโรงเรียนเดียวกัน แผนการเรียน วิทย์ – คณิตเหมือนกัน จนเข้ามหาวิทยาลัยเราก็เรียนที่เดียวกันคณะเดียวกันอีก มันเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญที่ยากจะเชื่อ แต่มันก็เป็นไปแล้ว.....
    น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นลูกคนเดียว เพราะเรนเป็นผู้ชายเงียบๆ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยคุยกับใคร แม้แต่เพื่อนในกลุ่ม เขาก็แทบจะไม่เคยพูดถึงเรื่องในครอบครัวให้ใครได้ยินเลย และแม้แต่ฉันซึ่งมีบ้านอยู่ติดกับเขา ความห่างเพียงแค่รั้วกั้น ฉันก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรบางๆ กั้นระหว่างเขากับฉันอยู่
    เขามีพี่สาวคนหนึ่ง หลังจากที่เธอแต่งงานกับหนุ่มชาวฝรั่งเศสเธอก็ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นกับครอบครัวของสามี เรนจึงต้องดูแลบ้านหลังนี้แต่เพียงผู้เดียว ฉันรู้ว่าเขาเหงา แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจนั้นออกมา
    ฉันพูดได้เลยว่า เขาเป็นคนที่พ่อของฉันไว้ใจมากที่สุด พ่อดูแลฉันไม่ได้มากนักเนื่องจากอาการป่วยของท่านเอง ท่านจึงหาคนที่จะคอยดูแลฉันแทนท่านได้ ซึ่งคนนั้นก็คือ เรน...เรนคนเดิม ไม่ใช่เรนในตอนนี้...

    “เป็นอะไรรึเปล่าลูก เรนเขาโทรมาแหนะ”
    ฉันละสายตาจากดวงดาวบนฟ้าแล้วรับโทรศัพท์ไร้สายจากพ่อ ก่อนจะกรอกเสียงไป
    “ฮัลโหล”
    “มาหาหน่อยสิพลอย” น้ำเสียงแหบพร่าที่ดังมาตามสายทำให้ฉันต้องถอนหายใจเบาๆ และก็โดนเขาจับน้ำเสียงนั้นได้
    “ถ้าลำบากก็ไม่เป็นไรนะ”
    “เดี๋ยวไป...” ฉันวางหูโทรศัพท์ลงบนเครื่องชาร์ทเบาๆ ก่อนจะหันไปสบตาพ่อ
    “มีอะไรเหรอลูก”
    “เดี๋ยวพลอยไปดูเรนเขาหน่อยนะคะพ่อ” พ่อพยักหน้าตอบ ฉันจึงเดินไปหยิบกุญแจบ้านเขา แล้วรีบเดินออกจากบ้านไป
    ..........................................................................................................

    เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่พลอยจะเปิดประตูเข้ามา เธอจ้องผมอยู่นานก่อนจะเอ่ยถาม
    “มีอะไรเหรอ...ทำอะไรอ่ะ”
    พลอยก้าวมาดูของในลังที่ผมค่อยๆ วางมันลงอย่างทะนุถนอม มันเป็นของซึ่งเปรียบเสมือนความทรงจำทั้งหมดระหว่างผมกับเมย์ เพียงแค่เธอได้เห็นสิ่งที่อยู่ในลัง ผมรับรู้ได้ว่าท่าทางของเธอเปลี่ยนไป
    “ฝากของพวกนี้ไว้ที่พลอยหน่อยได้มั้ย เรนไม่อยากทิ้ง” เธอพยักหน้ารับคำเบาๆ ผมจึงค่อยๆ ประคองลังนั้นมาไว้บนเตียง หางตาผมปัดไปเห็นว่าเธอกำลังจ้องผมอยู่
    “เรนร้องไห้เหรอ”
    ผมจึงได้รู้ว่าแม้ผมจะทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ แต่ผมก็ปิดบังดวงตาช้ำของตัวเองไม่ได้อยู่ดี
    “เรนรักเขามากขนาดนั้นเลยเหรอ”
    ผมพูดอะไรไม่ออก ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองคนถาม ได้แต่ก้มมองสองมือของตัวเองราวกับว่ามันจะมีสิ่งวิเศษเกิดขึ้นในนั้น แต่เมื่อผมตัดสินใจขึ้นไปมองหน้าเธอ ผมก็ได้เห็นสิ่งที่ผมนึกไม่ถึง...พลอยร้องไห้...ตั้งแต่รู้จักกันมาพลอยไม่เคยร้องไห้ให้ผมเห็น ก็คงไม่ต่างกับที่ผมไม่เคยให้เธอได้เห็นน้ำตาของผมเลยสักครั้ง...
    “พลอยร้องไห้ทำไม” ผมพูดได้แค่นั้น พลอยปาดน้ำตาที่เปื้อนแก้มออกอย่างลวกๆ ทันทีที่ผมถาม
    “นายชลพรรษที่เราเคยรู้จัก ไม่ใช่คนอ่อนแอแบบนี้ เขาไม่เคยยอมให้อะไรมาทำลายความเข้มแข็งของตัวเอง เขาคนที่เคยช่วยเราไม่ให้ถูกรังแกจนตัวเองหัวแตกก็ไม่เคยกลัว คนที่เคยบอกว่าจะปกป้องเราไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...ผู้ชายคนนั้นไปไหน...ผู้ชายคนนั้นไปไหนแล้ว...”
    หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็นิ่งไปนานก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ทำให้หัวใจของผมหล่นวูบ
    “ถ้าเราตาย...เรนจะร้องให้เรามากขนาดนี้มั้ย”
    น้ำเสียงของเธอสั่นคลอนไม่ต่างอะไรกับหัวใจของผมที่สั่นไหว แม้ว่าเธอจะพยายามกักเก็บน้ำตาไว้แค่ไหน แต่ก็จำต้องปล่อยให้หลุดร่วงลงตรงแก้ม
    “พลอย...” ผมได้แต่เรียกชื่อเธอ คำพูดอื่นๆ มันจุกอยู่ที่คอปลดปล่อยออกไปไม่ได้
    “เราจะกลับแล้ว ของพวกนี้จะเอาคืนเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน”
    สิ้นเสียงประตูล็อก ผมทรุดนั่งลงบนเตียง เหมือนคนไร้เรี่ยวแรง ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมทำให้เธอผิดหวังอยู่มาก ผมเป็นเพื่อนผู้ชายที่เธอสนิทและใกล้ชิดมากที่สุด แต่ผมกลับมองข้ามความรู้สึกของเธอไปอย่างไม่รู้ตัว...
    ..........................................................................................................

    ฉันทานโจ๊กหมูมื้อเช้ากับพ่ออย่างเงียบๆ จนได้ยินพ่อเอ่ยทักคนที่เดินเข้ามาในบ้านทางด้านหลังของฉัน ฉันไม่ได้หันไปมอง เพียงแต่รับผิดชอบโจ๊กในชามตัวเองให้หมด ก่อนจะรีบเดินตามเขาไปขึ้นรถ
    เสียงรถเต่ารุ่นคลาสสิกแผดร้องไปทั่วถนน แต่ภายในรถกลับมีแต่ความเงียบงัน ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับเขา ก็คงไม่ต่างจากเขาที่ไม่มีเรื่องจะคุยกับฉัน พอไปถึงคณะ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปเรียน ฉันเองยอมรับว่าทั้งคาบปล่อยวิชาความรู้ให้หลุดลอยไปซะหมด เขาเองก็คงเหมือนกัน แต่ผิดกันตรงสาเหตุ.....

    “พลอยเป็นไร เหม่อมาตั้งแต่คาบ math แล้ว” บีถามฉันขณะที่พวกเรากำลังนั่งเล่นนั่งคุยกันอยู่ในโรงอาหารใหญ่ของมหาวิทยาลัย
    “เออ...ไอ้เรนก็เหมือนกัน แม่งทำหน้าอย่างกับอกหัก”
    ขาโจ๋ประจำกลุ่ม...นายวุธ...พูดขึ้นทำให้ฉันกับเขาสบตากันโดยบังเอิญ และฉันก็เป็นฝ่ายที่หลบตาก่อน เขาเลือกที่จะนั่งเงียบไม่เอ่ยอธิบายอะไรกับเพื่อนซึ่งยังไม่รู้เรื่องระหว่างเขากับเมย์
    “เรากลับบ้านก่อนนะ” ฉันลุกขึ้นรวบหนังสือที่กระจัดกระจายมารวมเป็นกองเดียวแล้วก็เอามาถือไว้
    “ทำไมรีบกลับล่ะพลอย ไม่กินข้าวด้วยกันก่อน” บีดึงข้อมือฉันไว้หลวมๆ
    “ใช่...ฉันก็ว่าจะชวนไอ้เรนมันเล่นบาสด้วย เมื่อวานก็ผิดนัดข้า ข้ายังไม่คิดบัญชีเลยนะเว้ย” วุธหันมาร่วมวงก่อนจะหันไปทำหน้าพยักเพยิดกับเรน
    “ก็เล่นไปสิ เรากลับของเราเอง”
    ฉันไม่รอให้ใครได้ค้านอีก รีบเดินออกมาจากโรงอาหารทันที แต่เดินไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง รถเต่าสีสวยก็ขับมาเลียบทางที่ฉันเดินอยู่
    “ขึ้นรถสิพลอย กลับเองเดี๋ยวอาพัฒน์เป็นห่วงนะ” เขาตะโกนบอกแข่งกับเสียงรถ มิวายเอาชื่อพ่อมาอ้างอีกแล้ว
    “เรนไปเล่นบาสเถอะ เรากลับเองได้พ่อไม่เป็นห่วงหรอก” ฉันถามเขาเมื่อนึกไปถึงคำชวนของนายวุธเมื่อครู่
    “ไม่ไปอะ ไม่มีอารมณ์”
    ฉันจึงเปิดประตูรถแล้วก้าวขึ้นนั่ง รถออกตัวพ้นประตูมหาวิทยาลัยไป ฉันนั่งอยู่เงียบๆ เบนสายตาออกไปนอกรถเพื่อที่จะหาจุดมองจะได้ไม่ต้องหันไปหาคนข้างๆ อย่างเคยชิน

    “เรนจะไปไหน”
    ฉันเอ่ยถามเขาเมื่อเห็นว่าเส้นทางที่เขาเบนพวงมาลัยไปไม่ใช่ทางที่ขับกลับบ้านเหมือนทุกที
    “สนามหลวง” คำตอบสั้นๆ ของเขาทำให้ฉันขมวดคิ้วเพราะความสงสัย
    “ไปทำไม”
    “ไปนั่งเฉยๆ ไม่ก็ไปนั่งนับต้นมะขามว่ามีกี่ต้น” พอพูดจบก็หันมาฉีกยิ้มให้ฉัน ด้วยรอยยิ้มนี้เองที่ทำให้ฉันอุ่นใจไม่น้อย.....เรนคนเดิมกำลังจะกลับมาแล้ว.....
    ..........................................................................................................

    สายลมที่พัดผ่านแม้จะนำไอร้อนมาปะทะตัว แต่มันก็ทำให้จิตใจของผมที่เคยร้อนรุ่มเย็นลงบ้าง ผมชอบบรรยากาศของที่นี่ เวลาที่ผมเหงาผมมักจะมานั่งใต้ต้นมะขามเพื่อขอร่มเงาจากมันซึ่งมันก็ไม่เคยปฏิเสธผมเหมือนกับคนอื่นๆ เลยสักครั้ง
    ผมมาที่นี่เพราะที่นี่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ถูกทิ้งให้เดียวดาย ผมมีคุณลุงขายว่าวคอยนั่งคุยเป็นเพื่อน มีคุณป้าขายน้ำส้มคอยถามนู่นถามนี่ มีเด็กๆ เข้ามาชวนเล่นชวนคุย และทุกสิ่งที่ก้าวย่างเข้ามาใกล้ผม ก็ทำให้ผมมองโลกใบนี้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น
    ผมเคยคิดว่าสักวันหนึ่งผมจะพาเมย์มาที่นี่ ผมอยากให้เธอได้เห็นว่าอะไรบ้างที่เคียงข้างผมมาในวันที่ผมไม่มีใคร และผมก็อยากจะอวดกับทุกๆ สิ่งที่นี่ ว่าผมไม่ได้อ้างว้างเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว...
    .....แล้วมันก็เป็นแค่ ‘สักวันหนึ่ง’...วันหนึ่งซึ่งไม่เคยมาถึง...แล้วก็จะไม่มาถึง.....

    “เรนเราถามว่านับครบรึยัง”
    ผมสะดุ้งเมื่อเธอกรอกเสียงใส่หูผม เธอคงถามผมหลายครั้งแล้วล่ะ ดีที่เธอไม่โมโหจนลุกเดินหนีผมไปอีกคน
    “นับอะไรเหรอ” ผมถามเธออย่างงงๆ
    “ก็ต้นมะขามไง” ผมหัวเราะออกมาเพราะไม่คิดว่าเธอจะยังจำคำพูดเมื่อครู่ของผมได้
    “ยังเลย พลอยช่วยเรนนับด้วยสิ”
    “ไม่เอาหรอกเราตกเลข...เดี๋ยวเราก็นับ สามสิบแปด สามสิบเก้า เจ็ดสิบหรอก”
    ผมหัวเราะออกมากับการนับเลขของเธอและผมก็เห็นเธอหัวเราะกับคำพูดของตัวเองเหมือนกัน ผมดีใจที่อย่างน้อยๆ ผมก็ทำให้คนข้างๆ ผมตอนนี้หัวเราะออกมาได้ รอยยิ้มของเธอทำให้ผมพองในอก เมื่อวานผมทำให้เธอเสียน้ำตา แต่วันนี้ผมทำให้เธอยิ้มได้ ผมคิดถูกที่ผมพาเธอมาที่นี่ เพราะมันทำให้ผมได้เห็นรอยยิ้มอันมีค่าซึ่งผมไม่ได้เห็นมันมานานแล้ว...
    .....เธอทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อผมมาตลอด แล้วทำไมผมไม่คิดจะทำอะไรเพื่อเธอบ้างนะ.....
    ..........................................................................................................


    ...ขอบคุณทุกที่ติดตามกันนะคะ เจอกันใน Chap.3 ค่ะ...

    จากคุณ : Cookie CO. - [ 27 เม.ย. 47 01:43:00 A:203.113.86.117 X: ]