ความคิดเห็นที่ 1 เดือนกรกฏาคม เมืองไทยเป็นหน้าฝน ตั๋วน่าจะถูกกว่าธรรมดาจริงไหม? คุณคิดผิด เดือนกรกฏาคมทางสวิสฯ เด็กปิดเทอมใหญ่ ฉวยโอกาสขึ้นค่าตั๋วโดยบอกว่าเป็นไฮน์เซซั่น ขึ้นเครื่องจากซูริค สวิสฯ สายการบินไทย ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 1 ชั้นธรรมดา ราคาตั๋วปีนี้รวมทั้งหมด 4848 สวิสฟรังส์ (เอา 30 คูณดูจะได้เงินไทย) สายการบินเอมิเรท ขึ้นเครื่องจากซูริคเช่นเดียวกัน จำนวนคนเท่ากัน แต่ต้องเปลี่ยนเครื่องที่เอมิเรท ค่าตั๋วทั้งหมดราคารวมกัน 3000 สวิสฟรังส์กับอีกนิดหน่อย สายการบินไทย ถ้าขึ้นเครื่องจากมิวนิค เยอรมัน บินตรง จำนวนคนเท่ากัน คือผู้ใหญ่ 2 เด็ก 1 ราคารวมทั้งหมด 3350 สวิสฟรังส์ ทุกปีจะบินมาจากซูริค เพราะอยู่ในสวิสฯ และใช้เวลาเดินทางจากบ้านมาถึงสนามบินแค่ชั่วโมงกว่า ๆ เกือบครื่ง แต่ปีนี้เราต้องขับรถจากสวิสฯไปขึ้นที่มิวนิค ใช้เวลาขับรถแค่สองชั่วโมงครึ่ง เราสามารถประหยัดไปได้ 1498 สวิสฟรังส์ แถมมีบริการฝากรถไว้สนามบินทั้งเดือนด้วย ไม่ใช่แต่นัทตี้คนเดียวที่อยากทำให้เจ้าจำปีสะใจ คนไทยที่มีครอบครัวอยู่ทางนี้ก็คิดเหมือนกัน บางคนตั้ง4 - 5 ปีแล้วไม่เคยได้กลับไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่เลย ไม่ใช่เพราะไม่คิดถึงแผ่นดินเกิด พวกเขาคิดถึงบ้านแต่เรื่องค่าตั๋วนี้พวกเขาไม่มีโอกาสและปัญญาที่จะบินไปมาทุกปีได้อย่างนัทตี้ ค่าเงินทางนี้มันมากกว่าเงินบาทไทยถึง 30 เท่าก็จริงอยู่ แต่ค่าตั๋วใบหนึ่งนั้นพวกเขาสามารถซื้อกินในครอบครัวได้ทั้งเดือน และอย่างประหยัดด้วย บางคนมีลูก2-3 คนนี่ ตายายไม่เคยได้รู้จัก ได้เห็นแต่รูป ลูกโตขึ้นไปโรงเรียน เขาจะมีโอกาสบินไปได้ตอนปิดเทอมใหญ่ ซึ่งปิดเทอมใหญ่นั้นสายการบินทุกสายจะฉวยโอกาสขึ้นราคาค่าตั๋วจากขั้นต่ำ 300 - 500 สวิสฟรังส์ต่อหนึ่งตั๋วอย่างหน้าด้าน ๆ ปีที่แล้วนัทตี้บินไปเมืองไทยช่วงนี้เช่นกัน ซื้อตั๋วการบินไทยบินจากซูริค ราคาตั๋วผู้ใหญ่ 1 คนราคา 1170 สวิสฟรังส์ ปีนี้ตั๋วขึ้นไปที่ 1670 สวิสฟรังส์ ราคาขึ้นไปถึง 500 ฟรังส์ ปีหน้าถ้ายังแพงอยู่ครอบครัวเราจะไม่กลับเมืองไทย บินไปเที่ยวที่อื่นดีกว่า อย่างเช่นที่เครต้า ชายฝั่งทะเลของประเทศกรีก ราคาตั๋วเครื่องบิน + ค่าโรงแรม +ค่าอาหาร +เครื่องดื่มตลอด 24 ชั่วโมงเป็นเวลา 2 อาทิตย์ยังถูกกว่าค่าตั๋วไปกลับเมืองไทยของ 3 คนพ่อแม่ลูกเสียอีก ถ้ายังบริหารงานในระบบเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ อย่างไทยอยู่ รับรองว่ากู่ไม่กลับเหมือนสวิสฯแอร์ คู่แข่งทางการค้าเยอะแยะ แต่ไม่น่ากลัวถ้าใช้หัวพลิกแพลง ไม่ต้องลงทุนจับสลากหางตั๋วหาผู้โดยสารผู้โชคดีหรอก เชยแล้วพี่ เอาแค่ลดราคาลงมาสำหรับครอบครัวคนไทยที่นี่ก็เหลือเฟือแล้ว ราคาค่าโดยสารก็ปรับให้ดูตามอากาศของทางเมืองไทยหน่อย ที่นี่หน้าร้อน เมืองไทยหน้าฝน ราคาตั๋วแพงลิบ ใครจะไปเมืองไทยนั่งรอฝนหายอยู่แต่ในโรงแรมล่ะคุณ ทีเดียวก็เข็ด ต่อให้บริการดีแค่ไหน ทางยุโรปหนาว เมืองไทยอุ่นเล่นน้ำได้ด้วย ก็ดันลดราคาตั๋วซะนี่ ทำไมไม่ขึ้นราคาในช่วงนั้นล่ะ ถ้าการบินไทยทำได้รับรองว่าไม่ใช่แต่บริษัทการบินไทยเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ คนไทยทางนี้ยังได้ไปเยี่ยมบ้านเกิด  เด็กตาดำ ๆ ที่เกิดทางนี้จะได้มีโอกาสเรียนรู้จักแผ่นดินเกิดของแม่มันบ้าง ฝรั่งเองก็ย่อมต้องใช้บริการแน่นอนอยู่แล้ว เพราะราคาสมเหตุสมผลที่ควรจะบินไป ไม่ใช่บินไปเที่ยวแล้วเจอแต่ฝน ฝน ฝน การโรงแรมจะดี ธุรกิจก็จะดี เศรษฐกิจก็จะดี คนในประเทศก็จะยังมีงานทำกันทั้งปี เท่ากับว่าทำ 1 ได้ถึง 10 จะเอาสโลแกนเดิม "รักคุณเท่าฟ้า " หรือว่าสโลแกนใหม่ที่คนไทยทางนี้เขาเตรียมตั้งให้ "เกลียดคุณเท่าฟ้า " ล่ะคิดดูสิ คนไทยเรามันก็รู้ ๆ กันอยู่แล้วว่า รักแรกเกลียดแรง นะคู๊ณ ถ้าไม่ลืมตาขึ้นมาดู ไม่เปิดหูขึ้นมาฟัง เกิดว่าคนไทยแอนตี้คนไทยแล้วอย่ามาโทษกันไม่ได้นะ เราเตือนคุณแล้ว จากคุณ : นัทตี้ - [ 27 เม.ย. 47 20:26:03 A:62.167.48.237 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 แหะๆ คอมฯ ระเบิดนี่เป็นอะไรที่น่ากลัวมากค่ะ เคยนั่งทำงานอยู่ แล้วได้ยินเสียงดังมาก(เครื่องคนอื่น) รู้สึกจะเป็นตัวพาวเวอร์ซัพพลายหรืออะไรนี่แหละค่ะ ที่ระเบิดตู้ม แล้วคอมที่เป็นรุ่นเดียวกันนั้นก็มีอาการ แบบเดียวกันหลายเครื่องเชียวค่ะ ขอให้คุณนัทตี้และครอบครัวเดินทางโดยสวัสดิภาพ และเที่ยวเมืองไทยอย่างมีความสุขนะคะ ว่าแต่ตอนนี้อากาศร้อนน่าดูชมเลยแหละค่ะ แหะๆ จากคุณ : โคอาร่า - [ 27 เม.ย. 47 20:34:54 A:203.156.31.106 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 แก้คำผิด รักแรงเกลียดแรงค่ะ ในกระทู้คราวที่แล้ว คอมฯเสีย เลยไม่ได้ตอบคือ +เจ้าน้อย +สือน้อย +คิมมี่ +จั้นทร์จ๋า +ป้าเอม +ส.สัตยา +น๋อนหนังสือ +Nasa +GTW ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและแสดงความเห็นมันส์ ๆ ไว้ค่ะ ตอนนี้ถ้าเข้ามาอ่านกันอีกก็เขียนลงชื่อกันไว้นะ คอมฯใช้การได้ดีแล้วค่ะ จากคุณ : นัทตี้ - [ 27 เม.ย. 47 20:36:17 A:62.167.48.237 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 เรามีอะไรเหมือนกัน เรื่องกรุ๊ปเลือด แต่ป้าสงสัยว่า ทำไม บี ต้องมีบวกด้วย ถ้าเลือดบวก มันดูไม่น่าพิสมัยนา ป้าเข้าใจอะไร ผิดไปหรือเปล่า อธิบายด้วยนะคะ เรื่องสโลแกน  ถ้าป้ามีสโลแกนชายในฝันแบบนี้ หากี่ชาติถึงจะเจอล่ะเนี่ย ที่หาได้ชาตินี้ ก็โอเคแล้วล่ะ ก็คิดดู บินไปไหนในประเทศ มีแอร์ถูกๆ ไม่สนไม่มองเลย ไม่ใช่ว่าอวดรวย แต่เค้าห่วงสวัสดิภาพในการเดินทางมากกว่า เลยเป็นลูกค้าที่แสนดีของการบินไทยตลอดไปค่ะ จากคุณ : ป้าเอม - [ 27 เม.ย. 47 20:36:40 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เรื่อง High Season เขาคงไม่ได้กำหนดเพราะความรู้สึกของคนบางคนหรอกกระมังครับ :) หน้าฝนในบ้านเรา มักตรงกับ Summer ในประเทศตะวันตก การเดินทางท่องเที่ยว มันมีมากในช่วงนั้นเป็นธรรมดา แวะมาเห็นต่างนิดหน่อย คงไม่ถือสานะครับ จากคุณ : aston27 - [ 27 เม.ย. 47 21:03:03 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อ่า..... แปรรูปแล้วดีขึ้นจริงๆ  เอิ๊กๆ อารมณ์ค้างมาจากราชดำเนินครับ จากคุณ : คนเดินดินกินข้าวแกง - [ 27 เม.ย. 47 21:25:33 ]

ความคิดเห็นที่ 7     เหอะๆ เจ้าจำปี....ไอ้เราก็นึกว่า... จากคุณ : ^.^ (ลันลา) - [ 27 เม.ย. 47 21:48:50 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณ โคอ่าร่า อ้าวเคยเจอเหตุการณ์คอมฯ ระเบิดเหมือนกันเหรอ ขอบคุณค่ะที่อวยพรให้พี่เที่ยวโดยปลอดภัย โปรแกรมมีเยอะมากขึ้นเหนือล่องใต้ ขออย่างเดียวฝนอย่าตกอย่างปีที่แล้วก็แล้วกัน ป้าเอม สวัสดีค่ะ เลือดกรุ๊ปบีบวกเหมือนกันเหรอคะ มันไม่ไม่อะไรหรอกค่ะ คือเป็นกรุ๊ปเลือดเท่านั้นเช่น บี บีโพสิทีฟ บีเนกาทีฟ เวลาผ่าตัดเขาจะต้องหามาให้เราตามกลุ่มเลือด ชื่อของมันก็บอกอยู่แล้วว่าบวก แสดงว่าคนเลือดกรุ๊ปนี้คิดอะไรในทางบวกค่ะ ไม่ได้เกี่ยวกับเลือดบวกอย่างที่เข้าใจกันซึ่งหมายถึงคนที่เป็นกามโรคอะไรนี่หรอกค่ะ เรื่องชายในฝันที่เขียนขึ้นมาเพราะเอาตามลักษณะของสามีมาเขียนให้มันคล้องจองกันเท่านั้น แต่ถือว่าได้สมใจแล้ว และไม่ยกให้ใครด้วยค่ะ ส่วนเรื่องสายการบินไทยนั้นคือ 1. ไม่อยากเสียดุลย์การค้าให้ประเทศอื่น 2.เป็นเครื่องที่บินตรงไม่เสียเวลาไปเปลี่ยนเครื่องเพราะเรามีเด็กมาด้วย 3. ถ้าเกิดเครื่องขัดข้องและลงระหว่างทางก็ยังดีใจที่มีเพื่อนตายเป็นคนชาติเดียวกันปนไปค่อนข้างเยอะ ดีค่ะไม่เหงา แต่เท่าที่บินมาของหลายชาติจะชอบสิงคโปร์แอร์ไลน์มาก แพงกว่าการบินไทยนิดหน่อย แต่ที่ไม่ชอบคือตอนที่ต้องไปนั่งรอที่สิงคโปร์เปลี่ยนเครื่อง จากคุณ : นัทตี้ - [ 27 เม.ย. 47 22:09:57 A:62.167.48.237 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 คุณ aston 27 สวัสดีค่ะ ที่จริงก็ถูกของคุณนะว่าเป็นอย่างที่คุณเขียนบอกมาจริง ๆ แต่ก็อีกล่ะนะที่เราเป็นคนไทยที่อยู่ทางนี้แล้วเราจะอดคิดแบบนี้ไม่ได้ อย่างหน้าร้อนทางนี้ ส่วนใหญ่คนไทยที่นี่อาจจะพาลูกกลับไปเยี่ยมพ่อแม่บ้าง ดิฉันสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าไม่มีใครบินได้ทุกปีเหมือนครอบครัวดิฉัน เพราะว่าถ้าพวกเขาจะพาลูกเที่ยวนี่ พาไปแถบ ๆ ยุโรปเองจะถูกกว่าเมืองไทยตั้งเยอะ และไม่ต้องไปผจญฝนอีกด้วย เมื่อปีที่แล้วไปพักที่พัทยา 10 คืนมีแดดได้เล่นน้ำอยู่วันเดียว นั่งอยู่แต่ในโรงแรม บินไปเชียงใหม่หรือแม่ฮ่องสอนจะไปดูกระเหรี่ยงคอยาวก็ไม่ได้ เพราะมรสุมเข้า แวะไปค้างรีสอร์ทที่เมืองกาญจน์ก็ได้แต่นั่งอยู่ในบังกาโล มันเสียเที่ยวและเสียความรู้สึกน่ะ ที่จริงปีนี้ก็ไม่อยากไป แต่ถ้าไม่ไปมันเหมือนกับมันขาดอะไรไปสักอย่างนะ อธิบายไม่ถูกจริง ๆ เหมือนกับมันเกาไม่ถูกทีคันอะไรอย่างนั้นเลยทีเดียว จากคุณ : นัทตี้ - [ 27 เม.ย. 47 22:21:07 A:62.167.48.237 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 คุณ เดินดินกินข้าวแกง ไอ้ที่คุณอารมณ์ค้างมาจากราชดำเนินนี่มันอะไรล่ะ ไหน ๆ จะเล่าแล้วไม่เห็นบอกให้หมดเลย เกี่ยวกับการไฟฟ้าหรือเปล่า หรือว่า อารมณ์ค้างเพราะมวย เฉลยมาให้คนไกลบ้านรับรู้บ้างสิ  เราก็อยากรู้อยากเห็นเหมือนกันนะ คุณลันลา คิดว่าอะไรคะ แหมอย่าคิดลึกน่า วันนี้เจ้าจำปีจริง ๆ ไม่มีตื้นลึกหนาบาง บังเอิญอารมณ์เสียด้วยเรื่องค่าโดยสารน่ะ อารมณ์คิดถึงเจ้าจำปีของสามีก็เลยพักไว้ก่อน คุณชอบเรื่องเกี่ยวกับจำปีอะไรล่ะ จำปีเด็ก จำปีผู้ใหญ่ จำปีผู้เฒ่า จำปีคนข้างบ้าน หรือว่าจำปีของสัตว์เลี้ยง มีเยอะแยะ บอกมาสิ จะเอาประสบการณ์ส่วนตัวมาเขียนให้อ่านกันเล่น ๆ  ถ้าชอบและไม่คิดว่าเราลามกนะ จากคุณ : นัทตี้ - [ 27 เม.ย. 47 22:29:47 A:62.167.48.237 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วยกับคคห. ๕ ค่ะ ลองคิดเป็นเงินฟรังส์สวิสแล้วจะเปรียบเทียบงงค่ะ พอคูณเป็นเงินยูโรก็ค่อนข้างแพง แต่ก็ไม่ทราบว่าราคาผู้ใหญ่ปกติ จากแฟรงเฟิร์ตไปเมืองไทยที่นี่เท่าไหร่ค่ะ ทราบแต่ว่าราคานักเรียนจะถูกค่ะ แต่ตามปกติ ถ้าใช้สิทธิ์ความเป็นคนไทยซื้อ ก็จะได้ราคาถูกนะคะ คุณนัตตี้ไม่ลองติดต่อพวก Travel Agency ดูล่ะคะ อาจถูกกว่าติดต่อกับการบินไทยโดยตรงนะคะ ยิ่งเดือนนี้ ทาง STA Travel โฆษณาว่า ราคานักเรียนแค่ 420 ยูโรเองค่ะ ซึ่งปกติตั๋วไปกลับรวมภาษีแล้วจะประมาณ 500-600 ยูโรค่ะ เป็นนักเรียนซื้อได้ถูกก็โชคดีไปค่ะ แต่ไม่ต้องไม่ชอบไปหรอกค่ะ ลองซื้อตั๋วจากเมืองไทยมานี่ไปกลับ ยิ่งแพงกว่าจากที่นี่กลับเมืองไทยอีกค่ะ จะเห็นว่าเขาสนับสนุนให้คนกลับบ้าน มากกว่าออกมาเที่ยวต่างประเทศค่ะ จากคุณ : รสา รสา - [ 27 เม.ย. 47 23:48:34 ]

ความคิดเห็นที่ 12             จากคุณ : [:-Ancharee-:] - [ 28 เม.ย. 47 01:10:08 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คุณรสา รสา สบายดีหรือจ๊ะ   ราคาที่พี่ซื้อนี่พี่ได้ไปซื้อที่ ออสเตรีย ถึงได้ราคานี้ เมื่อปีที่แล้วไปกับลูกสองคนเป็นเงิน 1900 ฟรังส์คือประมาณ 57.000 บาทไทย ปีนี้ซื้อจากออสเตรียเช่นกัน เพราะมีการให้อัตราพิเศษกับคนไทย ซึ่งในสวิสฯ ไม่มี พี่ไปทั้งครอบครัวคือพี่ สามี และลูกสาว ถ้าขึ้นเครื่องการบินไทยที่ซูริคโดยได้รับค่าตั๋วพิเศษที่มีให้กับคนไทยจะตกรวมกันทั้งค่าตั๋วและภาษีสนามบินคือ 4848 ฟรังส์นั่นคือ 145.440 บาท หรือ 3030 ยูโร ถ้าซื้อในสวิสฯจะไม่ได้ราคานี้ จำได้ว่าเมื่อปี 98 บินไปรับแม่มาเที่ยวตอนต้นเดือนสิงหาคม ตัวพี่คนเดียวจ่ายไปเป็นเงิน 1750 ฟรังส์ ถ้าถามว่า ทำไมสายการบินของเอมิเรทที่บินไปเมืองไทย ถึงได้ถูกกว่าราคาของการบินไทยที่บินจากซูริริคเหมือนกัน เพียงแค่เปลี่ยนเครื่องที่เอมิเรทเท่านั้น ราคามันถึงได้ถูกกว่าการบินไทยตั้ง 1800 ฟรังส์ (54.000บาท ค่าตั๋วสามคนพ่อแม่ลูก) ถ้าเป็นอย่างนั้นคนไทยที่อยู่ที่ในสวิสฯนี่คงจะต้องเลือกบินของเอมิเรทแน่นอน เพราะถูกกว่า และเอมิเรทไม่ใช่ประเทศที่ยากจนด้วย เพราะเหตุนี้จึงรับรองได้ว่าเครื่องบินของเขาต้องได้รับการตรวจเช็คมาอย่างดีเช่นกัน อีกประการหนึ่งคือถ้าเราบินจากมึ่นเค่น (คนไทยเรียกมันว่ามิวนิคใช่ไหม) ในเยอรมันเราจะได้ค่าตั๋วในราคาที่พี่เองก็ประหลาดใจ จะเทียบให้ดู(จากกระดาษที่เขาให้เรามานะ) เป็นเงินยูโรทั้งหมด และเป็นของสายการบินไทยทั้งคู่ ซูริค  ผู้ใหญ่คนละ 1110 + 50 (ค่าสนามบินต่อคน)         เด็ก           660 + 50 (ค่าสนามบิน)      รวมทั้งหมด    3030  ยูโร (ของปีนี้นะ) มึ่นเค่น   ผู้ใหญ่คนละ  784 ยูโร(รวมค่าสนามบินแล้ว)              เด็ก           544 ยูโร(รวมค่าสนามบินแล้ว)            รวมทั้งหมด  2112 ยูโร    ค่าจอดรถทั้งเดือน     85 ยูโร(สนามบินมึ่นเค่น) ลองเอายอดรวม 3030 - 2112 จะได้ 918 ยูโรเท่ากับประมาณ 1469 สวิสฟรังส์เท่ากับ 44.070 บาทไทย ทีนี่หวังว่าคงเข้าใจว่าทำไมถึงได้ออกมาเขียนเรื่องตั๋วที่ราคาไม่เท่ากันทั้ง ๆ ที่ประเทศก็อยู่ใกล้กัน ถ้าราคาต่างกันไม่มากก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ไม่ใช่พี่บ่นคนเดียว คนอื่นที่เขาจะบินไปเมืองไทยเขาบอกกับพี่เองว่าถ้าอย่างนี้ไปที่อื่นดีกว่า บางคนก็บอกว่าไปสายการบินอื่นดีกว่า ได้ยินคนเขาวิจารณ์กันเรื่องนี้แล้วก็ทำให้เรามีเรื่องที่จะมาเขียน เพราะมันสะกิดใจพี่เองเหมือนกัน อาศัยว่าเราอยู่ใกล้ชายแดนออสเตรีย และ ไม่ห่างจากเยอรมันด้วยมันก็เลยได้เปรียบคนอื่น ไม่ว่าเรื่องซื้อข้าวของกินของใช้ก็เช่นกัน ที่สวิสฯนี้จับอะไรจะแพงกว่าออสเตรียถึง 2 -3 เท่า อย่าหมูสันใน (ฟิเลส)นั้น ราคาที่นี่กิโลละ 49 ฟรังส์เท่ากับ 30.6 ยูโร แต่ไปซื้อฝั่งออสเตรียจะได้ในราคากิโลละ 12.99 ยูโร คิดเอาแล้วกันว่าโหดแค่ไหน ฟังเขาพูด ๆ กันแล้วพี่ก็ชักเห็นด้วยเหมือนกัน ส่วนที่ว่าสนับสนุนให้คนกลับบ้าน พี่ไม่ค่อยเชื่อนักหรอก เอาง่าย ๆ อย่างสงกรานต์ที่ผ่านมา คนต่างจังหวัดก็รอแต่โอกาสนี้กันทั้งนั้นที่จะได้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่พี่น้อง แต่การที่วันจันทร์ทำงาน อังคาร พุธ พฤหัส หยุด ศุกร์ทำงาน มันจะมีสักเท่าไหร่ที่จะสามารถกลับบ้านได้พักผ่อนได้ ทำไมต้องหยุดแบบนั้นแทนที่จะหยุดไปเลยทั้งอาทิตย์และชดเชยวันละครึ่งชัวโมงหรือ สิบห้านาทีเอา ถ้าจะว่าคนออกต่างจังหวัดเยอะ รถไม่มีไป การจราจรติดขัด ทำไมจะต้องให้หยุดเฉพาะวันนี้ ทำไมไม่ให้พวกเขามีสิทธิ์เลือกที่จะหยุดไปเยื่อยมบ้านได้ปีละ 10 วันหรือหนึ่งอาทิตย์ก็ตามแต่มันจะแก้ปัญหากันไปได้ คนเราไม่ใช่โรโบเตอร์นะที่จะทำงานตลอดชีวิตโดยแทบไม่มีเวลาพักผ่อน บางทีก็ไม่ใช่เรื่องของเรานะ แต่มันก็อดไม่ได้อีกนั่นแหละ เฮ้อ กลุ้มแทน จากคุณ : นัทตี้ - [ 28 เม.ย. 47 01:53:20 A:62.167.48.237 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 คุณ ancharee ขอบคุณค่ะที่ส่งดอกไม้ส่งยิ้มมาให้ จากคุณ : นัทตี้ - [ 28 เม.ย. 47 01:56:45 A:62.167.48.237 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 การกำหนดช่วงไฮหรือโลวซีวั่นนี่ น่าจะยึดจากซัมเมอร์ของต่างประเทศเป็นหลักค่ะ (เพราะว่าบ้านเราไม่มีซัมเมอร์) อันนี้คงต้องดูด้วยนะคะว่าต่างประเทศนี่ เขาพักร้อนกันจริงๆ จังๆ มานานแล้ว อย่างบางประเทศนี่ ตามกฎปีหนึ่งจะต้องได้พัก 1 เดือนเลยก็มี บ้านเรายังไม่ถึงขั้นนั้นค่ะ แนะนำให้ติดต่อแทรเวลเอเจนซี่ด้วยเหมือนกัน โดยปกติ คนไทยได้ราคาพิเศษกว่าต่างชาตินะคะ ส่วนที่ว่าทำไมค่าตั๋วสวิสถึงแพง .. คงมาจากหลายอย่างค่ะ ที่แน่ๆ ค่าครองชีพเมืองนี้สูงกว่าประเทศอื่น พี่เองก็บอกว่าโชคดีที่ข้ามไปซื้อของประเทศอื่นได้นี่นา ตรงนี้มีส่วนมากๆ นะคะ หลายๆ คนที่อยู่ชายแดนฝรั่งเศสค่อนมาทางเยอรมัน ก็เลือกบินกลับการบินไทยทางแฟรงค์เฟิร์ตค่ะ เพราะถูกกว่า อาจจะเพราะระยะบินน้อยกว่า แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น แล้วแต่ช่วงค่ะ ที่สังเกตได้ .. ช่วงคริสมาสต์ กลับจากเยอรมันถูกกว่า ช่วงมีนา กลับจากปารีสถูกกว่า อีกอย่าง .. ถ้าคิดจะกลับ แล้วหาตั๋วในระยะกระชั้นชิดนี่ ราคาหน้าตั๋วแพงเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ สามารถโทรถามเขาได้เลยว่ามีโปรโมชั่นช่วงไหนบ้าง รับสมาชิกข่าวสารซีคะ จะได้ทราบล่วงหน้า ที่รสาพูดถึงเขาสนับสนุนให้คนกลับบ้าน แต่พี่ตอบถึงเรื่องสงกรานต์ มองกันคนละประเด็นค่ะ รสาหมายถึงสายการบิน .. ไปสังเกตได้เลยค่ะ ส่วนใหญ่แล้วสายการบินของประเทศปลายทางจะถูกกว่า เช่น บินเยอรมัน-กรุงเทพ โดยทั่วไปราคาหน้าตั๋วปกติของสายการบินไทยจะถูกกว่า ของเยอรมัน หรือบินกรุงเทพ-แอลเอ สายการบินของสหรัฐจะถูกกว่าการบินไทย นอกจากนั้น ที่เจอกับตัวเองตอนยังอยู่ต่างประเทศคือ เวลาโทรไปการบินไทยแล้วบอกเขาว่าจะกลับไปเยี่ยมบ้าน เขาถามเลยค่ะว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า มีราคาพิเศษให้ เอาเป็นว่าเดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ :) (ตอบยาวมาก) จากคุณ : scottie - [ 28 เม.ย. 47 11:27:33 ]

ความคิดเห็นที่ 16 Tomorrow Go ขึ้นราคาอีกแล้วหรือคะเนี่ย ทุกครั้งที่ Mae ja ซื้อตั๋ว(ต่างประเทศ)เนี่ยจะซื้อผ่าน agency ตลอดค่ะไม่เคยซื้อที่สำนักงานของ TG โดยตรงเลย(ยกเว้นครั้งแรกที่ไปเพราะยังอ่อนต่อโลก .. แฮ่ๆๆๆ)เพราะราคาที่โชว์หน้าตั๋วนี่แพงระยับ แต่ถ้าผ่าน agency แล้วเราจะประหยัดได้อีกเยอะเลยค่ะ แต่หลังๆมานี่นอกใจพี่จำปีตลอด ถึงแม้อยากจะสนับสนุนคนไทยด้วยกันก็เถอะ เพราะราคาเมื่อเทียบกับสายการบินอื่นที่เค้าบินตรงไปซูริคเหมือนกันนี่ มันถูกกว่าแถมเครื่องเค้ายังใหม่ กว้าง และสะดวกสบายกว่าเยอะด้วย ก็ได้แต่หวังว่าพี่จำปีจะปรับปรุงตังเองให้ดีขึ้นทั้งด้านตัวเครื่อง และราคาตั๋ว ส่วนเรื่องของการบริการนั้น ม่ายมีความเห็นค่ะเพราะไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องได้รับการบริการอะไรที่เป็นพิเศษให้สมค่าตั๋ว ขึ้นเครื่องเราก็หลับ ตื่นมาเราก็เตรียมลง แค่ขอให้เดินทางให้ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพก็พอ และที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยเจอประสบการณ์ที่แย่ๆจากพนักงานบนเครื่องของพี่จำปีเลย สงสัยคงโชคดี...... ฮิๆๆๆๆ เราก็ไม่รู้ถึงนโยบายของเค้าในการกำหนดค่าตั๋ว ก็เลยดูเหมือนว่าเค้าอยากจะขึ้น-จะลงเมื่อไหร่มันก็เรื่องของเค้า มันก็เลยทำให้เราเริ่มเบื่อและหงุดหงิด แล้วพาลที่จะไม่ใช้บริการของเค้าอีก แต่เอ..... ทำไมเราถึงคิดถึงเรื่องพวกนี้ได้แล้วทำไมเค้าถึงไม่คิดแบบนี้บ้าง หรือเค้าจะคิดไม่ถึง หรือคิดเหมือนกันแต่ไม่สน(หว่ะ).... ฮิๆๆๆๆๆๆ ที่นี่เค้าให้สโลแกนพี่จำปีใหม่ว่า .... การบินไทยรักฝรั่งเท่าฟ้า จากคุณ : Mae ja - [ 28 เม.ย. 47 15:48:27 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศหรอกค่ะ  เคยเดินทางอยู่แต่ในเมืองไทยเท่านั้น สายการบินเจ้าของสโลแกนที่พี่ว่า  ค่าตั๋วแพงอะไรนี่  ก็ยังไม่ว่า  การบริการแย่ (ห่วย) มาก   แค่โทรไปจองตั๋ว  บอกว่าจะขนสัมภาระขนาดใหญ่นิดหน่อยไป  ก็ได้คำตอบที่ไม่ดีกลับมาแล้ว ภาษาที่ได้รับฟังกลับมา  ประมาณว่า ตลาดสด  ไม่ใช่ภาษาของธุรกิจนางฟ้า ครั้งเดียวก็ไม่เคยใช้บริการอีกเลยค่ะ  (แต่แฟนก็ยังไปใช้อีกหลายครั้ง  ไม่เคยประทับใจสักครั้ง) ช่วงหลัง ๆ มานี้   ก็มีสายการบินของคนไทยที่ร่วมลงทุนกับต่างชาติ (ใช่ไหมเอย)   ถือโอกาส (แพงและบริการห่วย) อันงามนี้  มาเสนอราคาให้คนไทยที่ถูกแสนถูก  มายั่วให้น้ำลายหก คนไทยก็พากันนอกใจชาติกันหมดสิคะ  (แต่ตัวเองก็ยังไม่เคยใช้บริการไอ้ที่ถูก ๆ นี้นะคะ) ขอให้พี่เดินทางมาเมืองไทยโดยสวัสดิภาพค่ะ  ต้อนรับกลับสู้ยิ้มสยามค่ะ จากคุณ : วังวน - [ 28 เม.ย. 47 16:45:31 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คุณ scottie ดีใจจัง วันนี้คุณสก็อตตี้ตอบได้ยาว เอาเป็นว่าเรื่องสายการบินไทยที่คุณพูดมาทั้งหมดนั้น พี่ได้ทำตามอย่างที่คุณบอกแล้ว ก่อนทีจะตกลงใจซื้อตั๋ว ส่วนเรื่องที่กลับบ้านนั้นแล้วพี่ไปตอบเรื่องสงกรานต์เพราะไม่ใช่ว่าพี่ไม่ทราบ เพราะทั้งข้อความของรสา นั้นก็ได้เขียนมาอย่างชัดเจนอยู่แล้ว แต่เรามองกันคนละมุม พี่อยากจะยกตัวอย่างใกล้ ๆ ในประเทศเรานี่แหละไม่งั้นพี่จะใช้คำว่า โรโบเตอร์ ทำไม พี่อยู่ทางนี้แน่นอนว่าถ้าคิดเป็นวันทำงานจริง ๆ รวมหยุดวันเสาร์ อาทิตย์ วันสำคัญทางศาสนา วันหยุดพักร้อน วันหยุดคริสมาสต์ ทั้งหมดเท่ากับเราทำงานกันจริง ๆ แค่ประมาณ 7 เดือนครึ่ง พักร้อนได้ 4 อาทิตย์ (3 อาทิตย์เป็นวันหยุดประจำปีหน้าร้อนของบริษัท อีกหนึ่งอาทิตย์ให้เราเลือกหยุดเอาตามความสมัครใจ) วันไหนเป็นวันหยุดที่ตรงกับวันอังคาร พุธ หรือพฤหัสอย่างนี้เขาจะหยุดไปเลยทั้งอาทิตย์แล้วมาทำงานเพิ่มขึ้นวันละ 15 นาทีหรือ 30 นาทีแล้วแต่ โดยที่คนในออฟฟิศจะมีหน้าที่คิดวันหยุดรวมทั้งปีล่วงหน้า แล้วบวกลบคูณหารกันออกมาเลยว่าปีหน้านั้นพวกเรามีลบกันล่วงหน้าสักกี่ชั่วโมง เท่านี้ก็จบ คนไหนที่ทำงานโรงพยาบาล ฯลฯ   ต้องมีหน้าที่ผลัดเปลี่ยนเวลาหยุดกันเอาเอง คนบ้านเราที่เรามาทำงานในกรุงเทพฯ ไม่ใช่มีแต่คนกรุงเทพฯ เท่านั้น คนต่างจังหวัดเด็กหนุ่มสาวก็มากมายที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ พี่ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นนักบุญที่สามารถทำโครงการเอี้ออาทรให้เป็นจริงได้ด้วยตัวคนเดียว แต่อย่างน้อยการที่เราแบ่งปันให้คนเหล่านี้ได้เท่าที่เราสามารถจะให้ได้นั้น มันทำให้เราเข้าใจแรงงานคนชั้นกรรมมาชีพ และรับรู้เรื่องราวของคนเหล่านั้น มันน่าสงสารนะที่คนเหล่านั้นไม่มีโอกาสที่จะได้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่พี่น้อง บางคนก็ทิ้งลูกเล็ก ๆ ไว้ให้คนแก่เลี้ยงกันโดยลำพังอดมื้อกินมื้อ คนที่อยู่ข้างหลังก็ตั้งตาคอย คนที่เป็นความหวังก็ยังเอาตัวไม่รอด มันเป็นความรู้สึกที่หดหู่มาก ๆ พี่ไม่ได้เป็นนักสังคมสงเคราะห์ ไม่ได้ตั้งรับบริจาค ไม่ได้อยากเป็นคุณหญิง แต่พี่ทำของพี่เองโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เรื่องชีวิตของคนพวกนี้ที่พี่ได้ช่วยเหลือเขาไว้ให้รอดพ้นชั่วครู่ ชั่วยามนั้นมีมากมาย และที่ช่วยเหลือโดยให้ที่อยู่ ให้เงินไว้จนกว่าจะหางานใหม่ หรือค่ารักษาพยาบาลจนเขารอดพ้นนั้นก็มีอีกสี่ห้าราย ไม่ใช่นักบุญหรือพระเวสสันดร แต่ใจมันหดหู่และเรามีกำลังที่จะช่วยและเต็มใจจะช่วย ถ้าจะเขียนเป็นหนังสือคงได้หลายเล่มที่เดียว แต่เราจะเอาชีวิตของพวกเขามาเผยแพร่ทำไม ไม่มีประโยชน์ เพราะคนในเมืองไทยยังมีอีกเยอะที่อยู่ในสภาพแบบเดียวกัน มันไม่ได้น่าสนใจสำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่งเลย  สู้เรื่องลามก เรื่องไร้สาระจะน่าสนใจกว่า ถึงได้เคยเขียนไว้ว่าตัวพี่เองนั้นมีสองภาค จะเป็นนางยักษ์ก็ได้ นางฟ้าก็ได้ ในที่นี้พี่อยากเป็นนางมาร เพราะเอาสนุกเข้าว่า ถ้าอ่านเรื่องของพี่บ่อย ๆ จะอ่านบุคคลิกพี่พอออก แต่นั้นเป็นเพียงแค่ไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสามของภาคหนึ่งด้วยซ้ำ ไอ้การที่พี่อยู่เมืองนอกนั้น ดีอยู่แล้วเพราะตัวเองไม่เหมาะสำหรับเมืองไทย ส่วนเรื่องสนับสนุนให้คนไทยกลับไปเยี่ยมบ้านนั้น มันน่าคิดนะ ว่าทำขึ้นมาทำไมนโยบายนี้ ในตัวของนโยบายก็สามารถคิดไปได้ไกลมากตามความคิดของพี่คือ 1. แสดงว่าไม่ค่อยมีคนไทยกลับบ้าน จึงได้ตั้งนโยบายนี้ขึ้นมา (ซึ่งแน่นอน) 2.เกี่ยวกันไปถึงเศรษฐกิจท่องเที่ยว สารพัดเศรษฐกิจ 3.จะโกยเงินเข้าประเทศเข้าคลังไว้มาก ๆ ขนาดเงินของตัวเองที่มีติดธนาคารเมืองไทยนั้น ตอนส่งเข้าง่ายมาก มีการคิดค่าบริการอีกต่างหาก แต่เวลาส่งเงินกลับมาให้ต้องได้รับการเซ็นออกจากธนาคารชาติ มันเงินใครกันจ๊ะ ด้วยระบบนี้คนไทยอย่างพี่นั้นจะไม่ส่งอีกเลยเพราะเซ็ง ให้มันนอนแช่อยู่ค้างปีอย่างนั้นแหละ ไม่เข้าไม่ออก นอกจากค่าประกันชีวิตที่ตัวเองจะส่งไปเป็นรายปีเท่านั้น 4.ถ้าสนับสนุนจริง ๆ ทำไมค่าตั๋วโดยสารถึงแพงกว่าเมืองไทยถึงประมาณ 15.000 บาท ให้ญาติพี่น้องบินมาเยี่ยมเรายังมันเสียกว่าแค่ 33.000 -35000 บาทตั๋วสามเดือนด้วย 5.สายการบินไทยที่สวิสฯไม่ได้ขึ้นอยู่กับสำนักงานใหญ่ โปรดลงมาดูเถอะว่าแม่คุณที่เคานเตอร์นั้นบริการผู้โดยสารอย่างไร ที่เคานเตอร์เขียนไว้ว่า 12.30 น รอแม่งไปเถอะกว่าจะแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จปาเข้าไป 12.50 น หายอยากค่ะ   6.เกือบลืมพี่โทรไปสำนักงานใหญ่ของการบินไทยที่นี่ ราคาแพงมาก เราบอกเขาด้วยว่าเราเป็นคนไทย มีการ์ดการบินไทยด้วย ยังได้ราคาเท่านั้นเลย ไม่มีการลดค่ะ อ้อ แล้วกว่าจะโทรติด วางหูแล้ว โทรใหม่ ทำวนเวียนอยู่หลายรอบ ถือสายรอจนมือจะหงิกก็ยังสายไม่ว่าง ๆ ไม่รู้คุณเธอทั้งหลายนี่ทำอะไรกันอยู่ เซ็งระบบ จากคุณ : นัทตี้ - [ 28 เม.ย. 47 17:02:45 A:62.167.114.87 X: ]

ความคิดเห็นที่ 19 คุณ    Mae ja สบายดีเหรอ ร้อนน่าดูเลยสินะ พี่อ่านความคิดเห็นของคุณเห็นเขียนว่า เสียงดังรบกวนเพราะทุบตึกด้วยนี่ แล้วหาที่อยู่ใหม่ได้หรือยัง มาคุยปัญหากันเรื่องการบินไทยดีกว่า ถ้าซื้อตั๋วการบินไทยจากกรุงเทพฯมา ให้ซื้อที่ตามเอเย่นต์จะดีกว่า ถ้าซื้อจากสวิสฯ ไม่มีอันไหนดีเลย ปีนี้พี่โทรไปสอบถามที่การบินไทยโดยตรง ค่าตั๋วแพงกว่าเอเย่นต์ที่ออสเตรีย และต้องขึ้นรายชื่อสำรองที่นั่งไว้ด้วย ซึ่งเขาให้คำตอบเราไม่ได้ว่าจะได้บินหรือไม่ในวันที่เราต้องการ ซึ่งในขณะเดียวกัน พี่ติดต่อไปที่ออสเตรียราคาตั๋วถูกกว่า และมีที่นั่งที่สามารถที่จะให้เราบินแน่นอน ไม่ต้องมานั่งรอให้กระวนกระวาย อันที่จริงพี่ก็อยากบินไปกับเอมิเรทเหมือนกัน แต่ว่าเป็นโรคแพ้กลิ่นตัว และมีลูกมาด้วย จึงไม่อยากเปลี่ยนเครื่อง แต่ก่อนตอนไม่มีลูกพี่จะนั่งมันทุกสายการบินและเดินทางคนเดียวด้วยตั้งแต่ถูกสุดของสายการบินล็อต(โปแลนด์)  เคแอลเอ็ม(ฮอลแลนด์) บริติสแอร์เวย์ สิงคโปร์แอร์เวย์ แอร์ลังกา สวิสฯแอร์ ไชน่าแอร์ไลน์ ลาวด้า(ออสเตรีย) ตั้งแต่ชั้นธรรมดา จนถึงชั้นบิวสิเนส ที่ประทับใจมาก ๆ คือสิงคโปร์แอร์ไลน์ แอร์ลังกานั่งทีเดียวเข็ด บริติสแอร์เวย์โดนฉกกระเป๋าเงิน ลาวด้าเสียงเครื่องแอร์ดังมาก สวิสฯนี่แอร์สาวไม่ได้มีมารยาทกับหัวดำเท่าไหร่(โครตหยิ่ง แต่ตอนนี้ปีกหักกันเป็นแถว สมน้ำหน้ามัน) ถ้ารักผจญภัยนี่ต้องโปแลนด์ กัปตันฝีมือเยี่ยมมาก ที่ไปคราวนั้นอากาศไม่ดีเลยตกหลุมอากาศมาตลอดเส้นทางการบิน ใจหายกันเป็นแถว กลัวตายเหมือนกันแต่เราไม่มีห่วงผูกคอตอนนั้น พอเครื่องถึงสนามบิน ผู้โดยสารน้ำตาคลอ ตบมือให้กัปตันกันโดยมิได้นัดหมายทั้งลำ ปลื้มค่ะ บริการอย่าพูดถึงขนมปังปาหัวหมาแตกแล้วกัน ที่บอกว่าได้ผจญภัยนั้นเพราะเราต้องค้างที่โรงแรมโนโวเตลหนึ่งคืนเพื่อรอเครื่องวันรุ่งขึ้นที่จะบินไปสวิสฯ เราก็ขึ้นรถเมล์บ้านเค้าไปเที่ยววอร์ซอ สิถามได้ เหล่หนุ่มเล่น การบินไทยพี่ประทับใจตรงที่เราสามารถขนของมาได้เยอะ นอกนั้นก็ไม่มีอะไร อีกอย่าง่คือคนในหมู่บ้านที่พี่อยู่เป็นนักบินของสายการบินไทยเสีย 4 คน บางทีถ้าพี่เขาบินมาทางนี้เราก็ฝากแม่กลับเมืองไทยด้วย โดยไม่ต้องให้พี่ไปส่งหรือน้องสาวบินมารับ (อย่างเมื่อคราวที่แล้ว เขาให้แม่ไปนั่งที่สบาย ๆ นอนไปเลย) จากคุณ : นัทตี้ - [ 28 เม.ย. 47 18:07:40 A:62.167.114.87 X: ]

ความคิดเห็นที่ 20 คุณวังวน หายหน้าไปอยู่ไหนเสียนาน สบายดีหรือคะ ดีใจที่ยังอุตส่าห์มาเขียนความเห็นสู่กันรับรู้ สายการบินไทยภายในประเทศพี่ก็บินบ่อยเวลากลับไปเมืองไทย เส้นทางที่บินประจำคือ ภูเก็ต มันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพี่หรอก แต่ไอ้เรื่องขนของใหญ่หน่อยถึงเบาก็ไม่ให้ชึ้น อย่างคราวหนึ่งพี่จะบินจากนี่ไปเมืองไทยวันที่ 12 ธันวา วันที่ 13 ธันวาเป็นวันเกิดลูกสาว พ่อเค้าได้ซื้อรถตำรวจใช้แบ็ตฯคันใหญ่ แต่ตัวรถนั้นเป็นพลาสติกแข็ง ได้เตรียมห่อไว้ให้เรียบร้อยเพื่อเอาไปให้ลูกเล่นและทิ้งไว้ที่เมืองไทย คันหนึ่งตกเป็นเงินไทยประมาณหมื่นกว่าบาท เราบินกันแค่สองคนแม่ลูก เพราะพ่อเขาห่วงบ้านและสัตว์เลี้ยง พี่ไปที่เคานเตอร์การบินไทยเพื่อขอให้เอาขึ้นให้ด้วย เขาปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย รถมันไม่หนัก คันก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่ และกระเป๋าเดินทางของเราสองคนแม่ลูกก็ไม่มี มีแต่กระเป๋าสะพายที่มีเสื้อนอนและขนมของลูกที่จะ 4 ขวบพรุ่งนี้ พ่อเขาต้องเอารถนั้นกลับบ้านไป หลังจากนั้นสัก3 - 4 วัน ได้รับโทรศัพท์จากคาร์โก้ว่าให้ไปรับของ พ่อเขาส่งมาให้ลูกจนได้โดยส่งทางบริษัทแดนซัส เสียค่าส่งไปประมาณหมื่นห้ามากกว่าค่ารถเสียอีก พี่ไปรับของที่คาร์โก้ ต้องมีการทำใบศุลกากรให้ยุ่งยากอีก มีชิปปิ้งผีมากมาย พี่ไม่ใช้บริการ เดินด้วยตัวพี่เองนี่แหละ แม่งเอ๋ยไปแต่ 9 โมงเช้ายันบ่ายสามยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย ตัดสินใจให้ชิปปิ้งมาทำงานให้เขาเรียก3500 รวมหมด เราก็โอเค ไม่ถึงสี่โมงเย็นดีกระดาษเสร็จแล้ว ทุกโต๊ะที่ไปมีการสอดไส้ด้วยใบแดงหนึ่งใบ ระดับหัวหน้า 2 ใบอย่างต่ำ พี่เดินตามติดหลังชิปปิ้งคนนั้น ได้รู้ได้เห็นเรื่องน่าสำรากแบบนั้นพี่แทบทนไม่ได้ รัฐบาลน่าจะลงไปเก็บเองนะ รับรองว่าได้เงินเข้าคลังวันหนึ่งเป็นแสน ไอ้น้องคนนั้นพาไปเอาของ มีศุลฯคอยดูของที่เราเอาออกมาอยู่หน้าประตูคาร์โก้นั้น เด็กคนนั้นหายเข้าไปข้างในสักพักแล้วออกมาบอกกระซิบพี่ว่า พี่นี่มันของใหม่นี่ยังไม่แกะกล่องเลย ผมว่าเดี๋ยวเจออีก อาจจะเป็นทริคของเขาที่ทำมาหากิน ก็เลยพูดว่าถ้าจะเรียกเงินอีกไม่มีจะให้แล้วนะและของนั้นก็ทิ้งไปเลย เขาบอกว่าเดี๋ยวนะพี่ ว่าแล้วเขาก็เดินไปข้างใน ออกมาตรงที่ตรวจกระดาษ ตรงไปที่ศุลฯ หน้าประตูแล้วกระซิบว่า พี่ ๆ เขาขอ 5000 บาท พี่ส่ายหัวเพราะใกล้อ้วกเต็มที หันหลังกลับไม่เอาแล้ว บอกลูกสาวว่าอย่าเอาเลยนะลูกไว้หม่าม้าซื้อให้ใหม่ ลูกสาวนี่ธรรมดาจะเชื่อฟังไม่ดื้อ เพราะเรารักษาคำพูดกับลูก แต่วันนั้นลูกสาวจะร้องไห้ให้ได้ เขาบอกว่าป่าป๊าส่งมาให้หนู ป่าป๊าจะเสียใจ เขาพูดมีเหตุผลมาก แม่นี้ซึมหันไปบอกกับเด็กคนนั้นว่า โอเค พี่ให้ได้เท่าที่มีในกระเป๋านี่แหละ แต่เป็นเงินฟรังส์สวิสฯและเงินมาร์คเยอรมัน ก็ได้เกือบห้าพันเอาไหม เค้าวิ่งไปอีกรอบแล้วบอกว่าตกลง ของเล่นลูกนั้นกว่าจะออกมาได้เหลือเวลาอีกไม่เกิน 10 นาทีก็ปิดคาร์โก้หมดเวลารับของแล้ว เสียทั้งเงินเสียทั้งเวลา สามีโดนเรียกด่าทางไกลคืนนั้นเลย รถคันนี้ยังอยู่ที่เมืองไทย ลูกแทบไม่ได้เล่นและตอนนี้ก็โตแล้ว แต่เขายังหวงของเขาอยู่ ไม่กล้าจะให้ใครเพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจลูก เรื่องของพี่มันเป็นอย่างนี้แหละกับการบินไทย ขอบอกกล่าวนอกเรื่องถึงรัฐบาลไทยอีกนิดเรื่องการขอวีซ่าให้สามีต่างชาติที่มีภรรยาเป็นคนไทย ถ้าใครในรัฐบาลอ่านเจอก็ให้ไปตรวจที่ตรวจคนเข้าเมือง ทุ่งมหาเมฆ ด้วยเพราะวีซ่าจะไม่ออกให้จนกว่าจะได้รับค่า  "เก๋าเจี๊ยะ" อย่างต่ำ 2500 บาท นี่เป็นรายงานเมื่อปี 1998 ก่อนที่ตัวเองจะทนระบบเมืองไทยไม่ไหวแล้วต้องเนรเทศตัวเองกลับมาสวิสฯ นะจ๊ะ หวังว่า 6 ปีที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ที่นั่นคงปลูกวิลล่า บนที่ดิน 10 ไร่ได้แล้วนะ ใครที่มันทุจริตก็ขอให้มันฉิบหาย จ้ะ จากคุณ : นัทตี้ - [ 28 เม.ย. 47 18:53:46 A:62.167.114.87 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 เฮ้ย พี่นับอายุลูกผิด ตอนนั้นกำลังจะ 3 ขวบจ้ะ ไม่ใช่ 4 ขวบ ลูกเกิดปี 95 เดือนธันวา บินไปปี 98 เดือนธันวาก็พอดี 3 ขวบเนอะ จากคุณ : นัทตี้ - [ 28 เม.ย. 47 19:04:37 A:62.167.114.87 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 สวัสดีตอนเย็นอีกครั้งค่ะพี่ ....สบายดีค่า วันนี้อากาศที่กทม.ของเราสบายจริงๆ ฝนตกตั้งแต่เช้ามืดจนถึงบ่ายๆ แต่ไอ้เสียงทุบข้างๆบ้านนี่ก็ไม่ได้หายไปด้วยนะค่ะ ยังคงทุบ ถอง อยู่ตลอดทั้งๆที่ฝนตก ฟ้าร้องอยู่ยังงั้น..เฮ้อๆๆ แฮ่ๆๆๆ.... ยังไม่ได้ย้ายหรอกค่ะต้องอยู่ที่เดิมไปก่อน เพราะหลายๆเหตุผล แต่เหตุผลที่สำคัญคือ ที่ๆอยู่ตอนนี้มันใกล้ที่ทำงานมากเดินแค่ 5 นาทีก็ถึง พ่อตัวดีเลยงอแงเวลาจะย้ายเพราะขี้เกียจขับรถ ก็เลยบอกเราว่าย้ายก็ได้แต่ขอใกล้ที่ทำงานในระยะเดินได้เหมือนเดิมนะ ที่จริงมันก็มีนะค่ะที่อย่างว่าหนะ แต่คุณเธอไม่ชอบ ติเค้าไปหมดตั้งแต่ เก้าอี้นั่งไม่สบายบ้างหละ ม่านไม่สวยบ้างหละ เครื่องครัวไม่พร้อมบ้างหละ(ตูเป็นคนทำกับข้าว ทำขนมเองไม่เห็นจะบ่นเลยฟะ).... บลาๆๆๆๆ มันก็เลยไม่ได้ย้ายซะที คงต้องรอจนคุณเธอทนไม่ไหวสุดๆก่อนถึงจะย้ายได้ นี่ก็เริ่มบ่นมากขึ้นแล้วค่ะ .... ฮิๆๆๆๆๆ Mae ja หนะเคยบินแค่ TG กะ Swiss ค่ะ ว่าอยากลอง Emirate กะ Singapore เหมือนกันเพราะคุณเธอบอกเครื่องเค้าเจ๋งดี พูดถึงเงินใต้โต๊ะนี่ เป็นอะไรที่ Mae ja ไม่ชอบมากๆๆๆๆๆๆเหมือนกัน รวมทั้งการทุจริตด้วย แต่ดูเหมือนว่าคนในสมัยนี้เค้ามองว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว มันน่ากลัวมากนะคะสำหรับความคิดแบบนี้ ความคิดคนที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลามันเกิดขึ้นได้เสมอเรายอมรับได้ แต่ไอ้ความคิดที่ยอมรับว่าการกระทำไม่ซื่อมันเป็นสิ่งธรรมดานี่ยังไงก็ทำใจยอมรับลำบากค่ะ แต่ดูมันจะลามไปในทุกๆระบบ ทุกๆสังคมแล้ว ..... ใครมันทุจริตแม้แต่เพียงนิด ขอให้ชิบหาย ... สาธุ จากคุณ : Mae ja - [ 28 เม.ย. 47 20:08:05 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อ่ธโห  คิดเป็นเงินไทยมันก็มากโขนะ งั้นตาตาย ปู่ย่า ญาติๆ คงได้เห็นแต่รูปกันหละ แพงม๊ากค่ะ จับใจทีเดียว จากคุณ : ต้นอ้อ - [ 28 เม.ย. 47 21:02:40 A:203.113.61.103 X: ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณ แม่จ๋า  น่าเห็นใจที่เจอคนช่างบ่น ก็ปล่อยให้เขาบ่นไปเดี๋ยวเหนื่อยก็หยุดไปเองแหละ มันก็น่าอารมณ์บ่จอยหรอก เรื่องที่สาปแช่งไว้ว่าใครทุจริตขอให้ฉิบหาย นี่ก็มาจากคุณเธอแหละ ที่เขียนมาบอกพี่ว่าในหลวงท่านทรงตรัสไว้แบบนั้น ขอให้เป็นตามปากท่านก็แล้วกัน เจ้าประคู๊ณ เมืองไทยจะได้น่าอยู่ น่าเที่ยวขึ้นเยอะ ใจพี่เองก็อยากกลับบ้าน แต่ตอนนี้ลูกไม่ยอมกลับด้วย เขาติดเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันแต่อนุบาล เมื่อวานนี้ต้องรีบขับรถพาไปโรงพยาบาล เขาเล่นฟุตบอลกับเพื่อนแล้ววิ่งไปตกหลุม ขาแพลงจนบวมปวดมาก หมอเอ็กเรย์ว่ายังโชคดีแค่เส้นเอ็นฉีกเกือบขาดและกระดูกไม่หัก แต่เบี้ยวผิดรูป ตอนนี้เขาพันผ้าที่ขา ถือไม้เท้าสองข้าง แหมเดินโชว์ใหญ่  ชอบอวดว่าตัวเองเจ็บมาก น่าสงสาร อ้อนพ่ออ้อนแม่ดีนัก คุณ ต้นอ้อ สวัสดีค่ะ เออคิดเป็นเงินไทยมันเยอะนะสิ ถึงได้บอกเขียนให้ฟังว่าคนไทยที่มีครอบครัวที่นี่ ถ้าไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านอย่าคิดว่าเขาไม่รักบ้าน ไม่อยากกลับไป แค่ค่าตั๋วใบเดียวนี่เขาซื้อกินกันได้ทั้งครอบครัวทั้งเดือนและอย่างประหยัด คนไหนที่สามีทำงานคนเดียวและมีหน้าทีการงานที่ไม่ดีนักก็หมายถึงว่าไม่มีโอกาสเลย ยิ่งมีลูกสักสองคนขึ้นนี่ก็ตายายได้เห็นแต่รูปพอ คนไทยที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่คนรวย แต่คนไทยเราที่อยู่ทางโน้นคิดกันไปเอง เนื่องจากว่าค่าเงินทางนี้มากกว่าไทยถึง 30 เท่า(1ฟรังส์เท่ากับ 30 บาท) มีบางคนที่มีลูกอยู่เมืองไทย ตัวเองก็ได้สามีไม่ดีนักก็ต้องทนอยู่กันไปเพื่อลูกทางเมืองไทย เพราะตัวเองไม่มีอาชีพอะไร สามีให้เท่าไหร่ก็ต้องเอา พอหรือไม่พอก็ต้องพอ น่าสงสารเหมือนกัน คำพูดที่คนทางนี้จะทักทายกันทุกครั้งคือ กลับเมืองไทยหรือเปล่าปีนี้? ถ้าเราบอกว่ากลับเขาจะทำหน้าดีใจ ถ้าเกิดบังเอิญว่าเขาได้กลับบ้านในปีนั้นด้วย และจะทำหน้าเศร้าและบอกว่าไม่มีเงิน ปีหน้าค่อยกลับ รอไปเถอะปีหน้าบางคนก็ยังไม่ได้กลับ มีหลายคนที่รู้จักทักทายกัน จะมีตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปจนถึง 7 ปีที่ไม่เคยได้ไปเหยียบแผ่นดินไทยเลย จนลูกบางคนโตเป็นหนุ่มสาวอยู่กับยายกับน้า หน้าแม่ไม่เคยได้เห็นมานานหลายปี ได้ยินกันแต่เสียง ได้เห็นกันแต่รูป น่าเศร้าใจค่ะ จากคุณ : นัทตี้ - [ 28 เม.ย. 47 21:56:36 A:62.167.202.46 X: ]

ความคิดเห็นที่ 25 มาอ่านทั้งกระทู้ของคุณนัทตี้ และอ่านความเห็นต่างๆ ที่ผู้อ่านมาแจม เป็นกระทู้หนึ่งที่อ่านแล้วรู้สึกถึงความเป็นกันเอง และจริงใจต่อกันหลายๆ เหมือนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ขนาดเจ้าแม่บรรทัดเดียวอย่างคุณ scottie  ยังร่ายไปตั้ง 37 บรรทัดแนะ (ผิดอิมเมจมาก อิอิ) สนุกดีครับ จากคุณ : GTW - [ 28 เม.ย. 47 22:42:12 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เรื่อง Travel Agency ตั๋วถูก พี่ลองติดต่อคุณลลิล เคอห์เล่อร์ ที่ STA Travel เมือง Kassel ดูนะคะ เวลาทำการ จันทร์, อังคาร , พฤหัส, ศุกร์ 10:00-13:00, 14:00-18:00 พุธ , เสาร์  10:00-13:00 Tel : +49-5622-4646, +49-5622-5677 จากคุณ : รสา รสา - [ 28 เม.ย. 47 23:28:38 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คุณ GTW สวัสดี่ค่ะอาจารย์ กระทู้ที่เขียนขึ้นมาคราวนี้ไม่ค่อยสนุกสนานเท่าไหร่ ค่อนข้างเครียดด้วยซ้ำ แต่มันเหลืออดเหมือนกัน และได้ฟังคนไทยทางนี้ที่เขาพากันพูดเรื่องตั๋วแพงกว่าปีที่แล้วอย่างมหาโหด มันก็ใช่นะที่พวกเราต้องการแห่กลับบ้านกันในช่วงเดือนกรกฏาคมกัน เพราะว่าเด็กปิดเทอมใหญ่ ที่สวิสฯนี่ปิดประมาณเกือบ 5 อาทิตย์ ส่วนออสเตรียรู้สึกจะ 10 อาทิตย์นะ ถ้าเราไม่บินกันช่วงนี้ก็มีอีกทีคือช่วงวันที่ 26 กันยาถึง 17 ตุลาปีนี้ซึ่งเด็กที่สวิสฯปิดใบไม้ร่วง ตั๋วจะแพงอีกที และอีกครั้งคือช่วงวันที่ 22 ธันวา ถึง 2 มกราปีหน้า มันจะเป็นอย่างนี้ทุกทีที่เด็กหยุด ช่วงที่ตั๋วราคาถูกนี่เด็กจะไม่ปิดเทอม ส่วนใหญ่คนทางนี้ที่ไม่มีลูกก็จะบินไปกันได้ แต่เด็กไทยลูกครึ่งทางนี้มีค่อนข้างเยอะที่ไม่รู้จักเมืองไทยเลย เนี่ยแหละที่ดิฉันว่าฉวยโอกาสเอากับเด็ก ๆ คราวนี้ก็แปลกใจเหมือนกันที่เห็นคุณ สก็อตตี้ เขียนความเห็นมาเสียยาวเชียว  แต่ยังไรก็ดีใจนะเพราะเธอให้ความเห็นมาด้วยความจริงใจที่จะพยายามช่วยหาตั๋วและบอกประสบการณ์ที่เธอได้รับมาซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ได้อ่านเช่นกัน หรือคุณรสา หรือทุกคนที่เล่ามาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ดีใจค่ะที่ให้ความจริงใจกัน และแนะนำกัน เขียนมาเถอะ เราอาจจะมองกันคนละมุม เราอาจคิดกันคนละแบบ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่โกรธกัน ขอให้เขียนมาเล่าสู่กันและกันให้รับรู้เท่านี้ก็พอใจแล้ว จากคุณ : นัทตี้ - [ 29 เม.ย. 47 00:09:36 A:62.167.202.46 X: ]

ความคิดเห็นที่ 28 คุณ่รสา รสา ขอบคุณมากค่ะที่หาเอเย่นต์ที่เยอรมันมาให้ ตอนนี้พี่สั่งจองไปแล้วโดยไปขึ้นที่มึ่นเค่น แต่เบอร์โทรและชื่อที่น้องให้มานั้นพี่ขอก็อปปี้ไว้แล้วกัน เผื่อว่าจะมีคนไทยคนไหนที่นี่สนใจตั๋วถูก พี่จะได้บอกเขาไป น้องก็ได้ทานเมตตา พี่คนบอกต่อก็พลอยได้ด้วย ถ้าช่วยเหลือกันเป็นธุระให้แบบนี้มันก็น่าชื่นใจ ที่ยังมีคนไทยไกลบ้านคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ต้องขอบคุณอีกครั้งทั้งคุณรสา รสา และคุณ สก็อตตี้ค่ะที่แนะนำมา จากคุณ : นัทตี้ - [ 29 เม.ย. 47 01:40:14 A:62.167.202.46 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 ตอนนี้ เราเซ็ง จิงๆ เลยคุณนัท ฮือๆๆๆ # .  # จากคุณ : น้าสือสาว - [ 29 เม.ย. 47 10:47:54 A:210.86.188.69 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 คุณ น้าสือ มาเที่ยวสวิสฯ ไหมน้าสือ จะได้ดอดไปเยี่ยม รสา รสา ด้วย ตอนนี้อากาศกำลังดี มาอยู่สัก 2 - 3 เดือน แล้วเราค่อยบินกลับเมืองไทยด้วยกัน ถ้าจะมาบอกนะบ้านเรามีที่พัก มีกะปิ น้ำปลา พริกป่น ปลาร้าก็มี (ปลาร้าป่นหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์  เหม็นเหมือนอาหารไก่เลย) หน้าบ้านมีทะเลสาบเล็ก ๆ มองเห็นภูเขาอยู่รอบทั้งสี่ทิศ ตอนนี้กำลังมีดอกไม้ออกเต็มไปหมด ว๊าว มาไหม? เราจะพาไปดูเป็ด ดูห่าน มันพาลูกเล็ก ๆ ว่ายน้ำ เดินตามกันเป็นพรวน หลังบ้านเรามีธารน้ำเล็ก ๆ เราจะพาน้าสือลงเรือยางพายล่องกันไปเรื่อย ๆ เรามีจักรยานสำรองไว้ให้น้าสือด้วยจะพาน้าสือขี่ชมวิว ชมดอกไม้ ถ้าไม่ชอบจักรยานเราจะพาน้าสือเดินไปในเมืองไปช็อปปิ้งกัน ถือไอศครีมถือเลียกันคนละแท่ง ถือใส่กรอกย่างกินกันไปชมหนุ่มกันไป ดีไหม น้าสืออยากทำอะไรล่ะ มีให้ทำหมดที่นี่ มาเที่ยวแก้เซ็งสักพักให้สบายใจ จะได้มีอารมณ์รื่นเริงเขียนอะไรสนุก ๆ ให้พวกเราอ่าน เอ แต่ว่าน้าสือเกิดปีเสือ ปีหมู ปีมะเส็งหรือเปล่า ถ้าใช่แสดงว่าน้าสือเป็นปีชงกับปีนี้นะ  ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เราเจอมาแล้วเราปีเสือ เมื่อต้นปีเราเซ็งมาก ๆ ได้แต่นอนวันละ 18 ชั่วโมง(รวมกลางวันกลางคืน) เหนื่อยมาก ๆ ไม่รู้ว่าเหนื่อยอะไร กินทุกอย่างที่ขวางหน้า การบ้านก็ไม่อยากทำ สามีสะกิดก็ให้เขาเปิดวีซีดีและทำให้เราดู มันก็หายเซ็งได้เหมือนกัน ลืมบ่อย ๆ โมโหบ่อย ๆ หน้าหงิกทั้งวัน ปวดหัวจากต้นคอทุกวันซึ่งอาการแบบนี้เราไม่เคยเป็น สามีพาไปหาหมอ หมอบอกว่าเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ให้ยามากิน 3 เดือนตอนนี้เราหายดีแล้ว กลับมาร่าเริงได้เหมือนเดิม แม่งแต่ตอนนี้หัวสมองดีแล้ว กลับมาบวมที่ข้อเท้านี่สิ สงสัยเจอผ่าแน่นอน ยังรอผลอยู่ ลูกสาวเกิดปีกุล ปีนี้แม่นี่เนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลมากกว่าทุกปี โดยเฉพาะตามขา เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาเขาเล่นฟุตบอลวิ่งอีท่าไหนไม่รู้ขาพลิกเส้นเอ็นที่ข้อเท้าฉีก กระดูกงอแต่ไม่หัก ต้องถือไม้เท้าอยู่นี่แหละ แมวเราเกิดปีมะเส็ง อายุเขาเพิ่งจะเต็ม 3 ขวบปีนี้แหละ ทุกทีเขาจะร่าเริง เอานก หนู ผีเสื้อ ปลา งู ถุงเท้าเก่า ๆ ของใครไม่รู้มาเป็นของฝากแม่อยู่บ่อย ๆ เมื่อสักสี่ห้าวันก่อนหน้าลูกสาว เขาจะซึม นอนทั้งวัน ข้าวน้ำไม่กิน ไอศครีมที่เคยชอบก็ไม่เอา สามีต้องพาไปหาหมอ หมอบอกว่าเขามีไข้สูง ต้องเปิดหน้าต่างห่มผ้าให้ (เราจะรู้ได้ว่าเขาหนาวเวลาเขาขดตัวเข้าหากันมาก ๆ )ให้ยามากิน เราต้องป้อนยาให้เขา เขาก็ยอมกินโดยดี แต่อาหารยังไม่ยอมกิน ซื้อปลามาทอดแกะก้างให้ก็ยังไม่เอา(ทุกทีกินอาหารสำเร็จมีทุกรส) น้ำก็ไม่กิน นี่เพิ่งออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์แต่ดูว่ายังเพลียอยู่ สามีโทรศัพท์ไปถามหมอแล้ว หมอนัดให้น้ำเกลือบ่ายนี้แหละ เขาแย่มากจนต้องนอนโรงพยาบาลนะ อ้อ ลืมบอกไป เราไม่ถือว่าเขาเป็นแมวนะ เราถือว่าเขาเป็นลูก เป็นน้องของลูกสาว ตัวเขาก็ลูกสาวคนเล็ก ถ้าน้าสือได้เห็นเขาจะต้องแปลกใจว่าแมวอย่างนี้มีด้วยเหรอ ความสามารถเขาจะเยอะมาก พูดด้วยก็รู้เรื่องและไม่ดื้อ ข้ามถนนก็เป็นมองซ้ายมองขวา จะเอาอะไรก็บอกได้ ไม่เคยร้องให้รำคาญใจ ถ้าเขาจะเอาอะไร แล้วเรายังติดธุระอยู่เขาก็จะนั่งรอด้วยความอดทน ถ้าเราลืมแล้วยังนั่งอยู่เขาจะมาดึงถุงเท้าเราด้วยปากให้เราเดินตามเขาจะนำหน้าไปก่อน ถ้าตื่นสายจะปลุก ถ้ายังไม่ตื่นอีกจะเปิดประตูเข้ามาเรียกถึงเตียง โอ๊ย เขาน่ารักมาก บรรยายความน่ารักและความดีของเขาไม่หมด สามีเกือบจะไม่มาเมืองไทยด้วยเพราะห่วงเขาว่าจะเหงาที่ทิ้งให้อยู่กับคนแก่(พ่อสามี) เรียกว่าโชคดีที่เราหาคนมาดูแลเขา ตัดหญ้า ทำความสะอาดให้เราระหว่างที่กลับเมืองไทยด้วย ถึงเราต้องจ้างคนแต่เราก็สบายใจ ถ้ายังมีห่วงอยู่มันก็เที่ยวไม่สนุก แต่ก่อนเราไม่เคยชอบแมวเพราะเรากลัวเป็นหืด(ยายบอก) แต่ตั้งแต่เราเพิ่งมาเลี้ยงแมวได้ไม่กี่ปีนี้ที่นี่เราก็รักแมวมาก เขาเป็นตัวที่ 5 ตัวอื่นตายหมดเพราะหายโดยไร้ร่องรอย 2 ตัวเราก็ตามหา โทรศัพท์ถามบ้านสัตว์เผื่อใครเจอ ลงหนังสือพิมพ์ประกาศหาก็ลง อีกตัวถูกรถชนจนท่อนล่างพิการ และหมอช่วยไม่ได้ ต้องฉีดยาให้เขาตายไป ลูกสาวร้องไห้โฮเลย อีกตัวก็โดนรถชนตายคาที่เราต้องไปเก็บซากเขามาทำศพ ลูกสาวร้องไห้เสียใจอยู่หลายวัน พ่อแม่ก็ซึม จนตัวนี้แหละที่เขาเคยถูกรถเฉี่ยวแต่ได้บทเรียนมาว่าข้ามถนนต้องดูซ้ายขวา ทุกตัวเป็นลายเสือหมด ลายใหญ่ ๆ เป็นเหมือนเป้ายิงปืนวน ๆ อยู่ข้างตัวเขา ครอบครัวเราเป็นพวกรักเดียวใจเดียว มีมติเป็นเอกฉันท์คือจะเอาแต่แมวลายเสือที่เหมือนตัวเก่าเท่านั้น ชื่อก็ตั้งให้เหมือนตัวเก่าที่ตายไป ถ้าน้าสือเซ็งมากหาหมา หาแมวมาเลี้ยงบ้างสิ ต้องเลี้ยงแต่เล็ก ๆ เรายังเคยเอานมเราให้เขาดูดเลย เขาก็ดูดนะแต่ไม่มีน้ำนมหรอก(ตอนเอาเขามาจากแม่ใหม่ ๆ ) ถ้าเขาง่วงนอนแล้วลูกสาวนั่งอยู่เขาจะขึ้นมานั่งบนตัก เอาหน้าไปดันมือลูกสาวแล้วเอาหน้าควานหาจนเจอนิ้ว จะชอบดูดนิ้วก้อยลูกสาวจนหลับคาตัก ถ้าเรานอนอยู่เขาจะขึ้นมานอนใกล้ ๆ ตรงหน้าอก ควานหาหัวนม ถ้าเปิดเสื้อให้ปั๊บจะอ้าปากรอส่ายหน้าเข้าไปหาเหมือนให้ลูกกินนมเลย แถมหลับคานมนั่นแหละ พอโตขึ้นหน่อยจะไม่ให้ดูดนมเราแล้วเพราะเริ่มงับนมเล่น เราต้องเอานิ้วตบที่แก้มเขาเบา ๆ เขาจะรู้และไม่งับอีกต่อไป เหมือนเด็กอ่อน ๆ เลยล่ะ ถ้ายังไม่อยากเลี้ยงสัตว์แก้เซ็ง โทรมาก่อนก็ได้ ถ้าโทรจากเมืองไทยก็ 0041/79-5019319 (มือถือ)ถ้าจะมาเราจะไปรับที่สนามบิน มาสิแก้เซ็ง จากคุณ : นัทตี้ - [ 29 เม.ย. 47 14:00:47 A:62.167.59.213 X: ]

ความคิดเห็นที่ 31 อ้าว...สาวน้อยขาเจ็บไปซะแล้ว ขอให้หายเร็วๆนะจ๊ะ โชคดีนะคะที่กระดูกกระเดี้ยวไม่เป็นไรด้วย แต่แหมมีลูกคอยมาอ้อนอยู่ข้างๆนี่มันเป็นความสุขอย่างหนึ่งนะคะ แม่จ๋าหนะคอยแต่ว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะมีบ้าง ก็คงต้องคอยต่อไปจนกว่างานของพ่อตัวดีจะซาลง ก็หวังว่าจะเป็นช่วง 3 เดือนข้างหน้าโน่น อ้าว.... งั้นตกลงคราวนี้ สาวน้อยจะได้กลับมาด้วยเปล่าคะ ยิ่งติดๆเพื่อนอยู่ แฮ่ๆๆๆๆ..... ไอ้เรื่องบ่นนี่ อันที่จริงมันตรงกันข้ามค่ะ แม่จ๋าเป็นตัวขี้บ่นมากกว่า ฮิๆๆๆๆๆ...... แต่ส่วนมากเรามักจะถกเถียงกันซะมากกว่า ฟังดูน่ากลัวแต่ที่จริงน่าจะใช้คำว่าถกก็พอ เราถกกันทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องการเมือง สดๆร้อนๆเมื่อคืนจากข่าวความรุนแรงทางภาคใต้(เค้าฟัง พูด อ่าน และเขียนไทยได้ เก่งพอๆกับเด็กประถมต้น ฮิๆๆๆ แต่ไม่ยอมที่จะใช้เลยค่ะ) เค้าพูดขึ้นมาเลยว่า they were Thai as well อ้าว..... สวยซิ พูดแบบนี้เหมือนจะมาหาว่าที่พวกตำวจ ทหาร ทำนี่ไม่ได้คิดว่าเค้าเป็นคนไทยด้วยหรือไง ทนไม่ไหวค่ะก็เลยตอกกลับไปว่า พวกฉันหนะไม่เคยมีความคิดเลวๆที่ว่าพวกเค้าไม่ใช่คนไทยอยู่ในสมองพวกฉันเลยนะยะ เราคิดเสมอว่า พวกเราเกิดมาภายใต้ร่มเงาของพระเจ้าอยู่หัวองค์เดียวกัน เป็นคนไทยเท่าเทียมกัน แต่ลองไปถามพวกเค้าดูซิ ว่าเค้าเคยคิดบ้างไหมว่าเค้าก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง ไม่ใช่เอาแต่แทนตัวเองว่า คนมุสลิม ไม่พูดไม่ใช้แม้แต่ภาษาไทย เผาโรงเรียนที่สอนภาษาไทย ฆ่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ใช่และไม่ใช่ทั้งตำรวจ ทหาร ฆ่าได้แม้พระสงฆ์องค์เจ้า .... บลาๆๆๆๆๆๆ ..... เราพล่ามเสร็จ พ่อตัวดีเงียบไปเลย..... ฮิๆๆๆๆๆๆ เห็นไหมคะว่าใครขี้บ่นกว่ากัน จากคุณ : Mae ja - [ 29 เม.ย. 47 14:15:46 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ลืมตอบเรื่องการไปเอาของออกที่กรมศุลกากร ดอนเมือง เพื่อน ๆ หลายคนที่กลับบ้าน ใช้บริการส่งของทางเครื่องบินที่เรียกว่า Cargo และต้องไปรับของที่นั่น บางคนฉลาดหน่อย ยอมเสียเงินให้บริษัทเอกชนไปรับของให้ จ่ายไปสามพันห้าแลกกับการเสียเวลาและสบายใจ ให้บริษัทเอกชนไปดำเนินการ และเรารอรับของที่บริษัท อย่างเดียว แต่ก็มีบางคนไปเอาออกเอง จนถึงกับส่งจดหมายเวียนแฉพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐฯ ที่รับใต้โต๊ะ รวมทั้งพวกนายหน้าที่พวกเราเรียกพวกนี้ว่า เหลือบดอนเมืองด้วย เหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมานี้เอง แสดงว่าขบวนการนี้ยังดำเนินการอยู่มาตั้งแต่สมัยที่พี่เล่า จนปัจจุบัน ถ้าสนใจเรื่องนี้ ไว้ว่าง ๆ จะหาจดหมายเวียนนั้นมาแปะบอกให้อ่านกันค่ะ ที่สำคัญกลัวแต่ว่าเงินที่รับใต้โต๊ะ รวมทั้งเงินที่เรียกเพิ่มเป็นค่าภาษีของนำเข้า จะไม่ได้เข้ารัฐฯ เต็มเม็ดเต็มหน่วยน่ะสิ อย่างที่พี่นัตตี้บอกไป ใครที่มีส่วนรับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของรัฐฯ อ่านตรงนี้แล้ว ควรรีบดำเนินการจัดการโดยด่วน หรือว่าพวกท่านไม่เดือดร้อนอะไร เพราะพวกท่านสามารถใช้เส้นสายเอาของออกได้สะดวก แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 47 15:33:30 จากคุณ : รสา รสา - [ 29 เม.ย. 47 15:31:33 ]

ความคิดเห็นที่ 33 คุณ   Mae ja พี่ดีใจนะที่ชอบถกกัน ถกทุกอย่างนะมันดีจ้ะ สนับสนุนให้ถก เป็นการแสดงให้เห็นว่าเรายังเป็นคนที่เขารักอยู่ ไม่งั้นจะถกบ่อย ๆ หรือจริงไหม เรื่องข่าวภาคใต้เมื่อวานเพิ่งมาแพร่ภาพโทรทัศน์ทางนี้นะ หลังจากที่เมืองไทยมีปัญหาภาคใต้มาตั้งหลายเดือน ทางนี้ยังไม่รู้กันเลย แต่เมื่อวานนี้แหละเอามาออกข่าว พี่อ่านข่าวหนังสือพิมพ์บ้านเราในเน็ตฯ และรู้มานานแล้ว เขียนกลอนด่าไว้ตั้งยาว แต่เขาตัดของพี่ตอนด่าออกหมดเลย ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม มันไม่ใช่คำหยาบนะ แต่แสบและรุนแรงพอควร พี่เองก็เหมือนแม่จ๋าแหละ ไม่ใช่เราต่อต้านศาสนานะ เพราะพ่อพี่เองก็คนจังหวัดยะลา ซึ่งในหมู่บ้านที่พ่ออยู่นั้นเป็นอิสลามเสีย 99 เปอร์เซ็นต์ พี่ก็เคยไปเขาก็น่ารักกันดี รู้จักกันไปหมด เพื่อนพี่ที่เมืองไทยก็มีอิสลามเยอะ เราก็รักกันดี เนี่ยที่แม่จ๋าตอบสามีไปมันก็ถูกเพราะเราเป็นคนไทย พี่จะยกตัวอย่างให้ดู ลองหันไปดูทุกประเทศในโลกขณะนี้สิว่าที่เกิดสงครามกันขึ้นมาเพราะใคร ส่วนใหญ่มาจากชาวมุสลิม เขาจะงมงายกับเรือ่งศาสนามาก มีการฝังหัวโดยไม่ดูว่าโลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว ไม่มีการยอมรับในศาสนาอื่น ผู้หญิงในศาสนานี้ไม่ได้มีค่าต่างไปจากสัตว์หรือสิ่งของ ยิ่งหันไปดูทางอัฟริกาจะยิ่งแย่ใหญ่ ทางเมืองไทยเรียกว่ายังดี เพราะมุสลิมบ้านเราบางคนมีการศึกษา แต่สังเกตดูเถิดว่า ส่วนใหญ่คนมุสลิมนั้นจะไม่ค่อยนิยมให้ลูกเล่าเรียนหนังสือ เพราะเหตุที่ปกครองง่ายถ้าไม่รู้อะไรเสียเลย เป็นการปิดหูปิดตาและฝังอดีตเก่า ๆ ป้อนเข้าหัวได้ง่ายกว่ามีการศึกษา คนมุสลิมที่มีการศึกษาสูง ๆ จะคิดไปอีกอย่างหนึ่ง มีความเป็นมุสลิมอยู่จริง แต่ความคิดอ่านของเขาจะเอาเหตุผลและรู้ผิดรู้ชอบด้วยตัวเขาเองถึง 90 เปอร์เซ็น คนมุสลิมรุ่นใหม่นี้จะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ด้วยความสุขเพราะสามารถปรับตัวได้ตามสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนไป ทางยุโรปนี้พวกตุรกี อัลบาเนียน หรือแม้แต่ยูโก หรือจากอัฟริกา อิรัค อิหร่าน ที่หนีภัยมาอยู่ทางนี้ พวกนี้จะทำตัวเหมือนไม่แคร์กฏหมายของที่นี่ พวกเขาไม่รู้จักคำว่า เข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตาม ตอนนี้ทางฝรั่งเศส สวิสฯ เยอรมันเริ่มออกกฏมาแล้วว่า ไม่ให้คลุมหัวเข้าห้องเรียน อันที่จริงเด็ก ๆ เองนั้นก็ไม่อยากจะคลุมหัว คลุมตัวด้วยผ้ายาว ๆ เป็นกระโปรงอยู่แล้ว เพราะมันทำอะไรไม่ถนัด แต่เสียพ่อแม่ไม่ได้ คือพ่อแม่บังคับลูกให้ทำ ลูกก็ต้องทำ ทั้ง ๆ ที่เด็กบางคนนั้นเกิดที่นี่ เรียนที่นี่ และพูดภาษาทางนี้ได้ดีกว่าภาษาพ่อแม่ตัวเองด้วย ที่รัฐบาลเขาออกกฏมาแบบนี้ไม่ใช่ว่าต้องการต่อต้านศาสนาอิสลาม เขาให้สิทธิ์ทุกอย่างเหมือนเด็กที่นี่ทีเดียว แต่ว่าเขามองการณ์ไกลว่าเด็กพวกนี้อีกหน่อยก็จะมีปัญหาเรื่องความแตกต่าง เขาต้องการให้เด็กพวกนี้เติบโตมาอย่างมีความรับผิดชอบในตัวเองและผู้อื่น เพราะยังไง ๆ ก็ตามเด็กพวกนี้คงไม่กลับไปประเทศของพ่อแม่ตัวเองหรอก เพื่อนพี่คนหนึ่งเขาอพยพครอบครัวกลับไปบ้านเกิด แต่ลูกเขาสองคนเป็นหนุ่มกันหมดแล้วไม่ยอมตามกลับไปด้วย นอกจากจะไปเยี่ยมพ่อแม่บางครั้ง และบางครั้งพ่อแม่เขามาบ่นให้พี่ฟัง พี่ไม่ได้พูดอะไรเพราะเราคิดไม่เหมือนกัน ไม่อยากทำให้ผิดใจกันด้วยเรื่องนี้ แต่ลูกเขาเองนั้นบอกกับพี่ว่าเขาจะอยู่ที่นี่ไปจนตาย เขารักพ่อแม่ก็จริงแต่อนาคตเป็นของเขา พี่เห็นด้วยกับความเห็นของลูกเขานะ เด็กนั่นเขามีงานการทำ มีแฟนเป็นสาวสวิสฯ พ่อแม่กีดกันมากเลย พยายามจะหาเมียมาให้จากทางโน้น เขาก็บ่ายเบี่ยงเรื่อยมา ที่พี่เขียนมานี่พี่อยากเล่าให้แม่จ๋าฟังเฉย ๆ ว่าพี่รู้สึกและคิดอย่างไร ถึงพี่จะพยายามคิดเป็นกลาง แต่บอกตรง ๆ ว่าตอนนี้หัวพี่นี่เปลี่ยนความรู้สึกเป็นลบไปได้เพราะเหตุการณ์ทางใต้ของไทย เขาคงคิดกันเหมือนกับเพื่อนพี่ที่พยายามยุยงลูกชายทุกวิถีทาง ถึงมันจะไม่คล้ายคลึงกันเท่าไหร่ แต่ว่าลักษณะที่ฝังในหัวคือแบบเดียวกัน เพื่อนชาวมุสลิมที่เล่นกันอยู่ทางหน้าจอโปรดรับรู้ด้วยว่านัทตี้ไม่ได้แอนตี้ศาสนาของคุณ หรือตัวคุณ แต่นัทตี้กับแม่จ๋าเราไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่รักชาติกันบ้างเลย จะไปอยู่ที่ไหน ๆ ก็ไม่เหมือนเมืองไทยนะ หนาวก็หนาว ทำงานก็เหนื่อย ต่อให้มีปริญญามาด้วยทางนี้เขาไม่ยอมรับปริญญาของคุณหรอก โน่นต้องไปทำความสะอาด หรือทำโรงงาน เงินเดือนออกมาแค่ประทังชีวิตแทบไม่รอด ผักหญ้าอะไรนี่อย่าได้หยิบหรือเด็ดของเขาซี้ซั๊วเขาจับเอา ปลามีไว้ให้ดูเขาไม่ให้จับ ทำอะไรนิดก็ไม่ได้หน่อยก็ไม่ได้ แล้วพวกหัวดำอย่างเรากว่าที่เขาจะไว้ใจยอมคบเป็นมิตรด้วยไม่ใช่แค่ภายในวันสองวัน ใช้เวลาพิสูจน์กันเป็นปี ๆ ถ้าคุณไม่มีจะกินหิวโหยจะไปขอคนอื่นเขานั้นเขาก็ไม่ช่วยคุณ มันลำบากใจนะ ถ้าคิดจะมาอยู่ทางนี้ตอนนี้ค่อนข้างยาก เพราะรัฐบาลและประชากรของเขาก็เอือมระอาพวกเรฟูจี ไม่รับเข้าประเทศแล้ว ดีไม่ดีก็อาจตายกลายเป็นผีไม่มีญาติยิ่งกว่าหมาตัวหนึ่ง เกิดบนแผ่นดินไทย รักแผ่นดินไทยเถอะ ดีกว่าที่ไหนทั้งหมด จะไปแบ่งแยกกันทำไม และถ้าเราแบ่งแผ่นดินให้พวกคุณไปแล้ว คิดดีแล้วเหรอว่าจะหาเลี้ยงตัวเองรอด? คิดผิดคิดใหม่นะ แล้วแผ่นดินไทยไม่เคยที่จะตัดริดรอนสิทธิ์หรือขัดขวางศาสนาของพวกคุณเลย มาดูที่นี่สิห้ามตั้งมัสยิด ต้องหาเช่าตึกเพื่อทำละหมาดกันแทนมัสยิด ศักดิ์ศรีอย่าถามถึง ไม่เหลือแม้แต่นิด เขาต่อต้านพวกคุณทุกวิถีทางด้วยซ้ำ เอาไปคิดกันดูเป็นการบ้าน รักดอกจึงบอกมา จากคุณ : นัทตี้ - [ 29 เม.ย. 47 15:38:25 A:62.167.59.213 X: ]

ความคิดเห็นที่ 34 คุณรสา รสา อ้าวเหตุการณ์แบบนี้ยังมีอยู่บนแผ่นดินไทยอีกเหรอ เอามาแปะเลยน้อง จะได้อ่านและรับรู้กันทั่ว ๆ พี่ว่าเปิดกระทู้ใหม่แปะไม่ดีกว่าเหรอ เพราะวันเสาร์อาทิตย์คนเขาอยู่บ้านกัน บางทีอาจจะเปิดเน็ตดู จะได้ให้ออกความเห็นกันเข้ามา หรือจะแปะที่นีก็ได้ไม่มีปัญหา แต่พี่เกรงว่ากระทู้ของพี่มันเลื่อนลงมาอยู่ด้านล่าง ๆ แล้วละสิ กลัวไม่มีคนเลื่อนมาดู หรืออาจเป็นอย่างที่รสา เขียนมาว่า พวกเขาคงอาจไม่สนใจเพราะพวกเขาไม่เดือดร้อน มีพวกคอยเอาออกให้ อย่างนี้ เออเราจุดธูปแช่งกันดีไหม เลวมาก ๆ เลย จากคุณ : นัทตี้ - [ 29 เม.ย. 47 15:52:21 A:62.167.59.213 X: ]

ความคิดเห็นที่ 35 เรื่องค่อนข้างยาวค่ะพี่ ขอโพสต์ในนี้แล้วกันนะคะ จดหมายเวียนส่งมาเมื่อต้นเดือนกันยายนปีที่แล้วค่ะ ขอสงวนชื่อผู้เกี่ยวข้องและใช้นามสมมติไว้นะคะ ------------------------------------------ ถึง พี่ ส. ครับ ผมขอเล่าเรื่องรับของจากคลังสินค้าของสนามบินดอนเมือง (Cargo) เป็นข้อ ๆ ตามนี้นะครับ 1. ผมเอารถเข้าไปรับของเองที่ คลังสินค้า ของการบินไทย ซึ่งมีอยู่สองคลังติดกันกับหน่วยงานศุลกากร 2. หลังจากของส่งมาถึงเมืองไทย เราต้องเสียค่าบริการการจัดเก็บสินค้า (ผมจ่ายไป 400 กว่าบาท ซึ่งคำนวณจากของหนัก 175 กิโล) แต่ถ้าเราทิ้งของไว้นานเกินกว่า 3 วัน เราต้องเสียค่าธรรมเนียมการจัดเก็บเพิ่ม เป็นเงินเท่าไรขึ้นอยู่กับน้ำหนัก 3. หลักเกณฑ์การเสียภาษี มีหลักง่าย ๆ ครับ ว่า "ไม่มีหลักเกณฑ์แน่นอนตายตัว ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่เท่านั้น" เขาให้เหตุผลว่า เขาสนใจเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก เครื่องใช้ไฟฟ้าสามารถนำเข้าได้ชนิดละ 1 ชิ้นเท่านั้น คอมพิวเตอร์ไม่มีปัญหาถ้าเราสามารถแสดงหลักฐานให้เห็นได้ว่าเราใช้งานมานานแล้ว ในกรณี จอคอมพิวเตอร์ของผม ไม่ต้องเสียภาษี โดยที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ขอดูบิลด้วยซ้ำ แต่ว่าขอดูพาสสปอร์ตและวีซ่าว่าเราอยู่ในเยอรมันมานานมั้ยเท่านั้น แต่ของพี่ ภ. ต้องจ่ายภาษีให้กับออร์แกน เขาให้เหตุผลว่า เป็นสิ่งของที่ไม่เกี่ยวกับงานหรือสิ่งที่ไปเรียนมา (ถ้ามีหลักฐานว่าไปเรียนดนตรีมาก็อาจจะไม่ต้องเสียภาษี) เขาตีราคาออร์แกนแบบมั่ว ๆ เอาเองว่า 5500 บาท แล้วตีภาษีจากต้นทุนตรงนี้ รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม มั่วไปมั่วมาว่า พี่ ภ. ต้องจ่าย 900 บาท 4. เรื่องระยะเวลา และเงินใต้โต๊ะ ที่เสียไปทั้งหมดกว่าจะนำออกได้ ต้องทำใจครับ ผมและพี่ ภ. เสียเงินใต้โต๊ะและบนโต๊ะไปทั้งหมดประมาณ 1400 บาท นอกจากนี้ออร์แกนของพี่ ภ. ต้องเสียภาษีอีก 900 บาท ส่วนเรื่องเวลาทำใจไว้ได้เลยว่าต้องเสียไปแน่ๆ 1 วัน ผมไปทำเรื่องตั้งแต่ประมาณ 9 โมงเช้า แต่กว่าจะเอาของออกได้ก็เกือบ บ่ายสามโมง 5. ต่อเนื่องจากข้อ 4 ต้องเล่ายาวหน่อย เพราะเสียอารมณ์มากครับ ผมไปถึงคลังสินค้าประมาณ 8 โมงครึ่ง แค่ก้าวขาลงจากรถ ก็มีคนเดินเข้ามาหา ดูท่าเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่ แต่ดูดี ๆ ก็เหมือนจะไม่ใช่ เขาบุกถึงตัว แล้วถามทันทีว่ามาทำอะไร มารับของใช้มั้ย เขาจัดการให้ได้ ผมตอบไปว่า รอพี่ ภ. ก่อนแล้วค่อยทำเรื่อง หลังจากนั้นก็โทรหา ภ. เพราะนัดกัน 9 โมง อยากให้พี่เขารู้ว่าจะเข้ามาที่คลังอย่างไร เจอกันตรงไหน โทรคุยได้สักพัก มีชายอีกคนเดินเข้ามาหาอีก มาสไตล์เดียวกันกับคนแรกบอกว่าจะพาไปหาเจ้าหน้าที่ให้ เขาตื๊อผมสักพักใหญ่ ๆ พี่ ภ. ก็ยังไม่มาสักที ผมเลยตัดสินใจว่าทำเรื่องเลยละกันจะได้ไม่เสียเวลา จึงเดินไปหาเจ้าหน้าที่ที่คลัง 2 (ก่อนหน้านี้ผมโทรเช็คแล้วที่เบอร์ 02-535-3150 ถึง 1 หรือ 02-535-2583 ถึง 4 ว่าของส่งมาถึงแล้วและเก็บไว้ที่คลังหมายเลข 2) ชายคนที่สองซึ่งตื๊อผมอยู่ก็ตรงเขามาหาผมทันที เดินเข้าไปที่ออฟฟิศของคลังด้วยกัน เจ้าหน้าที่ว่า ผมต้องเสียค่าจัดเก็บจำนวนหนึ่ง แต่ก่อนอื่นผมต้องเดินไปทำเรื่องที่ศุลกากรเสียก่อน เพื่อแจ้งรายละเอียดของของที่ส่งมา และเสียภาษี แล้วค่อยมารับของ แล้วเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ถ้าผมอยากประหยัดเวลา และได้รับความสะดวก ให้ผมเดินตามไอ้หมอนี่ที่ตื๊อผมอยู่นี่แหละ ไปทำเรื่อง โดยที่ผมต้องเสียค่าบริการให้กับมัน 300 บาท แต่เจ้าหน้าที่กำชับว่า 300 บาทนี้เป็นแค่ของไอ้หมอนี่คนเดียว ย้ำนะครับว่าคนเดียว ผมอาจจะต้องค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเพิ่มขึ้นอีกระหว่างดำเนินงาน โดยที่เขาไม่รับผิดชอบ วันนั้นผมไปกับพ่อผมด้วย พ่อว่า 300 ไม่แพงหรอก จ่ายไปเหอะจะได้เสร็จเรื่องเร็ว ๆ เอ้า จ่ายก็จ่าย ผมไปกับมัน แต่ขอเข้าห้องน้ำก่อน เพราะท้องไม่ค่อยดี เข้าห้องน้ำไปก็ผงะ เพราะทุกห้องล็อคหมด เหลืออยู่แค่ห้องเดียว แต่ไม่มีกระดาษทิชชู (ที่ใส่กระดาษทิชชูถูกงัดออกไป) ผมก็เลยเดินออกมาหาแม่บ้านที่ทำความสะอาด เขาว่ากระดาษต้องซื้อ เอาวะ ซื้อก็ซื้อวะ กระดาษทิชชูมีวางขายที่ร้านซีรอกซ์หน้าห้องน้ำราคาแค่ซองละ 8 บาทเท่านั้น หลังจากที่ทำธุระเสร็จผมจะเดินออกจากห้องน้ำ ก็เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบของศุลกากรเข้าห้องน้ำข้าง ๆ โดยที่มีกุญแจไขเข้าไป อ้าว อย่างนี้มันหมายว่าไงอ่ะ มันเล่นหากินกันแม้กระทั่งทิชชูเลยนี่หว่า หัวเสียนิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรต้องรีบทำเรื่อง ออกจากห้องน้ำมา ไอ้หมอนั่น (ขอเรียกว่าเหลือบดอนเมืองละกันครับ) ก็รอผมอยู่ บอกว่าต้องใช้สำเนาพาสสปอร์ต 3 ชุด แต่ผมมีแค่ชุดเดียว ผมต้องถ่ายอีก 2 ชุด ผมก็เดินไปซีรอกซ์ ค่าซีรอกซ์ไม่แพงเลยครับ แผ่นละ 4 บาทเอง จากนั้นเหลือบดอนเมืองก็พาผมไปหาคนที่เขาเรียกว่า หัวหน้า เขาก็ถามผมว่ามีของอะไรบ้าง ผมก็ว่ามี หนังสือ เสื้อผ้า จอคอมพิวเตอร์ และ ออร์แกน หัวหน้าว่า ต้องเสียภาษีให้กับจอคอม และ ออร์แกน ผมเลยสวนไปว่า ผมไปเรียนนาน ของพวกนี้ก็ใช้แล้วทำไมต้องเสียภาษีล่ะ เขาว่างั้นเอาพาสสปอร์ตมาดู ก็ปรากฏว่า โอเคไม่ต้องเสีย เขาว่าผมอยู่นานของมันเก่าแล้วไม่เป็นไร ไม่ต้องเสียภาษีก็ได้ จากนั้นไอ้เหลือบก็พาผมเดินไปตามเคาน์เตอร์ต่าง ๆ ประมาณ 5-6 ที่ บางครั้งก็ให้ผมรอที่โซฟา ซึ่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ มีสติ๊กเกอร์ติดไว้ใกล้ ๆ โซฟา ว่า ที่พักพนักงานและผู้มาติดต่อ ช่วงเวลาที่ผมรอ ไอ้เหลือบจะถือเอกสาร 1 กองของผมมาหาเป็นระยะ ๆ ขอทีละ 100 บ้าง 50 บ้าง ว่าจะเอาไปให้คนโน้นคนนี้ มีอยู่ครั้งหนึ่ง เหลือบมันมาเรียกผมให้เดินไปด้วยกัน เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอาฟอร์มของผมสอดเข้าไปในพิมพ์ดีด (พิมพ์ดีดนะครับไม่ใช่ ปรินเตอร์) แล้วก็ถามชื่อผม และ เคาะแป้นพิมพ์ เหลือบมันว่าขอ 100 บาท แล้วมันก็ใส่เงินลงในกระป๋องข้างพิมพ์ดีด แล้วให้ผมไปนั่งรอ เรื่องเป็นแบบนี้ 2-3 เที่ยว มาเรียกทีก็จ่ายที จนกระทั่งถึงเที่ยง ไอ้เหลือบว่าไม่ทันเที่ยงแล้วล่ะ ต้องรอบ่ายถึงเดินเรื่องได้ ผมก็ยัวะสิ อะไรวะ จ่ายใต้โต๊ะบนโต๊ะก็แล้ว รอมา 3 ชั่วโมงแล้ว เรื่องยังไม่เสร็จอีก มันอะไรของมันกัน คำพูดของมันที่ย้อนกลับมาคือ "จะทำเรื่องต่อเองก็ได้นะ" ที่แสบมากก็คือ ต้องเสียภาษีให้กับออร์แกนทั้งที่ตอนแรกว่าไม่ต้องเสีย โดยมีเหตุผลว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพที่ไปเรียน ต้องคิดภาษี 900 บาท โดยตีราคาเครื่องมั่ว ๆ ว่า 5500 บาท ถือว่าสมน้ำสมเนื้อแล้ว จ่ายเงินช่วยรัฐบ้างละกัน (คำพูดของหัวหน้า และ เหลือบดอนเมือง) เราไม่มีทางเลือก ผม พ่อผม กับพี่ ภ. และ เพื่อนพี่ ภ. ที่มาช่วยรับของ ต้องไปทานข้าวกลางวันกันก่อน พอใกล้บ่ายโมง ผมให้ทุกคนรอในร้านอาหาร ส่วนผมเข้าไปหาไอ้เหลือบอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเปลี่ยนเป็นอีกคนมาทำแทน ผมขอเรียกว่าเหลือบเบอร์สองละกัน มันว่าให้เดินตามมัน มันจะไม่ขอเงินอะไรเพิ่ม แต่งานเสร็จแล้ว เราอยากให้เท่าไรก็ได้ ผมก็ตามมันไปแบบปวดหัวและเสียอารมณ์มาก เพราะขั้นตอนที่เดินเรื่องมันช่างวุ่นเหลือเกิน เดินกลับไปกลับมาระหว่าง 2 ตึก ขึ้นลงชั้น 1 และ 2 สลับไปมาจนปวดหัว (นี่เป็นระบบราชการ ยุคทักษิณ ที่ได้รับการพัฒนาแล้วหรือเปล่าเนี่ย) มีอยู่ห้องหนึ่งที่ผมเข้าไปแล้วประทับใจมาก เอกสารตั้งเป็นกองท่วมหัวเหมือนไม่ได้เคลียร์มาเป็นชาติ หน้าเคาน์เตอร์มีพนักงานจากบริษัทตัวแทนนำของออกและชิปปิ้งเต็มไปหมด ไม่เห็นมีคนธรรมดาอย่างผมสักคนที่มาเอาของใช้ส่วนตัวเอาเอง คนพวกนั้นมีจะเอกสารไปใส่ในตะกร้าที่หน้าเคาน์เตอร์ เพื่อรอเจ้าหน้าที่คีย์ข้อมูล สิ่งที่ทุกคนทำเหมือนกันหมดคือ ไม่ลืมที่จะแนบธนบัตรใบละร้อยบ้าง ยี่สิบบาทสักปึ๊งบ้าง ติดไปกับเอกสาร คงไม่ต้องเล่านะครับว่าใส่เงินไปด้วยทำไม หลังจากวุ่น ๆ ในห้องดังกล่าวจนถึงประมาณบ่ายสอง เหลือบเบอร์สองบอกว่า เอาของออกได้แล้ว แต่อยู่ที่คลังเสริม เราต้องเอารถไปที่คลังเสริมซึ่งห่างจากคลัง 2 ไปประมาณ 500 เมตร พอกำลังจะออกรถ เหลือบเบอร์เหลือดูเอกสาร แล้วพูดว่า ตามเอกสารมันควรจะเป็นคลัง 2 นี่นา มันเลยให้พวกผมรอที่รถ แล้วมันก็วิ่งไปถามทั้งบรรดาเหลือบด้วยกัน รวมถึงเจ้าหน้าที่บางคน หายไปนานเกือบ 20 นาที มันกลับมาที่รถ แล้วว่า ไปคลังเสริมกัน ของอยู่ที่นั่นแน่ ๆ เฮ้อ พอถึงคลังเสริม ไอ้เหลือบเบอร์สองก็ถามคนโน้นคนนี้สองสามรอบ ว่าของอยู่ที่คลังไหนกันแน่ กว่าจะรู้เรื่องว่ามาถูกที่แล้ว ก็กินเวลาอีกนิดหน่อย จากนั้นมันก็พาผมเดินไปขอบัตรคิว แล้วก็รอครับ รอไปอีก 1 ชั่วโมง พอถึงคิว ผมกับพี่ ภ. ก็แลกบัตรประชาชนเพื่อขอบัตรอนุญาตเข้าไปในคลัง เพื่อดูของ โดยที่ต้องเสียค่าเข็นของอีก 100 บาท พอเอาของขึ้นรถได้ ก็ต้องเสียค่าบริการของเหลือบเบอร์สองอีก 300 บาท สรุปแล้ววันนั้นจากค่าเหลือบดอนเมืองทั้งในคราบของบุคคลธรรมดาและเจ้าหน้าที่กิน เงินเดือนจากภาษีของเรา ไปทั้งหมดประมาณ 1400 บาท โดยเงินส่วนที่เข้ารัฐจริง ๆ ก็คือส่วนที่พี่โด่งเสียเงินภาษีกับออร์แกนไป 900 บาท กับค่าเก็บรักษาอีกประมาณ 400 บาท หลังจากจบเรื่อง ผมพูดกับพ่อผมว่า ผมเกลียดดอนเมือง ที่นั่นผมมองไม่เห็นสนามบิน แต่ผมเห็นกองขี้หมาขนาดมหึมาตั้งอยู่ ขั้นตอนของที่นี่ยุ่งยากซ้ำซ้อน และ ไม่มีป้ายหรือประกาศอะไรเลยที่จะทำให้คนที่มารับของสามารถเดินเรื่องได้เอง ขั้นตอนการเดินเอกสารยาวมาก เอกสารต้องวิ่งผ่านมือเจ้าหน้าที่เป็นสิบคน ที่สำคัญสถานที่แห่งนี้ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ หรือ เหมาะที่จะเป็นสถานที่ราชการเลย เพราะว่า บรรดาเหลือบสามารถเดินเข้าออกตามโต๊ะทำงานเจ้าหน้าที่หลังเคาน์เตอร์ได้สบาย เสมือนหนึ่งว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนี้ด้วย มันบินกันว่อนเหมือนแมลงบนกองอะไรซักกอง ระบบงาน และ Line Layout เลวมาก ๆ และที่น่าสังเกตก็คือ มีแต่คนของบริษัทตัวแทนนำของออกเท่านั้นที่มาติดต่อ ดูทุกคนคล่องกันเหลือเกิน เดินเรื่องคล่องมาก จนผมมองไม่ออกว่ามีใครบ้างไหมที่มาเอาของออกเองเหมือนผม ผมว่าถ้าพี่ ส. ไม่อยากปวดหัวคงต้องใช้บริการของ บริษัทที่นำของออก แต่ผมว่าค่าบริการไม่น่าจะถูกนะ (เพราะไม่รู้ว่าเป็นเหลือบดอนเมืองอีกรูปแบบหนึ่งหรือเปล่า) แต่ถ้าพี่ ส. จะเข้าไปเดินเรื่องเองโดยไม่ใช้เหลือบเลย ผมว่ามันเป็นไปไม่ได้ครับ ไม่มีคนภายนอกคนไหนเข้าวิธีการทำงานที่มั่ว ๆ ของหน่วยงานนี้ได้แน่ ถ้าใช้บริการของเหลือบดอนเมือง ซึ่งผมว่าน่าจะถูกกว่าตัวแทนบริษัทฯ พี่ ส. ต้องทำใจ กับ เงิน เวลา และภาพที่พี่ต้องเห็นครับ ผมหวังว่าข้อมูลนี้คงมีประโยชน์กับพี่ ส. นะครับ เรื่องที่ผมเขียนทั้งหมดนี้พี่เล่าให้คนไทยในเยอรมันฟังได้เต็มที่ครับ จะลงเวบบอร์ดก็ได้นะ (แต่ผมว่าทำหลังจากพี่กลับมาแล้วก็ดี จะได้ไม่เดือดร้อน) ผมอยากให้คนไทยในเยอรมันรับรู้ว่า ประเทศไทยใช้สนามบินดอนเมืองทำอะไรกันบ้าง พ. แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 47 17:28:44 จากคุณ : รสา รสา - [ 29 เม.ย. 47 17:19:26 ]

ความคิดเห็นที่ 36 พี่นัตตี้ไม่ต้องไปจุดธูปอวยชัยเขาหรอกค่ะ หนูเชื่อว่ากรรมมันตามทันในชาตินี้ค่ะ ไม่ต้องรอชาติหน้าหรอกค่ะ เราเพียงแต่รักษาสิทธิ์ของเรา และทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด หมั่นสร้างกุศลกันดีกว่าค่ะ จากคุณ : รสา รสา - [ 29 เม.ย. 47 17:30:18 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ฮิๆๆๆๆๆ .... ใช่ค่ะพี่นัทตี้ เพราะรักดอกถึงถกบ่อย ...ไม่ค่อยคล้องจองกันเลย .. แฮ่ๆๆๆๆๆ เห็นด้วยค่ะพี่ .... เราไม่เคยแอนตี้ศาสนาใดๆ เราไม่เคยกีดกันเชื้อชาติใดๆ แต่เราก็ไม่อยากเห็นความรุนแรงนี้เกิดขึ้นในแผ่นดินที่รักของเรา หยุดความคิดที่คอยแต่จะทำลายล้างคนแผ่นดินเดียวกันเถิด มันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดเลย รังแต่จะทำลายล้างตัวเองเท่านั้น เราเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ถึงแม้วิถีแห่งการปฏิบัติมันจะแตกต่างกันไป แต่โดยแก่นแท้แล้วไม่มีศาสนาไหนที่จะสอนให้ทำลายล้างผู้อื่นเพื่อบรรลุถึงจุดมุ่งหมายของตนเองเป็นแน่แท้ แต่มีคนบางกลุ่มได้บิดเบือนคำสอนนั้นไปซะแล้ว มันน่าเศร้าใจจริงๆนะคะ เมื่อไหร่เค้าจะคิดได้ซะที .... :( จากคุณ : Mae ja - [ 29 เม.ย. 47 18:29:23 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณมากคุณนัท บ้านคุณนัท ท่าทางน่าอยู่มาก ให้เราไปอยู่ 3 เดือน กลับไทยอีกที ผัวเราก็ฉวยโอกาสมีเมียใหม่ แถมถอนเสาบ้านหนีเท่านั้นอ่ะดิ! ป่าว... เราไม่ได้ชง เช็ง อะไรหรอก เราเซ็งเรือ่งปัญหาบ้านเมืองน่ะ พูดแล้วจะหาว่าเวอร์ แต่เราห่วงประเทศจริงๆ เรายังอ่านที่คุณนัทตอบเราไปนิดเดียว เลยขอตอบแค่นี้ก่อน มีเวลาเดี๋ยวเข้ามาอ่านทั้งหมดที่คุณนัทตอบเรา นะจ๊ะ จากคุณ : สือหงอย - [ 29 เม.ย. 47 19:04:31 A:210.86.188.66 X: ]

ความคิดเห็นที่ 39 กลับขึ้นไปอ่านแระ ขอบคุรมากที่ให้เบอร์โทรฯ เว็งมากๆ อาจโทรคุยกัน ท่าจะมันส์พิลึก เราอยากเลี้ยงหมาใจจะขาด แต่เราคิดถึง อารมณืต่างๆที่จะเกิดขึ้น เราก็ได้แต่ง้าง หากคุณนัทจะกรุราควานเรื่องเก่าๆของน้าสือสาวมาอ่าน จะเจอหลายเรือ่งที่เราเขียนเรื่องหมา และจะเข้าใจว่า ทำไม เราจึงลังเลนักหนา กับการเลี้ยงหมา =   =! จากคุณ : สือน้อย - [ 29 เม.ย. 47 19:15:43 A:210.86.188.66 X: ]

ความคิดเห็นที่ 40 คุณรสารสา  คนเขียนเขียนได้ดีมากเลยและเป็นเรื่องจริงที่เขาเขียนทีเดียว ความรู้สึกของพี่กับคุณคนที่เขียนนี้เหมือนกันเลยคือ รังเกียจ แล้วอีนังคนพิมพ์ดีดน่ะ เค้านั่งอยู่ข้างประตูด้านนอกที่ก่อนเข้าไปในห้องนั้น นั่นแหละราคาค่าพิมพ์ของเขา ถูกที่เขาเขียนมาเลย แต่ห้องน้ำนั้นพี่ไม่ได้เข้า แต่พี่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงแน่นอน แล้วไอ้เรื่องเดินไปตึกโน้น ย้อนมาตึกนี้นั้นพี่ก็ทำมาแล้ว  ที่นั่นจะทำงานกันอย่างโคตรสบายเลย แถมมีการแซวกันให้เราได้ยินด้วยว่า วันนี้วันเกิดพี่ ก. ไปกินเลี้ยงกันที ... เธอไปหรือเปล่า ไอ้ที่จุดไข่ปลาเอาไว้นั่นก็ให้คิดเอาเองว่า ห้องอาหารในระดับนี้นะ แพงแค่ไหน คือมันไม่น่าจะเกี่ยวกับเรานะ แต่ที่ฟังเขาพูดกันแล้วก็อดสมเพชไม่ได้ เราอายแทนกับคำพูดที่แสนจะธรรมดาของเขา ไม่ได้ลามก แต่ถ้าน้องได้ฟังเองและอยู่ในสถานการณ์แบบพี่ตอนนั้น แทบอยากโต้ให้เจ็บ ๆ เหมือนกัน เงินที่พวกแกเอาไปกินกันเลี้ยงกันน่ะมันเงินชาวบ้านเขา ที่โกงเขามาหน้าด้าน ๆ แถมยังพูดออกมาไม่อายปาก ไม่มีความละอายแก่ใจบ้างเลย ปากเรามันคันยิบ ๆ อย่างตอกให้เจ็บแต่ก็จริงอย่างน้องว่านะพี่เห็นด้วย เพราะคนเราถ้าใจบอดแล้วอะไรมันก็ช่วยไม่ได้  ก็ต้องปล่อยเขาไปจนกว่าจะย้อนกลับมาหาเขาเอง จากคุณ : นัทตี้ - [ 29 เม.ย. 47 19:40:22 A:62.167.64.149 X: ]

ความคิดเห็นที่ 41 คุณแม่จ๋า  เมื่อกื้พี่เพิ่งอ่านหนังสือพิมพ์ทางนี้จบ เขาเอารูปมาลง แต่ในข่าวเขียนว่า ปัตตานี (ประเทศไทย) ในข่าวนั้นเขียนว่ามีคนตายทั้งหมด 107 คนโดยตำรวจและทหารประมาณ 400 นายได้ยิงกราดเข้าไปในมัสยิส ด้วยปืนกล ปืนรถถัง และแก๊สน้ำตา ผู้คนตกใจและหลบหนีตายกันอลหม่านโดยการทิ้งตัวลงหมอบกับพื้นดิน มีแค่นี้ และมีภาพคนกำลังหมอบตัวอยู่กับพื้นหญ้าข้างถนน แค่นี้แหละ แต่คนทางนี้(ฝรั่ง)ที่เขาไม่รู้เรื่องไปด้วย เขาจะคิดว่าทหารและตำรวจของเราป่าเถื่อนนะ เขาไม่ได้ลงว่าทางทหารและตำรวจได้รับการก่อกวนก่อน หรืออีกฉบับก็ลงว่ามีแต่มีดเป็นอาวุธ พี่ก็แปลกใจเหมือนกัน เลยมาเปิดหนังสือพิมพ์ไทยในเน็ตดู มันไปคนละเรื่องกับที่ทางนี้ลงเลย ที่ลงในหนังสือพิมพ์ไทยทางเน็ตบอกว่าตายรวมทั้งหมด 3 จังหวัดที่พวกก่อการร้ายคิดโจมตีพร้อมกัน ได้ 107 ศพ แต่ที่นีก็ไม่ได้เขียนว่ารวม 3 จังหวัด แต่เล่นเขียนแค่ปัตตานีเท่านั้น น้าสือ อ๋อ เซ็งเรื่องไอ้พวกบ้า ๆ นี่ใช่ไหม นัทตี้กำลังคุยกับแม่จ๋าเรื่องนี้พอดี เนี่ยหนังสือพิมพ์ทางนี้เอามาลงซะทหารและตำรวจไทยเสียหายนะ ที่จริงไม่มีข่าวภาคใต้โผล่มาเลยจนกระทั่งเมื่อวานนี้แหละ ภาพที่เอามาลงในหนังสือพิมพ์ก็มีแค่ 2 ภาพ คือในเล่มหนึ่งที่คนกำลังหมอบคลานอยู่กับหญ้า และอีกฉบับหนึ่งเป็นรูปพวกทหาร 4-5 นายนั่งถือปืนอยู่หน้ามัสยิด เราเห็นแล้วน้าสือเขียนเรื่องมาลง เดี๋ยวเราจะขึ้นไปอ่านดู จากคุณ : นัทตี้ - [ 29 เม.ย. 47 20:14:25 A:62.167.64.149 X: ]

ความคิดเห็นที่ 42 เรื่องค่าตั๋วเครื่องบินนี่...เอ้อ.. คิมก็อยากจะ "รักคุณเท่าฟ้า" เหมือนกันค่ะ แต่ว่ารักไม่ลงจริง ๆ.. ได้แต่คิดถึงอยู่ห่าง ๆ ค่ะ.. :) จากคุณ : คิมมี่ (*CriMy*) - [ 29 เม.ย. 47 21:32:27 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เคยส่งของกลับค่ะ แบบไปกับเครื่องบินแล้วเอาของออกที่สนามบิน ไม่ยุ่งยาก ถึงเรทจะแพงกว่าหน่อยนึง แต่เพราะทนไม่ได้ที่จะต้องไปเสียเงินให้กับใต้โต๊ะตามที่ได้ยินเค้าบอกๆมา เลยเลือกแบบนี้ จะบอกว่าเวลาซื้อตั๋ว หาแบบถูกสุดไว้ก่อน อิอิ เจ้าจำปีแพงเหลือเกิน แต่บางครั้งถ้าต้องการตั๊วด่วน หรือช่วงพีคมาก ก็ซื้อกับเอเย่นต์การบินไทย ก็ได้ราคาโอเคค่ะ ปล. ส่งข่าวขนมปัง ลองทำแล้วออกมาใช้ได้ค่ะ ภูมิใจ กินแบบมีความสุข ขอบคุณพี่อีกทีค่ะ จากคุณ : nasa nasa - [ 29 เม.ย. 47 22:46:50 ]

ความคิดเห็นที่ 44 คุณ คิมมี่ ทำไมรักไม่ลงล่ะ เขาออกจะน่ารัก คุณNasa พี่ก็เคยแนบมากับเครื่องบินจากเมืองไทยมาสวิสฯ เป็นเสื้อผ้าที่กะว่าจะซื้อมาขายเพื่อน ๆ ราคาถูก ๆ ราคาที่ซื้อเสื้อกางเกงไปนั้นรวมเป็นเงินฟรังส์แค่ประมาณร้อยกว่าฟรังส์ โดนกักไว้เลยแล้วต้องไปเสียภาษีให้ทางนี้อีก 350 ฟรังส์ แต่โชคดีที่พี่ขายเสื้อขายกางเกงได้หมด และเมื่อคิดเงินออกมาแล้ว คือเสมอตัว ไม่มีกำไรและไม่ขาดทุน ครั้งนั้นครั้งเดียวเข็ดค่ะ ดีใจด้วยที่แป้งทำออกมาดี พี่จะได้ลองไปซื้อมาทำบ้าง จากคุณ : นัทตี้ - [ 29 เม.ย. 47 22:53:25 A:62.167.64.149 X: ]

ความคิดเห็นที่ 45 ถ้าจะเอาเสื้อมาใส่เอง ต้องตัดราคาและยี่ห้อออกค่ะ เพราะเขากลัวเอามาขายต่อ แต่ถ้าเอาตัดราคาและยี่ห้อออกก่อน บอกว่าเป็นเสื้อผ้าที่เราใช้แล้ว เขาจะไม่คิดภาษีแพงค่ะ ลิงก์ของคุณลลิลที่ซื้อตั๋วถูกค่ะ http://www.meltemi-reisen.de/ แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 47 01:17:57 จากคุณ : รสา รสา - [ 30 เม.ย. 47 00:44:12 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เห็นมั้ยคะพี่.... ไม่ว่าสื่อที่ไหนเวลาเค้านำเสนอข่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเทศของเค้าแล้ว จะลงแค่ช่วงสั้นๆ และก็เป็นช่วงสั้นๆที่น่ากลัว สยดสยองที่สุดเพื่อความน่าสนใจของข่าว เค้าก็นำเสนอเรื่องที่เกิดจริงๆ แต่มันก็แค่ส่วนหนึ่งจากอีกล้านส่วนที่เค้าไม่ได้นำเสนออกไป มันก็เลยออกมาเป็นข่าวที่ทำให้ประเทศเราในสายตาผู้อื่นตอนนี้ มันน่ากลัวและโหดร้ายไปซะได้ .... เฮ้อๆๆๆๆๆ .... ถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้สิคะ  พี่นัทตี้ยังดีที่สามารถหาอ่านข่าวเพิ่มได้จากหนังสือพิมพ์ไทยจากอินเตอร์เน็ท แต่คนอื่นโดยเฉพาะพวกฝรั่ง เค้าก็ได้แต่บริโภคข่าวจากสื่อบ้านเค้าเท่านั้น .... :( จากคุณ : Mae ja - [ 30 เม.ย. 47 14:39:49 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ก็ราคาตั๋วเครื่องบินน่ะสิคะ.. ราคาตั๋วปี และเป็น a round trip คือตั๋วไป-กลับ..ประมาณ หนึ่งแสนกว่าบาทค่ะ.. เป็นราคา Economic Restricted ด้วยนะคะ คือชั้นประหยัดแบบประหยัดเข้าไปแีกน่ะ ลองเข้าไป search ดูก็ได้ค่ะ.. จาก Bangkok - Helsinki (Finland) หรือ Bangkok - Stocholm (Sweden) เลยได้แต่คิดถึงห่าง ๆ ค่ะ อิอิ.. ในภาพก็จาก 2 May 2004 - 1 Mar 2005 นะคะ ไฟล์รูปภาพ จากคุณ : คิมมี่ (*CriMy*) - [ 30 เม.ย. 47 18:45:18 ]

ความคิดเห็นที่ 48 คุณคิมมี พี่เข้าไปดูแล้ว เออว่ะ แพงมาก ๆ แต่นั่นมันตั๋วปี ทางนี้พี่ไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่ ของพี่คือตั๋วหนึ่งเดือนเท่านั้นยังปาเข้าไปครื่งแสนไปกลับ(ถ้านั่งจากซูริค) แล้วอย่างงี้พวกเราจะกลับบ้านกันทุกปีได้ยังไงล่ะเนอะ แม่จ๋า ไปเม้ากับพี่ต่อกระทู้หน้าดีกว่า มันกว่านี้อีก และเป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังเม้ากันอยู่พอดี จากคุณ : นัทตี้ - [ 30 เม.ย. 47 20:44:38 A:62.167.82.232 X: ]