=Chance & Destiny=...Chapter 3...

    “กลับกันเถอะเรน หกโมงแล้ว”
    ฉันบอกคนที่นั่งใจลอยไปถึงไหนต่อไหนซึ่งฉันก็รู้จุดหมายปลายทางนั้นดี...พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าแต่ยังส่องแสงสว่างสีส้มราวกับกำลังจะเอ่ยคำลา...
    “ไปสิ” เขาลุกขึ้นยืนก่อนที่จะยื่นมือมาให้ฉันวางลงแล้วดึงให้ฉันลุกขึ้น ไม่วายบ่นฉันเหมือนเคย
    “กินให้เยอะๆ หน่อยสิพลอย ตัวเบาอย่างกับลูกแมว” ฉันย่นจมูกใส่ ‘คนตัวโตอย่างกับช้าง’ ก่อนจะโต้กลับด้วยท่าทางกวนๆ ตามประสา
    “เอ้า! อย่างนี้เขาเรียกว่าหุ่นพอดีอุ้ม ตัวหนักๆ ใครเขาจะอยากอุ้มเล่า”
    “งั้นขออุ้มหน่อยนะ จะดูซิว่าพอดีจริงรึเปล่า” ไม่พูดเปล่ายังทำท่าเดินเข้ามาหาฉันจริงๆ
    “เอ้ย! จะบ้าเหรอ...ไม่เอาเรน เราไม่เล่นนะ...”
    สรุปว่าเราก็เล่นวิ่งไล่จับกันในสนามหญ้าของสนามหลวงนั่นล่ะ มันทำให้ฉันนึกถึงตอนประถมที่เราสองคนวิ่งเล่นกันในห้องจนโดนคุณครูจอมเฮี้ยบจับทำโทษทั้งคู่ เรื่องราวระหว่างฉันกับเขา ไม่เคยถูกลบเลือนไปไหนเลยสักนิด ฉันบรรจงเก็บมันไว้อย่างทะนุถนอมและวางไว้ในที่ที่ลึกที่สุดของหัวใจ...เพราะฉันกลัว...กลัวอะไรบางอย่าง...ซึ่งฉันเองก็หาคำตอบนั้นไม่ได้เหมือนกัน

    “ตื่นได้แล้วพลอย ถึงบ้านแล้ว”
    ฉันลืมตาขึ้นมาก็พบว่ารถของเขามาจอดอยู่ที่หน้าประตูบ้านฉันเรียบร้อยแล้ว ด้วยความงัวเงียจึงใช้สองนิ้วขยี้ตาเบาๆ เพื่อให้มองภาพได้ชัดเจนมากขึ้น
    “ไปอดหลับอดนอนที่ไหนมา หลับปุ๋ยเลย” เขาทักเมื่อเห็นฉันหาวหวอดๆ
    “ก็...ก็เหนื่อยเพราะวิ่งไล่จับกับเรนเมื่อกี๊นั่นแหละ”
    เรื่องอะไรที่ฉันจะบอกให้เขารู้ว่าเมื่อคืนฉันไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพราะเรื่องของเขา เรื่องที่ฉันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ต้องเสียน้ำตาให้กับมัน...น่าหัวเราะตัวเองซะจริงๆ
    “อ่ะ...อาพัฒน์รอแย่แล้วมั้งเนี่ยะ” เขายื่นถุงกับข้าวรวมทั้งข้าวสวยสามสี่ถุงมาให้ฉัน
    “นี่เรนไปซื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเราไม่รู้ล่ะ” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะจับมือฉันให้รับถุงจากมือเขา
    “ก็ตอนที่คนขี้เซานอนหลับไม่รู้เรื่องนั่นแหละ” ฉันรีบเปิดกระเป๋าเพื่อจะหยิบเงินแต่เขาก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
    “ไม่ต้อง...ถือว่าเป็นค่าข้าวต้มแล้วก็ตอบแทนที่พลอยดูแลเรนเมื่อวานแล้วกัน”
    “เราทำไปด้วยความเต็มใจ ไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนเลยสักนิด”
    ฉันตอบเขาไปอย่างโมโห...นี่เขาคิดว่าน้ำใจของฉันมีค่าเท่ากับอาหารถุงพวกนี้น่ะเหรอ...
    “เรนไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เอาเป็นว่าเรนอยากให้พลอยแล้วกัน พลอยรับไปเถอะนะ”
    ฉันเอ่ยขอบคุณก่อนจะเดินเข้าบ้านไป แล้วก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงรีบวิ่งออกไปที่หน้าบ้านอีกครั้ง
    “มาเราช่วย” ฉันก้มลงยกกลอนเพื่อเปิดประตูให้รถเต่าคันฟ้าแล่นเข้ามาจอดในบ้าน เขาก้าวลงจากรถก่อนจะเอ่ยถามฉันอย่างสงสัย
    “วิ่งออกมาเพื่อมาเปิดประตูให้เนี่ยะนะ”
    “พรุ่งนี้ไปกินข้าวต้มมื้อเช้าที่บ้านนะ เราจะทำเผื่อ”
    แล้วฉันก็รีบวิ่งออกมาจากบ้านเขา แต่เสียงห้าวๆ ของเขาก็ยังดังตามหลังมา
    “ให้อร่อยอย่างวันนั้นนะพลอย”
    ฉันหันไปฉีกยิ้มให้เขาก่อนจะเดินเข้าบ้าน...พ่อเห็นฉันคงแปลกใจว่าวันนี้ลูกสาวเป็นอะไร...
    ...ตอนเช้ากับตอนเย็นเปลี่ยนไปเป็นคนละคน...
    .........................................................................................................

    “เรน...ดูนายสนิทกับพลอยดีเนอะ”
    ผมละสายตาจากรายงานที่อาจารย์เร่งให้ส่งแล้วหันไปมองหน้าคนถาม ก่อนที่จะตอบไป
    “อื่อ...ทำไมเหรอ” ผมถามกลับไปบ้าง
    “รู้จักกันมานานแล้วเหรอ”
    “สิบกว่าปี” ผมเริ่มสงสัยจึงหันไปถามเขาอีกครั้ง “มีอะไรรึเปล่า”
    “ฉันชอบพลอย” คำตอบนี้ทำให้ผมชะงักปากกาในมือทันที
    “ชอบมานานแล้ว เลยมาขอให้นายช่วย”

    ผมเห็นพลอยมองหน้าผมสลับกับจานข้าวมันไก่ตรงหน้าเธออยู่หลายครั้ง จนเธอเองก็คงชักทนความอึดอัดใจไม่ไหว จึงเอ่ยถามผมออกมาจนได้
    “เรนเป็นอะไร ไม่อร่อยเหรอ”
    ข้าวผัดปูตรงหน้าผมยังไม่พร่องไปเลยเมื่อเทียบกับข้าวมันไก่ในจานของเธอที่หมดไปแล้วกว่าครึ่งจาน ไม่แปลกอยู่หรอกที่เธอจะเห็นความผิดปกตินี้ ถ้าเป็นปกติ ไม่มีทางที่ผมจะเอาแต่ใช้ช้อนเขี่ยๆ ข้าวแบบนี้
    “ก็อร่อยดี แต่ไม่หิวเท่าไหร่” ผมหาทางออกอย่างอื่นไปเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าไม่สบายใจ
    “ติดใจข้าวต้มเมื่อเช้าของเราก็บอกมาเห้อะ” เธอพูดอย่างติดตลกพอเรียกรอยยิ้มให้ผมได้บ้าง แล้วอยู่ๆ เจ้าวุธก็เดินเข้ามาหาพลอยพร้อมกุหลาบแดงกำมะหยี่ดอกใหญ่
    “มีคนเขาฝากมาให้” ผมเห็นเธออึ้งไปเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือวุธและได้ยินคำพูดจากเขา ก่อนจะรับกุหลาบดอกสวยนั้นมาถือไว้
    “ใครอ่ะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีท่าทางแสดงออกว่าตื่นเต้นหรือดีใจเลยแม้แต่นิด
    “ไม่รู้เหมือนกัน ฝากกันมาต่อๆ เลยไม่รู้ว่าต้นตอเป็นหนุ่มหลงผิดคนไหน”
    “เออ! นายก็เคยหลงผิดเหมือนกันนี่”
    เธอเล่นเอาซะคนแซวจุกก่อนที่จะหันมองไปรอบๆตัวเหมือนกับรู้ว่าคนให้จะต้องมองเธออยู่เป็นแน่ แล้วเธอก็ทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง...
    เธอยกดอกกุหลาบในมือขึ้นมาดูอย่างเฉยเมย ก่อนจะปล่อยมันลงบนโต๊ะอย่างไม่เหลือเยื่อใย
    “เราเกลียดดอกกุหลาบที่สุดเลย”
    เธอพูดออกมาทำเอาเจ้าวุธอ้าปากค้าง ผมเองทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอไม่ชอบกุหลาบ แต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะไม่ชอบถึงขนาดนี้
    “ทำไมล่ะ เราเห็นผู้หญิงก็ชอบกุหลาบกันทั้งนั้นนี่” วุธถามอย่างสงสัยเมื่อได้เห็นท่าทางของเพื่อนสาว

    “ก็เราไม่ใช่ผู้หญิงพวกนั้นนี่...นี่นายวุธ ผู้หญิงทั้งโลกไม่ได้เกิดมาจากกระบอกเดียวกันหรอกนะ ถึงจะต้องหลงใหลได้ปลื้มเหมือนกันไปซะหมดน่ะ” ไม่วายโดนเข้าอีกแล้วเจ้าวุธเอ๋ย...
    “เราจะไปห้องสมุดแล้วเบื่อคน” เธอวางช้อนในมือลงแล้วลุกขึ้นยืนจนผมลุกตามแทบไม่ทัน
    “แล้วกุหลาบนี่ล่ะพลอย” ผมถามเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ใสใจกับกุหลาบนี้เลย
    “ไว้ตรงนั้นแหละ ให้วุธเอาไปจีบสาวต่อ” แล้วเธอก็ยกจานเดินไปเก็บตรงที่วาง ไม่ได้สนใจถึงความรู้สึกของเจ้าของกุหลาบดอกนั้นเลยแม้แต่น้อย...
    .....ยากแล้วล่ะ...ไอ้เต้เอ้ย!!!.....
    .........................................................................................................

    ฉันชอบบรรยากาศในห้องสมุด บรรยากาศเงียบๆ เย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศ กลิ่นชื้นๆ อับๆ จากหนังสือเล่มน้อยใหญ่ ซึ่งหากนับอายุดูแล้วบางเล่มมีอายุมากกว่าฉันเสียอีก
    ฉันมักจะมาห้องสมุดในยามที่เหงาหรือไม่มีอะไรทำ ก็คงคล้ายๆ กับที่นายเรนไปนั่งนับต้นมะขามที่สนามหลวงล่ะมั้ง ห้องสมุดเป็นที่เดียวที่สามารถทำให้ฉันลดดีกรีความฟุ้งซ่านในจิตใจลงได้บ้าง เพราะฉันมียาดีนั่นก็คือนิยายไทยกองโต
    “พลอยเอามาทำไมเยอะแยะ”
    เขาถามฉันขึ้นทันทีที่เห็นฉันใช้ท่อนแขนอันเรียวงามหอบเอานิยายรักโรแมนติกหลากหลายเล่มมากองไว้ที่โต๊ะอ่านหนังสือ ซึ่งอยู่ในมุมที่ไม่ค่อยมีคนมาใช้บ่อยนัก
    “เอามาทำกับข้าวมั้งเรน หนังสือก็ต้องเอามาอ่านสิถามได้”
    “เอ้า! ทำไมต้องโกรธด้วยล่ะ โมโหคนอื่นก็อย่ามาลงที่เรนสิ” เขาตัดพ้อก่อนจะทำหน้ามู่ทู่ประหนึ่งว่าน้อยใจ
    “เราล่ะเบื่อผู้ชายจริงๆ เลย”
    ฉันพูดโพล่งออกไป ไม่ได้สนใจว่าคนตรงหน้าก็เป็นหนึ่งในคำจำกัดความที่ฉันพูดถึงด้วย
    “ทำไมเหมารวมอย่างนี้ล่ะ ผู้ชายดีๆ มีออกเยอะไป พลอยล่ะไม่ยอมมองเองต่างหาก”
    “ก็ไอ้พวกที่เข้ามามันน่ามองนักนี่ เรายังไม่เห็นว่าจะมีผู้ชายคนไหนดีเท่าเจ้ารอยของเราสักคน”
    ฉันพูดจบก็หันไปคว้าเจ้ารอย เอ้ย! คว้านิยายเรื่องดังมาก้มหน้าอ่าน หางตาก็เหลือบไปเห็นเขาส่ายหัวไปมาอย่างจนมุมที่จะต่อปากต่อคำกับฉันอีก ก่อนที่จะลุกไปในชั้นหนังสือมุมโปรด
    เขาชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยามาจนถึงรัตนโกสินทร์ หรือจะเป็นประวัติศาสตร์ของต่างชาติ ทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี อเมริกาหรืออังกฤษ เรียกได้ว่าถ้าใครมาดูถูกเขา ว่าเรียนคณะวิศวฯ แต่ไม่มีประวัติศาสตร์ชาติไทยอยู่ในหัวล่ะก็ อาจจะถูกตอกกลับหน้าหงายไปได้เหมือนกัน
    ...ส่วนฉันหลงรักในอักขระอักษรที่ร้อยเรียงอยู่ในนวนิยายไทยมาตั้งแต่เด็ก จนหลายๆ คนอดห้ามปรามไม่ได้ที่ฉันจะเลือกเรียนแผนการเรียนวิทย์ – คณิต เมื่อตอนที่อยู่ชั้นมัธยม และทักท้วงอีกครั้งเมื่อฉันตัดสินใจที่จะเลือกสอบเข้าเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ฉันเข้าใจในความหวังดีของทุกคน แต่ฉันก็มีเหตุผลของตัวฉันเองเหมือนกัน สองสิ่งนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ฉันรัก ฉันไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน ที่ฉันจะอ่านนิยายควบคู่ไปกับคู่มือคำนวณทางวิศวกรรม...ฉันว่ามันออกจะเข้ากั๊นเข้ากัน...
    ..........................................................................................................

    จากคุณ : Cookie CO. - [ 28 เม.ย. 47 00:02:06 A:202.5.88.140 X: ]