สงครามแห่งมิตรภาพ

    บางท่านคงเคยผ่านชื่อ ศล มาบ้างแล้วนะครับจากเรื่องสั้นและเรื่องแปล(ซึ่งมีอยู่เรื่องเดียวคือฟิสิกส์แห่งการท่องเวลา – ถ้ายังจำกันได้นะครับ) วันนี้ผมขออนุญาตใช้พื้นที่เล็กๆที่นี่แสดงความรู้สึกยินดีและอิ่มเอมใจสำหรับปรากฎการณ์ครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของวงการหมากรุกไทยโดยเฉพาะหมากรุกเยาวชน

    ผมเป็นคนรักหมากกระดานพอๆกับการอ่านหนังสือและฟังเพลง หมากรุกไทยเป็นหมากกระดานที่ผมรักมากเป็นพิเศษ ก็แหงละครับ ผมเป็นคนไทยนี่นา หมากรุกไทยค่อนข้างนิ่มนวลและเป็นศึกพัวพันต่างจากเชสที่ว่องไวและรุนแรง กติกาการเล่นก็มุ่งชี้ให้เกิดโอกาสเสมอสูงเมื่อเทียบกับหมากกระดานประเภทอื่น เช่น หมากล้อมมีโคมิ ไม่เสมอแน่นอนเมื่อจบเกมเพราะเศษ 0.5 เชสแม้จะเหลือพอนแค่ตัวเดียวก็ยังไล่จนได้ หมากรุกจีนฝ่ายเป็นรองจะรุกล้อหาเสมอก็ไม่ได้เพราะผิดข้อกำหนด ดังนั้นที่กระดานของหมากรุกไทยเราจึงได้พบเห็นวลีคุ้นตาว่า “เล่นหมากรุกเพื่อมิตรภาพ”

    ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือ SET ได้จัดมหกรรมหมากรุกไทย 2547 ขึ้น และนับเป็นการแข่งขันรายการใหญ่รายการหนึ่งทีเดียวในประเทศไทย วงการหมากรุกบ้านเรารายการใหญ่ๆก็มีเพียงแข่งสนามหลวง ขุนทองคำ (ขุนเงิน) หรือแข่งสะสมแต้มแสงโสมหรือแม่โขง(รายการพวกนี้ไม่เน้นตลาดเยาวชน – คงนึกภาพกันออกนะครับ ให้เด็กใส่เสื้อแม่โขงโขกหมากจะเก๋ขนาดไหน)

    การแข่งครั้งนี้แบ่งออก 6 ประเภท โดย 4 ประเภทแรกจัดให้กับกลุ่มเด็กไทยโดยเฉพาะ
    แบ่งเป็น ประถมศึกษา, มัธยมศึกษาตอนต้น, มัธยมศึกษาตอนปลาย และอุดมศึกษา(อายุไม่เกิน 22 ปี)

    เมื่อวานนี้(28 เมษายน 2547) การแข่งได้จบสิ้นไปแล้ว 2 รายการ ได้แก่ ประถม และ ม.ต้น มีน้องๆให้ความสนใจกันมากทีเดียว(แม้ไม่มากนัก) คือรุ่นละประมาณ 60 คน ระบบการแข่งจะแข่งสะสมคะแนนแบบ SWISS และตัดสินกรณีเสมอด้วย Tiebreak

    บรรยากาศการแข่งขันทั้งสามวัน (จันทร์-พุธ)เราจะได้เห็นทั้งฝีมือเด็กไทยกับเกมกีฬาแบบไทย และมิตรภาพอย่างแท้จริง แม้เด็กบางคนจะมีร้องไห้ไปบ้างเพราะเดินผิดทำให้เกมการแข่งขันจากชนะพลิกเป็นแพ้หรือเสมอ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมรับความผิดพลาดนั้นได้และยิ้มเข้าหากัน ส่วนบรรดาแม่ๆที่เล่นหมากรุกไม่เป็น ก็ซื้อตำรามานั่งอ่านระหว่างเชียร์และรอลูกแข่งจะได้พูดคุยกับลูกรู้เรื่องมั้ง ส่วนพ่อๆอยู่แทบไม่ติดเก้าอี้เลยทีเดียว บางรายยอมร้อนออกไปนอกอาคารแข่งเพื่อได้มองเห็นกระดานที่ลูกเล่นเห็นชัดเจนเพราะลูกเล่นฝั่งสุดริมผนังด้านในซึ่งพอมองผ่านกระจกด้านนอกเข้ามาได้

    สองประโยคที่เราจะได้ยินบ่อยหลังการแข่งในแต่ละเกมคือ “ลูกก็เก่งแล้วล่ะ ไม่เป็นไรกระดานหน้าแก้ตัวใหม่” หรือ “เก่งมาก แต่กระดานต่อไปอย่าประมาทนะ” ผมดีใจที่ไม่ได้ยินคำพูดอะไรประเภทว่าทำไมไม่เดินตานั้นตานี้ไม่งั้นก็ชนะไปแล้วโดยที่ผู้พูดเองเป็นผู้หงุดหงิดหรือเสียดาย สำหรับเด็กที่แพ้ บรรดาโค้ชก็จะเอาเกมที่แพ้มาสอนวิธีแก้หมากแก้ทางให้พร้อมให้กำลังใจในการต่อสู้รอบต่อไป

    วันสุดท้ายของการแข่งอีกภาพที่ผมประทับใจคงจะเป็นตอนที่เซียนป่องมาเดินหมากกับเด็กๆ เด็กหลายสิบคนรุมเซียนแก่ๆคนเดียว(ขออภัยถ้าเฮียป่องอ่านนะครับ :) มันก็แหงล่ะ กระดูกยังคนละเบอร์ย่อมสู้เซียนระดับ 1 ใน 3 แห่งตำนานไม่ได้ เซียนเดินหมากชี้นำสอนแต้มเด็ดๆไปหลายแต้ม เรียกเสียงเฮฮาและหัวเราะสนุกสนานได้รอบวงทีเดียว

    พูดถึง 1 ใน 3 ผมก็ขอถือโอกาสนี้ร่วมแสดงความเสียใจต่อวงการหมากรุกไทยไปด้วยเลยที่สูญเสียหนูทองเร็วสักนิดสำหรับอัจฉริยะหมากรุกหนุ่มผู้นี้

    แต่จากที่ได้เห็นเด็กๆของเรามารวมตัวแสดงฝีมือในระดับดังกล่าว ผมจึงเกิดความเชื่อมั่นว่าไม่ช้าจะมีตามมาอีกหลายหนูทองทีเดียว ขอให้ SET ยังจัดต่อไปทุกๆปี

    นี่แหละหมากรุกไทย สงครามแห่งมิตรภาพ…

    ปล. การแข่งขันในรอบ ม.ปลาย อุดมศึกษา โอเพ่น และเซียนยังติดตามชมกันได้นะครับ
    รายละเอียดอ่านเพิ่มเติมที่ http://www.thaibg.com/template.php?CenterFile=comp_thaichessfestival2004.html&Title=News

    จากคุณ : ศล - [ 29 เม.ย. 47 10:44:04 ]