ความคิดเห็นที่ 1
30/4/47 สวัสดีครับ คุณเรื่อยเปื่อยไปวันๆ
คนเราไม่ใช่หุ่นยนต์ ระบบการจัดการย่อมไม่ได้เป็นระเบียบเหมือนถูกป้อนคำสั่งเข้าไปเหมือนเครื่องจักรเหล่านั้น ความถูกต้อง หรือความสม่ำเสมอก็ย่อมลดน้อยลงไปด้วย
ผมพยายามจะพูดเข้าประเด็นเรื่องความหมดไฟของการทำงานเขียน ผมว่าต่อให้เป็นคนที่มีระเบียบวินัย หรือรับผิดชอบต่อตัวเอง แค่ไหน ก็ย่อมมีวันที่ "หมดมู๊ด" ในการทำงานเขียนแน่นอน อย่างที่รู้กันงานเขียนไม่เหมือนงานชนิดไหน และไม่มีวันจะเหมือนอย่างเด็ดขาด งานเขียนไม่เหมือนกับการที่มีใครบอกว่าให้นั่งบวกเลขหน้านี้ทั้งหมดนะ แล้วเดี๋ยวฉันจะมาเอา แบบนี้... บวกเสร็จแล้วก็จบกัน แต่งานเขียนมันไม่ใช่แบบนั้นนะซิ ลองมีคนบอกให้คุณแต่งเรื่องสั้นให้เสร็จภายในวันเดียว โดยมีโจทย์ที่ต้องการมาเสร็จสรรพ พรุ่งนี้จะมาเอา รับรองได้ว่า มันจะแยกเป็น 2 กรณี ทันที คือ ถ้าตัวคุณ อารมณ์คุณพร้อมอยู่แล้ว ไม่ต้อง "บิ้ว" อะไรมาก มันก็ไม่ลำบากลำบนมากมาย ดีไม่ดีจะไหลเป็นห่าฝนมากกว่าที่ขอมาซะอีก
แต่ในอีกกรณีนึง ถ้ามันไม่มีอารมณ์ที่จะเขียน มันก็ไม่มีจริงๆ ต่อให้คุณเอาปืนมาจ่อกระบาลผมก็คงจะเขียนให้คุณๆไม่ได้หรอก
งานเขียนมันเป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเล่นกับเจ้าสมองซีกขวาภายในก่อนที่จะถ่ายทอดออกมาทางปลายนิ้ว มันไม่ใช่การลากเส้นตามจุดไข่ปลาที่จะทำตามต้องการเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ผมก็ไม่เถียงหรอกว่ามันต้องมีคนที่สามารถเขียนได้ในทุกสภาวะ ตามใจอยากบ้าง (โค-ตะ-ระ อยากเห็นหน้าเลย) คงได้แต่ซูฮกพี่เขา... แต่งานเขียนผมไม่เคยได้ยินใครพูดถึงปริมาณมากกว่าคุณภาพเลย จริงๆ
เมื่อถึงคราวที่รู้สึกท้อๆ หรือนั่งมองหน้าจอขาวๆ มานานแล้ว ตัวอักษรซักตัวก็ไม่มีท่าทีจะเบ่งบานเท่าไหร่บนหน้าจอ ทางแก้อาการติดเขียนไม่ออกสำหรับตัวผมนะครับ สมมุติผมเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับห้องน้ำไปเลยครับร้านหนังสือในห้าง หนังสือทุกอย่างที่เกี่ยวกับห้องน้ำจะถูกผมเก็บข้อมูลมาเป็น "ฝิ่น" สำหรับข้อเขียนที่ค้างอยู่เมื่อกี้(ซึ่งแน่นอนดูฟรี ไม่ซื้อ) ก่อนที่จะกลับมาเสริช เพิ่มเติมหารายละเอียดนิดหน่อย คราวนี้ ข้อมูลในมือก็ล้นจนพร้อมที่จะเขียน อาการติดขัดที่นั่งนึกอะไรไม่ออกก็หมดไป แต่บางคนอาจสงสัยว่า นั่งอยู่หน้าคอมตอนแรกเสริช หาข้อมูลเพิ่มตอนนั้นเลยไม่ได้เหรอ ในความคิดส่วนตัวของผม การที่เราเขียนติด นึกอะไรก็ไม่ออก การลุกขึ้นจากหน้าคอมมาช่วงครู่หนึ่ง เหมือนการพักสมองและสายตาด้วย อีกอย่างไม่ให้เราจดจ่อจนมากเกินไปต่องานเขียน จนเหมือนตั้งใจจะเขียนมากเกินไปจนดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่อย่างว่าละครับ ถูกผิดไม่ขอยืนยันแค่มาเล่าสู่กันฟังเฉยๆ บางคนอาจจะมีวิธีที่ดีกว่า ก็ไม่ว่ากันครับ
ในการเขียนเรื่องสั้นผมจะใช้วิธีการเขียนที่เดียวรวด ในความหมายคือ ใน1 เดือนนี้ผมตั้งใจจะให้ผลงานออกมา ซัก 10-12 เรื่อง ผมก็สร้างงานอยู่รวดเดียว จนได้ตามต้องการ พอต่อมาอีกเดือน ผมก็จะไม่เขียนเลย แต่จะใช้เวลาเข้าร้านหนังสือ หรือหาข้อมูลในเนต(ส่วนในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเขียนไม่เขียนพอเห็นอะไรจดเก็บไว้อยู่แล้วครับ) สำหรับเรื่องที่ต้องการเขียนมาเก็บไว้เป็นโครงเรื่อง วางตัวละคร พออีกเดือนก็เขียนรวดเดียว เป็นอย่างนี้นะครับ ซึ่งวิธีนี้ถูกผิดอย่างไร ผมก็ไม่ยืนยันอีกเหมือนกัน
ทุกวันนี้อะไรเป็นที่ต้องการของตลาด สิ่งนั้นก็จะออกมารองรับความต้องการอย่างทันท่วงที ซึ่งตรงกับหลัก อุปสงค์-อุปทาน ของหลักเศรษฐศาตร์ คุณคงไม่น่าแปลกใจหรอกว่าทำไมทุกวันนี้วงการวรรณกรรมบ้านเรามันถึงดูหงอยๆ พิกล นักเขียนที่ได้รับการตีพิมพ์หนังสือในแต่ละครั้งจำนวนการพิมพ์แต่ละครั้งค่าเฉลี่ยโดยประมาณ 3000 เล่ม/ครั้ง ประเทศไทยมีประชากรเท่าไหร่ หนังสือจำนวนแค่นี้ยังขายไม่หมดเลย ต้องตีกลับคืนบริษัทให้ช้ำชอกใจ วันดีคืนดี ก็หนังสือเอามากองลดเหลือแค่เล่มไม่กี่สิบบาทในงานหนังสือต่างๆ ให้นักเขียนเจ้าของผลงานยืนมองตาปริบๆ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรในอนาคตถ้าคุณมีโอกาสมีหนังสือของตัวเองวางขาย(ผมขอให้มันเป็นจริง) คุณก็จะทราบซึ้งดี ถึงสัจธรรมข้อนี้
ซึ่งตรงกันข้ามกับหนังสือแนว(ผมจะเรียกว่าแนวอะไรดี...วา) อาทิ ผู้ชายเลวกว่าหมา ......, หักหลังผู้ชาย........., 10 วิธีมัดใจชาย......, ฯลฯ ทำไมมันถึงได้ขายดิบขายดี กันจัง ถ้าอย่างนี้วรรณกรรมทางเลือกจะอยู่ตรงไหน ปกตินักเขียนเขาก็ว่า ไส้แห้ง อยู่แล้วใช่ปะ ผมยังไม่ลึกซึ้งกับข้อนี้เท่าไหร่ เพราะยังไม่ได้เป็นนักขง นักเขียนอะไรกับเขาเต็มตัว แต่ก็เอาเหอะถ้าบุญมาวาสนาส่ง จับพลัดจับพลู ได้เป็นนักเขียนกับเขาบ้าง ก็ขอจองจั๊กจั่น แถวบ้านไว้สักตัว เอาไว้เปลี่ยนลำตัวกัน เพราะจั๊กจั่นมันไม่มีไส้ แฮ่ๆ กันไว้ดีกว่าแก้....นะ
ถึงตอนนี้ความสนใจในการเขียนนิยายเริ่มเข้ามาเยี่ยมเยือนผมมั่งแล้ว พยายามศึกษาหาอ่านจากบรรดานักเขียนทั้งหลาย เพื่อพอเป็นแนวทางในการสร้างผลงาน หนังสือของผมที่เคยทำส่งไปเสนอตาม สนพ. มีแต่คนบอกสนใจแต่ ขณะนี้การรวมเล่มเรื่องสั้นพิมพ์ออกมาแล้วขายยาก ผมก็เลยเบนเข็มหันไปทางนิยายบ้าง กำลังหาพล็อตเรื่องอยู่ครับ คิดว่าจะเขียนไปเรื่อยสลับกับเรื่องสั้น ที่ยังเขียนเหมือนเดิม คาดว่าประมาณ6 เดือน- 1 ปีก็น่าจะเสร็จนะ เสร็จแล้วก็คงจะไปเสนอสำนักพิมพ์สลับกับการโพสให้เพื่อนในเวบอ่าน ส่วนการเสนอผลงานนิยายครั้งถ้าไม่ผ่าน ผมจะทำอย่างไรหรือครับ ผมก็คงตอบได้คำเดียวว่า ก็จะเขียนเรื่องใหม่ไปเสนออีกเรื่อยๆ นะครับ
เพราะการเขียนคือการแสดงออกทางความคิด ที่มันตกตะกอนอยู่ในหัวจนข้นคลัก ก็เลยต้องหาทางออก จริงๆ ถ้าคิดว่าจะเขียนแล้วคิดอยากจะให้ดัง แค่เริ่มคิดก็ผิดแล้วละครับ
ผมเคยอ่านในเวปแห่งหนึ่ง มีคนคนหนึ่งเขาเขียนเรื่องสั้นแล้วเสนอไปตามที่ต่างๆ ทำอย่างไรก็ไม่ผ่านเสียที ลงแต่ในตระกร้า ของบรรณธิการ จนมาบ่นร้องแรกแหกกระเชอ ว่าจะไม่เขียนหรือสนใจกับงานวรรณกรรมอีกแล้ว แถมยังเที่ยวประกาศไปอีกว่าอย่ามามัวเสียเวลากับความฝันลมๆ แล้งๆ นี่อีกเลยสำหรับทุกๆคน ให้ดูอย่างเขาเป็นตัวอย่าง
ซึ่งผมคิดว่าพี่เขาคงเข้าใจอะไรผิดไปบางอย่างแล้วละครับ งานเขียนไม่ได้วัดแค่การได้รับการรวมเล่ม หรือตีพิมพ์ตามหนังสือนิตยสารต่างๆ แค่นั้นหรอก แค่คุณได้เขียน คุณก็มีความสุขแล้วไม่ใช่หรือ มันเหมือนคุณกำลังอยู่ในโลกที่ไม่มีใครสามารถมาขีดบังคับตัวตนคุณได้ แล้วคุณจะเอาอะไรกับมันอีก งานเขียนดีๆ บางงาน แต่ไม่เป็นที่รู้จักหรือได้รับการยอมรับก็มีถมเถ ตราบจนเจ้าของผลงานวายปราณถึงมีคนเห็นคุณค่า มาตีพิมพ์เชิดชูเกียตรให้ ก็มีเห็นๆ ตั้งหลายคน(เช่น เฮอเนสต์ เฮมมิ่งเวย์ เจ้าของรางวับโนเบลจากผลงาน old man and the sea) ถึงตอนนี้คุณคิดว่าคุณยอมรับกับมันได้เหรือเปล่าละ
นอกเรื่องนิด โรงหนังในบ้านเรามาตราฐานในการกำหนดราคาหน้าตั๋วอยู่ตรงไหน วันดีคืนดีมันก็ขี้นเป็น 120 บางโรงไปถึง 140 ด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ราคาปกติจะอยู่ที่100 บาท แถมถ้ามีบัตรวีไอพีการ์ด ที่ทางโรงหนังบอกว่ลดได้ 20% ของราคาตั๋วก็ดันลดไม่ได้อีก บอกว่าเป็นหนังใหม่ พึ่งเข้า.....อ้าว.....เจ๊ แล้วใครเขาอยากจะดูหนังเก่าละ หนังเพิ่งเข้าใหม่ คนเขาถึงอยากดูไม่งั้นเขาไม่ถ่อสังขารมาหลอก ตกลง กรูเป็น วีไอพี ประสาอะไร วะนี่... มองอย่างเป็นกลาง หนังเรื่องเดียวกัน มันควบ หนังฟอร์มยักษ์ ที่เข้าพร้อมกันอีกเรื่อง ฉายวนทั้งวัน 40 บาท อย่างนี้มันทำได้อย่างไร หนังก็ใหม่เหมือนกัน คุณไปดูได้แถวจังหวัดนนท์ กับ สำโรง เดี๋ยวนี้ผมมีวิธีครับ อยากดูเรื่องไหนไม่ไปดูจำเอาไว้ เสร็จแล้ว พอเป็น ซีดี ออกมาค่อยไปเช่าดูเอา ประทับใจก็หาซื้อเก็บ ประหยัดกันกว่าเยอะกับการไปดูด้วยตัวเองที่โรง มันไม่ได้จบที่ซื้อตั๋วแล้วจบ มันมีอะไรต้องเสียตังค์มากกว่านั้น คุณคงรู้ดี
คุณเชื่อไหมนักฝันในบ้านเรามีมากมาย แต่นักทำที่ทำจริงๆจัง ซินับได้เลย ผมรู้ตัวเองดีว่าอยากอยู่ฝั่งไหน แม้บางครั้งจะมีอาการท้อใจมาคอยฉุด กระชากให้เข้าพวกอยู่เรื่อยๆ แต่เอาเถอะครับ ขอแค่ได้ทำในสิ่งที่รัก ก็พอแล้ว........ไม่ใช่หรือ
ฉบับนี้ อาจจะมุขน้อยไปหน่อย คงเพราะแมน ยูฯ แพ้ แต่ช่างมันเถอะ ทุกอย่างมีขึ้นมีลง เอ่อ.. เขียนเรียบๆ อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ดังนั้นคงช่วยไม่ได้ที่ผมจะทำใจยากและรวมถึง รักษาอารมณ์ติดพันมาเอี่ยวในงานเขียนบทความครั้งนี้ด้วย เพราะผมเคยไว้แล้วว่าอยากเป็นนักเขียน ไม่ได้อยากเป็น.....ตลก สวัสดีครับ
"ตานายเดิน"
ปล.(ว่าจะไม่มีแล้วนะฉบับนี้) เขียนเรื่องให้ตลกหรือให้สนุก นี่ยากมากพอๆ กับหนีแฟนไปเที่ยวเลยอะ เขียนให้คนเกลียดยังง่ายกว่าเลย.......
จากคุณ :
ตานายเดินvsเรื่อยเปื่อยไปวันๆ
- [
30 เม.ย. 47 17:14:44
A:203.147.26.82 X:203.147.26.123
]
|
|
|