ตานายเดินvsเรื่อยเปื่อยไปวันๆ NO.5

    29/04/2004
    สวัสดีครับคุณ “ตานายเดิน”




    พักนี้(สองสามวันที่ผ่านมา)รู้สึกขี้เกียจ ๆ อย่างบอกไม่ถูก
    ไม่แน่ใจว่าโรคนี้เป็นอาการของคนท้อแท้หรือเปล่า
    นั่งเหม่อหน้าจอคอมพ์โดยที่ไม่รู้จะทำอะไร
    ปล่อยคลื่นความคิดให้วิ่งวนอยู่ในสมองเล่นซะอย่างนั้น
    เมื่อความคิดมันโลดแล่นอยู่ตลอดแต่ร่างกายมันไม่อยากจะทำอะไรเลย
    มันก็เลยทำให้พักนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเพี้ยน ๆ ยังไงพิกล
    ไม่รู้ว่าความเบื่อ ความอยาก ความขยันอะไรมันมีมากกว่ากัน
    (แต่คำตอบก็คงมีเพียงแค่ว่า “ขี้เกียจ” เท่านั้นเอง)




    เข้าเรื่องเลยดีกว่า ยังไงตอนนี้ก็ได้เริ่มใหม่อีกครั้งแล้ว
    คุณเคยหมดไฟในการเขียนไหม คำถามง่าย ๆ
    อย่างนี้คุณคงมีคำตอบให้กับตัวเองในใจอยู่แล้ว สำหรับผมเรื่อง หมดไฟ
    ไฟมอดนี้เกิดขึ้นเป็นระยะ บางครั้งก็เป็นประจำ
    ในเหตุการณ์วิกฤตเหล่านี้ผมมักจะหาทางออกให้กับตัวเอง
    หาทางแก้ที่ผมคิดว่ามันอาจจะใช้ได้กับผมเพียงคนเดียว วิธีเติมเชื้อฟืนง่าย ๆ
    แต่ได้ผลเสมอของผมก็คือ หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน เปิดดูผลงานคนโน้น
    คนนี้ที่ประสบความสำเร็จดู พยายามคิดให้เหมือนเขา
    (เชื้อฟื้นเริ่มประทุอีกครั้งและ) สร้างแรงจูงใจให้กับตัวเอง
    เบนสายตาและความคิดกลับไปหาเป้าหมายที่เราวาดหวังเอาไว้อีกครั้ง
    เพราะบางทีการที่เรามุ่งมั่นกับสิ่งไหนนานเกินไปแล้วผลสำเร็จยังไม่ลุล่วง
    หรือว่ารางวัลที่คาดหวังไว้ยังไม่ได้มา การพุ่งตรงสู่จุดหมายอาจจะเบี่ยง
    ไขว่เขวและหมดแรงลงไปในที่สุด เมื่อผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมาถึงจุด ๆ
    นั้นแล้วก็ต้องเริ่มหาแรงจูงใจใหม่ ๆ มาเติมเชื้อไฟไม่ให้มอดดับไป
    เพราะถ้าถ่านมอดดับ การเดินทางตามความฝันที่แสนนานอาจจะต้องยุติลงตรงกลางทาง




    ได้พูดเรื่องอย่างนี้ก็ทำให้นึกได้ว่า การทำงานของจิตใจ สิ่งเร้าภายใน
    มันก็ส่งผลต่อการกระทำภายนอกได้เหมือนกัน ถ้าภายในใจเราเข้มแข็ง กล้าแกร่ง
    มันก็สามารถให้เรามีกำลังใจที่จะต่อสู้ฝ่าฟันสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไม่ย่อท้อ
    แม้สิ่งเร้าภายนอกมันจะไม่เป็นใจกับเราเท่าไรนัก (ไม่เป็นใจยังไงหว่า )




    เมื่อคุณกำลังเดินอยู่ในป่า มืด คนเดียว คุณจะกลัวไหม ถ้าเป็นผม ผมคงกลัว
    คิดอะไรไปต่าง ๆ นานา เพราะภายในใจส่งกลัวออกมา สร้างจินตนาการเลวร้าย ต่าง ๆ
    ออกมา ผีหรือเปล่าวะ หรือว่าเสียงเสือ หรือว่าโน่น นี่ ฯลฯ คิดไปสารพัดสารเพ
    แต่ถ้าเป็นคุณ ถ้าภายในใจคุณไม่กลัว กลางป่า มืด
    มีแต่ความสวยงามของแมกไม้พลิ้วไหวต้องลมเอื้อย ดาวบนฟ้าระยับประกายงามตา
    ไอเย็นสดชื่นที่แทรกมากับกลิ่นดอกไม้ป่า ทุกอย่างช่างรื่นภิรมย์เสียนี่กระไร




    พูดไปพูดมานึกถึงคำนี้เลย
    “ความกลัวเป็นสิ่งที่เราจินตนาการขึ้นมาเองเอาชนะมันให้ได้” ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น
    เรื่องราวสองสามย่อหน้าข้างต้นบ่งบอกตัวตน
    เรื่องราวชีวิตของผมในตอนนี้ได้ดีจริง ๆ (
    หรือว่าผมกำลังกลัวอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น
    จินตนาการมันช่างแสนร้ายกาจเหลือเกิน )




    ในเรื่องกายกับใจ ต้นโพธิ์กับกระจกใสที่คุณเล่าให้ฟัง
    มันก็ทำให้ผมได้สร้างความสับสนให้กับรอยหยักในสมองอีกครั้ง
    ผมควรอยู่คล้อยตามคำพูดของชายคนที่หนึ่งหรือคนที่สองดี
    มันทำให้ผมได้เห็นได้รู้สึกถึงความแตกต่างของมุมมองคน มองต่างมุม
    ต่างคนต่างมองเห็นโลกในคนละมุม ถ้ามีต้นโพธิ์ มีกระจกใส
    ฝุ่นไรก็ต้องก่อจับเป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่มีต้นโพธิ์ไม่มีกระจกใสล่ะ
    ฝุ่นไรจะเอาปัญญาที่ไหนมาเกาะจับ (ไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า)
    หรือบางทีคนเราจะยึดติดกับวัตถุมากเกินไป (ผมคิดว่ากำลังคล้อยตามชายคนที่สอง
    --- ???หรือที่ผ่านมาผมกำลังสาละวนอยู่กับการปัดกวาดเช็ดถู
    ฝุ่นที่เกาะจับเงาสะท้อนตัวเอง---แล้วเมื่อไรมัน(ฝุ่น)จะหมดไปจากโลก(ใจ) เสียที )




    เข้าเรื่องหรรษาดีกว่า (ต้องปรับตัวให้ทัน)




    ผมได้เห็นประเด็นอันหนึ่งซึ่งสะดุดใจมาก ก็คือเรื่องละครไทยกับ หนังโรง
    ผมเพิ่งรู้จะเข้าใจในวันนี้เองว่าทำไมแม่ยายกับลูกสะใภ้ทำไมไม่ถูกกับ
    ทำไมนางเองถึงต้องดื่มน้ำส้มทุกเรื่อง เพราะอย่างนี้นี่เอง
    ถึงว่าหนังสือนางนวล ไทยเพลย์บอย ขายดิบขายดี (ทั้ง ๆ
    ที่เนื้อหาก็วนเวียนซ้ำซาก) แต่วงการวรรณกรรมกลับต้องถอนหายใจว่า
    คุณคือชนกลุ่มน้อยนของสังคม




    ถะ...ถะ ...ถูกต้องนะครับ (ขอบคุณ คุณปัญญาอีกครั้ง)




    ถ้าพูดเกี่ยวกับเรื่องหนังผมก็คงได้แต่งง ๆ เบลอ ๆ
    เพราะจำไม่ได้ว่าตีตั๋วเข้าไปดูหนังครั้งสุดท้ายเมื่อไร
    ไม่ว่าด้วยเหตุผลร้อยแปดพันประการใด ๆ
    แต่ต่อไป(ถ้ามีเวลาและโอกาสเยอะกว่านี้)คงได้เข้าไปนั่งตากแอร์(แอบ)จับมือสาวอีกครั้ง
    (คุณรู้จักปฏิบัติการข้าวโพดคั่วมะ? แฮ่ม!!!!!! หรือว่าผมกำลังจะหรรษาเกินไป
    เอ แล้วปลาโลมามันมีชอบเล่นอะไรพิเรนทร์ ๆ เหมือนคนเราหรือเปล่าน้า ? อุ๊บส์ )




    หนังสือที่อ่านอยู่เป็นประจำในตอนนี้ก็คงมี aday กับ open ( ผมคิดเหมือน ๆ
    กับคุณเลยกับ aday แต่ถ้าวันไหนอยากลองกินปั้นข้าวเหนียวก็หยิบ open ขึ้นอ่าน
    เหอ ๆ ๆ ผมรู้แล้วแหละว่าทำไมมีคำบอกที่ว่ากินข้าวเหนียวแล้วทำให้ง่วง
    ครั้งนี้(เป็นอีกครั้ง)คงถ่ายทอดอะไรออกมาได้ไม่มาก
    เพราะกำลังต่อสู่กับสภาวะภายในของตัวเองอีกครั้ง
    ใจอ่อนแอก็ทำให้ร่างกายโรยแรงได้โดยไม่รู้ตัว
    หรือว่าผมถูกสร้างขึ้นมาให้มีจิตที่อ่อนแอกว่าพื้นฐานจิตใจของคนธรรมดาทั่วไป
    แต่คงอีกไม่นานผมคิดว่าคงจะกลับสู่สภาวะปกติ อีกไม่นาน (ผมหวังว่าอย่างนั้น)





    โลกยังคงหมุนไป ผมยังคงค่อย ๆ พยายามวิ่งทวนกระแสการหมุนของโลกกลม ๆ
    คล้ายผลส้มแป้นใบนี้ หรือว่าบางที่ผมควรจะหมุนตามไปกับโลกใบนี้
    แล้วถ้าผมเดินตามกระแสมันไปล่ะ จะกลายเป็นว่ายตามน้ำไหม
    แล้วผลของปลาว่ายตามน้ำล่ะเป็นยังไง? ปลาว่ายทวนน้ำเป็นยังไง?
    แต่ผมเป็นคนนิไม่ใช่ปลา? แล้วถ้าผมเป็นปลาล่ะจะว่ายน้ำยังไง?
    (ผมกำลังพล่ามอะไรอยู่นี่)




    สุดท้ายสำหรับ “เด็กผี” อย่างนี้สิครับถึงจะสนุก ถ้าอยู่ในมุมเดียวกัน
    มันจะไม่สนุก มันต้องมีฝ่ายแดง ฝ่ายน้ำเงิน ต้องมีดำมีขาว
    อย่างที่บอกล่ะครับ จะให้คนร้อยคนคิดเหมือนกันหมด เป็นไปไม่ได้




    เว้นแต่คนเหล่านั้นจะไม่ใช่คน... อ้าว

    จากคุณ : ตานายเดินvsเรื่อยเปื่อยไปวันๆ - [ 30 เม.ย. 47 17:14:05 A:203.147.26.82 X:203.147.26.123 ]