=Chance & Destiny=...Chapter 4...

    “หนักใจมากมั้ยที่มีเรานั่งอยู่ในรถด้วยทุกวันๆ อ่ะ”
    เธอทำลายความเงียบด้วยคำถามที่ผมฟังแล้วสะดุ้ง
    “ทำหน้าซึมกะทืออยู่ได้ ถ้าไม่เต็มใจก็บอกสิ เราก็ไม่อยากรบกวนเรนนักหรอกนะ”
    “ไม่ใช่อย่างนั้น เรนเครียดๆ เรื่องสอบอาทิตย์หน้าอ่ะ”
    ผมเลือกที่จะโกหกเธออีกตามเคย เพราะผมไม่อยากให้เธอไม่สบายใจด้วยเรื่องที่ผมเป็นต้นเหตุอีก
    “โธ่! คิดว่าอะไร วิชานั้นอ่ะนะ หมูในอวยแท้ๆ ไม่ต้องกังวลหรอกเรน...เอางี้ เราเลี้ยงไอติมแก้เครียดเอง”
    พอเธอพูดถึงของโปรดก็ทำหน้าฝันหวานไปถึงไหนต่อไหน ผมเองก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ จึงเบนเข้าเลนซ้ายก่อนที่จะหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าห้างสรรพสินค้าชื่อดัง...จุดมุ่งหมายก็คือ...ร้านไอศกรีม...ร้านเดิม...

    “สวัสดีค่ะ ช่วงนี้เรามีเมนูใหม่ล่าสุดเลยนะคะ เป็นสวีทโบวล์ไอศกรีมสามลูกนะคะ สามารถเพิ่มท๊อปปิ้งสามอย่างได้ฟรีค่ะ”
    พนักงานสาวสวยในชุดยูนิฟอร์มของทางร้าน รัวคำโฆษณาอย่างคล่องแคล่วเนื่องมาจากการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทำเอาคนตรงหน้าผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คล้อยไปตามคำโฆษณายาวเหยียดนั้นอย่างไม่รู้ตัว


    “พลอยไม่คิดจะมองใครบ้างเหรอ” ผมเห็นเธอชะงักช้อนที่กำลังจะจ้วงตักเชอร์เบท เลมอนรสโปรด
    “ถามทำไม”
    “เรนอยากเห็นพลอยมีความสุข”
    ผมตอบไปอย่างที่ใจบอกจริงๆ ผมอยากเห็นผู้หญิงคนนี้มีความสุข เธอน่าจะมีคนที่คอยมาดูแลเอาใจใส่ได้ดีกว่าผมซึ่งอยู่ในฐานะเพียงแค่เพื่อนสนิทเท่านั้น ไม่ใช่ว่าผมเบื่อหน่ายหรือคิดว่าพลอยเป็นภาระ ผมกลับดีใจด้วยซ้ำที่ได้รู้จักกับพลอย ดีใจที่มีผู้หญิงคนนี้อยู่เคียงข้างผมมาตลอด แต่ผมก็รู้ดีว่าสักวันหนึ่ง คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ คงไม่ใช่ผมอีกต่อไป...จนวันนี้ผมคิดว่าผมได้เจอคนที่พอจะไว้ใจที่จะฝากพลอยไว้กับเขาแล้ว...
    เธอมองหน้าผมก่อนจะโพล่งถามออกมา “ในสายตาของเรน...ตอนนี้เราทุกข์มากเลยเหรอ”
    “เต้เป็นคนดีนะพลอย” ทันทีที่ผมพูดจบ เธอก็วางช้อนไอติมลงทั้งๆ ที่ของโปรดของเธอยังไม่พร่องไปเลย จากที่เราสนิทสนมกันมานานมันทำให้ผมรู้ว่าเธอไม่พอใจเอามากๆ แต่ไม่แสดงออกมา
    “นี่เรนกำลังจะทำอะไร...เป็นพ่อสื่องั้นเหรอ” ผมเห็นเธอกำกระดาษเช็ดปากไว้แน่น หากไม่มีมันรองรับไว้ ฝ่ามือของเธอคงเต็มไปด้วยรอยเล็บจิกไปแล้ว
    “ถ้าเขาไม่ดี เรนก็จะไม่มีทางให้เขาเข้ามาใกล้พลอยหรอกนะ”
    “คนดีเหรอ...เขาเป็นคนดีเรนเลยคิดว่าเราควรที่จะคบกับเขา แล้วถ้าคนดีมีเป็นล้านเป็นสิบ เรนก็คงอยากจะให้เราคบกับทุกคนงั้นสิ” ผมหลบตาเธอ ไม่คิดจะเอ่ยอะไรออกมาอีก
    “เราคิดมาตลอด...ว่าเรนเป็นคนเดียวที่เข้าใจเราเสมอ...แต่วันนี้เรนก็ทำให้เราได้รู้ว่าเราคิดผิด...”
    เธอคว้าบิลบนโต๊ะแล้วรีบเดินไปที่พนักงานคิดเงิน ไม่ได้สนใจของโปรดที่เหลืออยู่เต็มถ้วยบนโต๊ะอีกเลย

    “พลอย...พลอยฟังเรนก่อน” ผมเดินตามเธอมา หลังจากที่พอพ้นจากประตูร้านแล้วเธอก็เดินจ้ำเอาจ้ำเอาจนผมต้องเร่งฝีเท้า
    “ถ้าเรนจะพูดเรื่องนายนั่นอีกล่ะก็ พอเลยเราไม่อยากฟัง”
    “ไม่พูดแล้ว เรนขอโทษ...มาดีกันนะ”
    ไม่พูดเปล่า ผมยังยกนิ้วก้อยสัญลักษณ์ของการขอคืนดีรอให้เธอเกี่ยวนิ้วลงไป แต่รอเท่าไหร่เธอก็ไม่ทำตามที่ผมคิดไว้สักที ผมเลยจับนิ้วของเธอมาจัดการเกี่ยวไว้เสียเอง
    “เราดีกันแล้วนะ”
    ผมมัดมือชกซะอย่างนั้นล่ะ แม้เธอจะขัดขืนบ้างแต่ผมก็ล็อกนิ้วก้อยเธอแน่นอยู่อย่างนั้น สรุปว่าเราก็เดินเกี่ยวก้อยกันไปทั่วห้าง หน้าตาผมออกจะยิ้มแย้มแจ่มใส ส่วนคนข้างๆ ผมนี่สิ...หน้าบูดยิ่งกว่าอมบอระเพ็ดซะอีก
    ..........................................................................................................

    ฉันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอนนุ่มๆ บนเตียงเต็มไปด้วยนิยายและคู่มือคำนวณเชิงสถิติ ซึ่งมันจะไม่หน้าสนใจเอาซะเลย หากไม่มีอะไรบางอย่างสอดอยู่...รูปคู่ระหว่างฉันกับเขา...
    ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบถ่ายรูป ไม่บ้ากล้องเหมือนยัยบี ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการถ่ายรูปเกิดขึ้น เธอจะต้องวิ่งร้อยเมตรเข้าไปมีส่วนร่วมในนั้นด้วยทุกครั้ง ฉันนิยมเก็บภาพประทับใจไว้ในความทรงจำมากกว่าที่จะบันทึกลงบนฟิล์มพวกนั้น
    แต่รูปใบนี้พี่ภูเป็นคนถ่ายให้เมื่อเจ็ดปีก่อน เท่าที่ฉันถ่ายรูปมาฉันก็ทำหน้าบึ้งใส่กล้องมาตลอด มีเพียงรูปใบนี้ล่ะ ที่ฉันฉีกยิ้มรับแสงแฟลทอย่างที่ไม่เคยเป็น ฉันเคลือบมันด้วยพลาสติกแข็ง เก็บมันไว้อย่างดี เพราะฉันกลัวว่าความลับมันจะถูกเปิดเผย...ความลับ...ใต้รูปใบนี้...

    “รีบไปรีบกลับนะลูก ฝากขอบคุณป้านันท์เขาด้วยเรื่องขนมน่ะ”
    พ่อพูดขึ้นหลังจากที่ลดหนังสือพิมพ์ในมือลงมากองไว้ที่ตัก ฉันจึงเดินไปใกล้ท่านแล้วลดตัวลงนั่งข้างๆ รถเข็นของพ่อก่อนจะกุมมือพ่อไว้หลวมๆ
    “ตอนเย็นๆ พลอยจะพาพ่อไปเที่ยวที่สวนนะคะ”
    สวนที่ฉันพูดถึง เป็นสวนดอกไม้ของหมู่บ้านที่ไม่ถึงกับกว้างใหญ่นัก แต่ฉันรู้ว่ามันยิ่งใหญ่ต่อจิตใจของพ่อแค่ไหน ในขณะที่ฉันออกไปเรียนหรือไปทำงานข้างนอก พ่อทำได้แค่เพียงอยู่ในบ้าน อ่านหนังสือบ้าง ดูทีวีบ้าง หรือไม่ก็นั่งคุยกับน้าสินแก้เหงา เพียงแค่เดือนละครั้งเท่านั้นที่พ่อจะได้ออกไปข้างนอก...ซึ่งข้างนอกของพ่อก็คือโรงพยาบาลนั่นเอง
    ฉันขึ้นคร่อมรถจักรยานที่ได้รับช่วงต่อจากพี่ชาย ก่อนจะหันไปโบกไม้โบกมือให้พ่อซึ่งมาส่งฉันถึงหน้าประตูบ้าน แล้วก็ไม่ลืมที่จะกำชับน้าสิน
    “น้าสินอย่าลืมจัดกุหลาบไว้ในห้องพ่อนะคะ”
    “ครับคุณพลอย ขี่รถดีๆ นะครับ”
    ฉันหันไปฉีกยิ้มรับคำ ก่อนจะออกแรงปั่นน้องเหลืองของพี่ภูไปจนถึงร้านป้านันท์หน้าปากซอย ฉันทำงานเสาร์อาทิตย์อยู่ที่นี่มาเกือบห้าปีแล้ว ป้านันท์เจ้าของร้านเป็นหญิงวัยห้าสิบต้นๆ ท่านเอ็นดูฉันเหมือนกับลูกกับหลานคนหนึ่งเพราะท่านทราบเรื่องพ่อของฉันดีและให้กำลังใจฉันมาโดยตลอด
    ร้านอาหารของป้านันท์เป็นร้านอาหารที่มีความหลากหลาย ทั้งไทย จีน ฝรั่งก็มีพร้อม เพราะลูกค้าที่มาใช้บริการมีทั้งนักเรียนนักศึกษา พนักงานบริษัท รวมไปถึงแม่ค้าในตลาดแถวๆ นั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนมาอุดหนุนกันจนแน่นขนัด เพราะติดใจในรสชาติของอาหารฝีมือป้านันท์และแม่ครัวที่ฝึกปรือมาเป็นเวลานาน
    “พลอย...วันนี้มีหนุมานคลุกฝุ่นด้วยนะ จะซื้อไปฝากเพื่อนรึเปล่าลูก”
    “เอาค่ะ ป้านันท์เก็บไว้ให้พลอยสองถาดแล้วกันค่ะ”
    เย็นวันนั้นฉันจึงกลับบ้านไปพร้อมถาดขนมสองถาด ฉันซื้อฝากพ่อถาดหนึ่ง ส่วนอีกถาดฉันตั้งใจจะเอาไปให้ ’คนข้างบ้าน’ ที่มีของโปรดเป็นเจ้าขนมกลมๆ นี่ แต่ปรากฏว่าเขายังไม่ได้กลับมาจากสอนพิเศษ ฉันจึงต้องถือเจ้าถาดนี่เข้าบ้านอย่างแก่วๆ
    “พ่อขา ไปที่สวนกันเถอะค่ะ แดดกำลังจะหมดพอดีเลย”
    “แล้วเรนล่ะ ไม่รอเรนก่อนเหรอ” พ่อถามถึงเขา เพราะปกติจะต้องมีเขาเดินตามต้อยๆ ไปตลอดทาง คอยหยิบน้ำ หยิบขนมให้พ่อบ้าง แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปอยู่ที่ไหน
    “วันนี้เรนคงจะสอนเพิ่มอ่ะค่ะ เราไปกันเองก็ได้ เดี๋ยวจะมืดนะคะ”
    ฉันกำลังจะพาพ่อผ่านพ้นประตูบ้านออกไป แต่แล้วก็มีรถเก๋งคันหรูสีดำเป็นเงา ดูแล้วก็พอจะเดาราคาดูได้ว่า คงไม่ต่ำกว่าสองล้านมาจอดสนิทอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน ทันทีที่เห็นหน้าคนขับฉันก็อยากจะวิ่งหนีเข้าบ้านซะอย่างนั้น...ไม่ใช่เพราะกลัวหรอกนะ...แต่เหม็นขี้หน้าต่างหาก
    จะว่าไปแล้วนายเต้นี่ก็ถือว่าเข้าข่ายชายหนุ่มในสเป็คของหญิงสาวหลายๆ คนล่ะนะ ขาว สูง หุ่นดี หล่อ เท่ห์ ช่างเอาใจ...สาวๆ เห็นเป็นต้องวิ่งเข้าใส่...แต่ฉัน...ขอวิ่งออกห่างเป็นดีที่สุด...
    “รถไปไหนล่ะเรน ถึงต้องอาศัยรถ ’คนอื่น’ มา” ฉันทิ้งน้ำหนักตรงคำว่าคนอื่นอย่างจงใจ
    “เจ้าฟ้าหักหลังซะแล้วล่ะพลอย เลยต้องทิ้งไว้ที่บ้านเต้ แล้วก็ให้เต้มาส่ง”
    เขาอธิบายให้ฉันฟังก่อนจะแนะนำ ’คนแปลกหน้า’ ให้พ่อฉันรู้จัก
    “อาพัฒน์ครับนี่เต้เป็นเพื่อนผมครับ” นายนั่นทำความเคารพพ่อฉันอย่างนอบน้อมเสียเหลือเกิน
    “นี่อาพัฒน์เป็นพ่อของพลอย”
    “นี่ก็เพื่อนๆ กันหมดล่ะสิเนี่ย...อากับยัยพลอยกำลังจะไปในสวน ไปด้วยกันมั้ยล่ะ”
    ฉันแทบอยากจะกรี๊ดออกมา( ทั้งๆ ที่ทำไม่เป็นก็ตาม )...พ่อขาจะไปชวนเขาทำไมล่ะคะ...
    “เขาคงไม่ว่างหรอกค่ะพ่อ อย่าไปรบกวนเขาเลยนะคะ เขาคงต้องรีบกลับน่ะค่ะ”
    ฉันทำอะไรไม่ได้มาก เพราะติดอยู่ตรงคำว่า ’มารยาท’ เลยได้แค่ไล่อ้อมๆ เพียงแค่นั้น
    “เปล่านี่ฮะ ผมไม่ได้รีบไปไหนหรอก หวังว่าคุณอาคงไม่รังเกียจนะครับที่มีผมอยู่ด้วย”
    “พูดอะไรอย่างนั้น คนกันเองแท้ๆ”
    ...นี่พ่อไปสร้างความเป็นกันเองกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย...ฉันล่ะงง
    ..........................................................................................................

    ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำใกล้ลับขอบฟ้าเต็มที ผมอาสาเข็นรถให้อาพัฒน์เหมือนทุกครั้ง อาพัฒน์ชอบมาที่สวนนี้บ่อยๆ ผมเห็นท่านมีความสุขทุกครั้งที่ได้มาเห็นบรรดาไม้ดอกกว่ายี่สิบชนิดที่นี่ ทำให้ผมคิดได้ว่าอาการป่วยนั้นจะรักษาบำบัดทางเคมีอย่างเดียวไม่ได้ ต้องบำบัดทางใจควบคู่กันไปด้วย
    อาพัฒน์มีลูกสาวที่น่ารักอย่างพลอยอยู่ใกล้ๆ พลอยเป็นยาขนานเอกที่ทำให้คนป่วยอย่างอาพัฒน์มีกำลังใจที่จะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป ต่อหน้าคนอื่นๆ พลอยมักจะทำตัวแก่นแก้ว ไม่แคร์ไม่กลัวใคร แต่หากอยู่ต่อหน้าผู้เป็นพ่อแล้ว เธอจะกลายเป็นสาวน้อยแสนอ่อนแสนหวานไปเลยทีเดียว

    “นี่ขาดความอบอุ่นรึไง เดินตามอยู่ได้”
    “ครับ ขาดความอบอุ่น ไม่รู้ว่าแถวนี้จะพอมีเหลือเผื่อให้คนไม่สมบูรณ์อย่างผมบ้างมั้ยครับ”
    “ไม่มี...ไปหาเอาข้างหน้าเถอะ”
    พลอยพูดตัดบทเสียดื้อๆ ก่อนจะเดินมาหาผมและอาพัฒน์ จนนายเต้เพื่อนผมได้แต่ยืนเกาหัวแกรกๆ ผมเองก็จนใจ...คนอย่างพลอยชมพูใครๆ ก็รู้ว่าไม่มีทางที่จะยอมแพ้ใครง่ายๆ แล้วอีกอย่างเรื่องแบบนี้บังคับใจกันได้ซะที่ไหน
    หลังจากที่ผมได้คุยกับอาพัฒน์ระหว่างทางที่โอบล้อมไปด้วยเจ้ากุหลาบหลากสีสัน อาพัฒน์เล่าให้ผมฟังถึงเรื่องในอดีตของท่าน ท่านเคยเปิดรีสอร์ทในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสร้างรายได้ให้กับท่านและครอบครัวเป็นจำนวนมาก ด้วยความที่ท่านรักและสนใจในไม้ดอก โดยเฉพาะดอกกุหลาบ ท่านจึงสร้างสวนกุหลาบขนาดใหญ่ขึ้นในรีสอร์ทนั้น จนกลายเป็นจุดเด่นและจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวของที่นั่นเลยทีเดียว แต่เพียงไม่นานทุกอย่างก็พังพินาศ เงินในรีสอร์ทถูกยักยอกเป็นจำนวนเงินหลายหลัก และท่านก็ถูกหุ้นส่วนที่เคยไว้ใจมาตลอดหักหลังแบบไม่มีชิ้นดี จนท่านล้มละลายไม่เหลืออะไรเลยนอกจากเงินในแบงก์ที่มีเพียงไม่มากนัก ท่านจึงตัดสินใจย้ายครอบครัวมาอยู่ในกรุงเทพจนถึงปัจจุบัน

    ...ด้วยเหตุนี้ล่ะมัง พลอยถึงได้เกลียดกุหลาบนักหนา...

    และมีบางสิ่งที่ผมสงสัย แต่ไม่เคยเอ่ยปากถามออกไปสักครั้ง...แม่ของพลอย...ผมไม่รู้เรื่องของท่านเลย พลอยมักจะเล่าเรื่องของพ่อ ของพี่ชายให้ผมฟังบ่อยๆ แต่ไม่เคยพูดถึงผู้เป็นแม่เลยสักครั้ง ผมเคยเห็นรูปถ่ายของท่านอยู่ครั้งหนึ่ง...สวยแต่นัยน์ตาเศร้า...พลอยเหมือนแม่ไม่มีผิด...
    ..........................................................................................................

    ...Chap.นี้สั้นไปหน่อยนะคะ พอดีไม่ค่อยมีเวลาเลย ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ...วิจารณ์กันมาเยอะๆ เลยค่ะ...ชอบ!!!...เจอกันใน Chap. 5 คับป๋ม...

    จากคุณ : Cookie CO. - [ วันแรงงาน 02:08:22 A:203.113.66.71 X:203.150.209.232 ]