............1 ปี กับความทรงจำที่แสนดี..........

    หายหน้าหายตาไปจากถนนฯ นานเหลือเกิน  สำหรับหนูยี   จนผ่านวันครบครอบ 1 ปีที่อยู่ในถนนแห่งนี้ไปแล้วเกือบ 2 เดือน  ก็เพราะภารกิจที่มากตามอายุที่เพิ่มขึ้น

    1 ปีที่ผ่านมา กับการได้สัมผัสกับถนนสายนี้  ถนนสายนี้ได้ให้อะไรกับหนูยีมากมาย  ได้รู้จักกับพี่ๆ น้องๆ ที่น่ารัก..   ได้อ่านเรื่องที่อยากอ่าน  ได้พัฒนาฝีมือการเขียนของตัวเองขึ้น(นิดหน่อย)   ได้รู้ว่า โลกเสมือนแห่งนี้ ก็ไม่ได้มีแต่ความหลอกลวงและอันตรายอย่างเดียว  แต่ ยังมีความจริงใจ และมิตรภาพที่สวยงาม

    ที่แห่งนี้เป็นที่ๆยามสุขก็คิดถึง และอยากแบ่งปันความรู้สึกดีๆให้ทุกคนได้รับรู้  เพราะทำให้รู้ว่าจะมีคนยิ้มรับความสุขไปกับเราด้วย
    ที่แห่งนี้เป็นที่ๆยามทุกข์ก็คิดถึง  และสามารถนำความทุกข์มาระบายในที่แห่งนี้ได้  เพราะทำให้รู้ว่ายังมีคนที่เอื้ออาทร และพร้อมจะเป็นกำลังใจให้


    ถนนนักเขียนแห่งนี้มีเสน่ห์ดึงดูดให้ใครที่ได้หลงเข้ามาแล้ว  ไม่อยากจะจากไป   หนูยีเคยคิด   คิดว่าทำไมถนนสายนี้ถึงได้ดึงดูดผู้คนนัก   ถนนสายนี้มีอะไรดี?    หรือเป็นเพราะนิยาย เรื่องสั้น ที่สนุกน่าติดตามหรือ?….    
    จนในที่สุดวันนี้ก็คิดได้   ไม่ใช่เป็นเพราะมี นิยายมากมายหรอก  แต่เป็นเพราะ ถนนสายนี้มีคนเดินถนนที่น่ารักต่างหาก   เพราะคนเดินถนนมีความจริงใจให้กัน  มีความเอื้ออาทรให้กันและกัน   นั่นทำให้ถนนสายนี้มีเสน่ห์ที่ดึงดูดใครต่อใครไม่ให้จากไปไหน อยากอยู่บนถนนสายนี้นาน นาน …     หนูยีไม่อยากให้ใครจากไปเลยสักคน…

    1 ปีที่ผ่านมากับการได้สัมผัสชีวิตเด็กหอ  ชีวิตเด็กหอได้ให้อะไรกับหนูยีมากมาย  ได้รู้จักกับเพื่อน  และพี่ที่น่ารัก   เรียนรู้การอยู่ร่วมกัน  เรียนรู้การเป็นฝ่ายให้มากกว่าฝ่ายรับ  มีความเอื้ออาทรให้กันและกัน    มีการทำกิจกรรมด้วยกัน  สนุกสนานด้วยกัน   ได้รู้ว่าชีวิตเด็กหอนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด  ไม่มีขโมย  มีแต่การแบ่งปันกันและกัน

    พี่ที่อยู่ห้องเดียวกันกับหนูยีเป็นพี่ที่น่ารักมาก  
    ยามหนูยีไม่สบาย จะคอยดูแล  เช็ดตัวให้  หานมอุ่นๆให้ดื่ม
    ยามที่หนูยีนอนหลับแล้วดิ้นจนผ้าห่มเลื่อนหลุดไปจากร่าง   พี่ก็จะหยิบขึ้นมาห่มให้ใหม่  
    ยามที่พี่ซื้อขนมอร่อยๆมา   ก็จะเก็บแบ่งไว้ให้หนูยีกิน
    ยามเมื่อถึงวันเกิดหนูยี  พี่ก็จะชวนเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆจัดเซอร์ไพส์ให้หนูยีตื่นเต้น
    ยามไม่สบายใจ   จะมีเสียงใสๆของพี่เป็นกำลังใจให้
    และเมื่อถึงวันพิเศษๆ  พี่ ก็จะมีข้อความดีๆในกระดาษโน้ตลายสวยวางไว้บนโต๊ะแทนคำบอกกล่าวเสมอ

    ชีวิตเด็กหอที่หนูยีได้อยู่นี้ มีเสน่ห์ดึงดูดพวกเราเข้าไว้ด้วยกัน  มันได้สร้างเป็นความผูกพันพวกเราไว้  ถึงแม้ว่าหนูยีและเพื่อนจะต้องจากชีวิตเด็กหอ  แต่ความสัมพันธ์ของเรา กับ พี่  ก็ไม่ได้จากไปไกล  พวกเราและพี่ยังคิดถึงกันเสมอ

    ก่อนที่หนูยีและเพื่อนจะหมดสภาพการเป็นเด็กหอและจากพี่กลับมาอยู่บ้าน   พี่ยังคงสบายดี  แข็งแรง และร่าเริง  พวกเรายังมีการวางแผนนัดเจอกันอีกเมื่อถึงวันเกิดของพี่ ในเดือนเมษาที่จะถึงนี้  

    ….. ไม่มีใครเคยคิดว่า ..วันนั้นจะเป็น..วันสุดท้าย…

    วันเกิดพี่  หนูยีและเพื่อนอีกคนร่วมใจกันส่งหนังสือและจดหมายไปให้พี่ถึงบ้าน เป็นของขวัญวันเกิด  และหนูยีได้ sms  ไปให้พี่     แต่ไม่ได้โทรศัพท์ไปอวยพร    ถ้าวันนั้นได้โทรไปอวยพรพี่  คงได้คุยกันก่อนเป็นครั้งสุดท้าย

    หลังจากวันเกิดพี่  หนูยีดำเนินชีวิตไปตามปกติ … ไม่มีสิ่งใดบอกสักนิดว่า...อีกหนึ่งชีวิตที่มีความผูกพัน กำลังจะจากไป…


    วันจันทร์  
    17.50 น.

    ขณะที่หนูยีนั่งอ่านหนังสือนิยายอยู่…เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น

    “ฮาโหล หนูยีหรอเป็นไงบ้าง”   เพื่อนหนูยีโทรมา

    “สบายดีจ้า  สบายดีมากๆจนกลมขึ้นกว่าเดิมอีก  อยู่ที่บ้านกินดีอยู่ดีกว่าที่หออีกอะ”  

    “ยี  ยีไปวัดได้หรือเปล่า”    เสียงสั่นจนหนูยีรู้สึกผิดปกติ

    “เป็นอะไรก้อย  เกิดอะไรขึ้น”  

    “ยี  ยีทำใจดีๆไว้นะ”  ปลายสาย เสียงขาดเป็นช่วงๆ เหมือนคนกลั้นสะอื้น

    “อืม”  

    “พี่หนึ่ง  พี่หนึ่งเสียแล้ว”  

    “……….”

    “ยีจะไปงานศพหรือเปล่า”

    “อืม…ไปสิที่ไหนละ”          แล้วหนูยีก็ถามถึงสถานที่จัดงานและนัดเวลาที่จะไปงานพร้อมกัน

    หลังวางสายโทรศัพท์  หนูยีรู้สึกว่างเปล่า….ไร้ความรู้สึก..แม้น้ำตาก็ไม่ไหล….ความรู้สึกใจหายก็ไม่มี  มันไร้ความรู้สึกใดๆเลยจริงๆ        ตอนนั้นสงสัยดัวเองเหลือเกินว่ากลายเป็นคนเย็นชาถึงขนาดนี้ได้อย่างไร    

    หนูยีเริ่มทำอะไรต่อมิอะไรเหมือนปกติทุกอย่าง  ออกจากบ้านไปเดินเล่น  เดินไปเรื่อยๆ

    สักพักเหมือนความคิดที่ถูกไฟช็อตจนดับ  เริ่มทำงาน   ภาพความทรงจำต่างๆผุดขึ้นมามากมาย…
    หนูยีเดินไปตามถนนเรื่อยๆ  ผู้คนมากมายเดินผ่านไปมา  

    “จะมีใครรู้บ้างไหม  ว่า 1 ชีวิตได้จากไปเสียแล้ว…จากไปแบบไม่มีวันหวนกลับมาอีกเลย”

    “ทำไมไม่มีวีแววเลย   ไม่เคยสังหรณ์ใจเลยสักนิดว่าพี่กำลังจะจากไป”

    คิดวนไปเวียนมา จนเดินกลับเข้ามาบ้านอีกครั้ง

    “หม่าม้าค่ะพรุ่งนี้ยีจะไปงานศพพี่ นะค่ะ”    

    พูดออกไปแล้ว  ก็เหมือนจะเป็นการตอกย้ำว่าพี่ได้จากไปแล้ว    ความจริงข้อนี้มันเริ่มซึมซับเข้ามาเรื่อยๆ…
    เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอ   ขอบตาก็เริ่มร้อนผ่าว….

    จากนั้นหนูยีก็เหมือนเป็นคนโรคประสาท   …  กดเบอร์โทรศัพท์หาเพื่อน พี่ๆ น้องๆ ทุกคน…แล้วถามว่า
    “สบายดีไหมค่ะ”  
    กลัวเหลือเกินค่ะ…กลัวว่าจะมีใครหายไปโดยที่หนูยีไม่รู้    ไม่รู้สึกอะไรเลย  ไม่รู้สึกสังหรณ์อะไรเลย   กลัวเหลือเกินค่ะ..

    โทรไปหาแต่ละคนไม่อยากให้รู้ว่าหนูยีกลัวและรู้สึกแย่ขนาดไหน   แต่ก็ไม่สามารถปกปิดความเศร้าไปกับน้ำเสียงได้  
    บางคนได้ยินเสียงสะอื้น   บางคนได้ยินเสียงเศร้า  และบางคนก็ได้ยินเสียงหนูยีปล่อยโฮออกมาแบบเต็มที่…

    บางคนเฉไฉ ไม่ให้รู้ว่าหนูยีเป็นอะไรได้   แต่บางคนที่เฉไฉไม่ได้ หรือจังหวะที่หนูยีต้องการพูดออกมา   ก็ได้รับข่าวร้ายไปกับหนูยีด้วย  

    แต่การได้เช็คว่าทุกคนที่เหลือยังอยู่ดี  และสบายดี แข็งแรง ก็ทำให้หนูยีรู้สึกสบายใจขึ้นมากจริงๆค่ะ..
     พี่อองบอกว่า…ให้หนูยีระบายออกมา  หาอะไรทำจะได้ไม่คิดมาก   หนูยีว่าจะอ่านหนังสือ  แต่พี่อองว่า ให้ดีที่สุดก็น่าจะเขียนมันออกมา   เขียนลงถนนนักเขียนก็ได้…  นั่นจะทำให้หนูยีสบายใจขึ้น….

    เห็นจะเป็นความจริง….หนูยีพิมพ์   พิมพ์  และก็พิมพ์   พิมพ์  มันไปตามความรู้สึกบอกให้พิมพ์  
    จนถึงตอนนี้…ก็ยังรู้สึกสับสน  มันปนเปไปหมดกับความจริงที่ได้รับว่าต่อไปนี้  จะไม่มีพี่  อีกแล้ว…


    หนึ่งชีวิตได้จากไป   คงเหลือไว้แต่เพียง 1 ปีกับความทรงจำที่แสนดี..



    แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 47 00:00:46

    จากคุณ : หนูยี - [ 3 พ.ค. 47 23:50:45 ]