CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown



    สุขาวดี : สุดขอบฟ้าข้าคือลิขิตสวรรค์ ตอนที่๕ "จิวาคเค่"

    ตอนที่๐กับ๑ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2753239/W2753239.html
    ตอนที่๒ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2758164/W2758164.html
    ตอนที่๓ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2766241/W2766241.html
    ตอนที่๔ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2775565/W2775565.html

    และด้านล่างคือตอนที่๕ "จิวาคเค่" เกมสุดโหดของชาวภูติ

    =========================

    ห้างสรรพสินค้ากาดรินคำ – เชียงใหม่
    วันที่  ๒๗  มกราคม  พ.ศ.๒๕๔๘  เวลา ๒๐.๐๓น.

    บรรยากาศของพิธีเปิดห้างสรรพสินค้าหกชั้นแห่งใหม่บนถนนห้วยแก้วเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการสมกับฐานะเจ้าของห้างที่สืบตระกูลมาจากเจ้าผู้ครองนครเดิมแห่งหนึ่งในภาคเหนือ  

    บรรดาแขกเหรื่อนับร้อยพันจากทั่วประเทศต่างทยอยกันมาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีการต่างๆ  เริ่มตั้งแต่พิธีสงฆ์และเจิมป้ายห้างฯช่วงเช้า   รองนายกรัฐมนตรีตัดริบบิ้นเปิดประตูห้างช่วงสาย   ดารานักร้องจากสองค่ายยักษ์ใหญ่เปิดเวทีมินิคอนเสิร์ตประชันกันช่วงบ่าย   และมาถึงช่วงค่ำที่มีงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตบนคอนเวนชั่นฮอลล์ชั้นบนสุดของห้างฯ  

    แขกรับเชิญไฮโซยืนจับกลุ่มกับผู้ว่าราชการจังหวัดแถวประตูหน้า   ส่วนบรรดากรรมการบริษัทคู่ค้าของห้างแยกไปคุยกันอีกมุมหนึ่ง  ทั้งหมดนี้มีนักข่าวหลายสิบคนวิ่งกลับไปกลับมาเพื่อคอยหามุมถ่ายรูปลงนิตยสารของตัวเองให้ได้   ดูเหมือนกับว่าแทบไม่มีใครสนใจอาหารเลิศรสบนโต๊ะหรือเพลงไพเราะจากนักร้องหญิงบนเวทีเลย


    เดินออกไปจากห้องประชุม   ระเบียงแคบๆกึ่งดาดฟ้าของอาคารนั้นมีเงาของชายคนหนึ่งยืนพิงขอบระเบียงเหม่อมองแสงไฟจากเมืองในยามค่ำคืนอยู่คนเดียวเงียบๆ   แก้วไวน์ใบหม่อนทรงเรียวที่ถืออยู่ในมือซ้ายไม่ว่ามองมุมไหนก็ไม่เข้ากับชุดผ้าฝ้ายพื้นเมืองสีตุ่นของเจ้าของแม้แต่น้อย

    สายตาของเขากำลังมองผ่านไปตามแสงไฟถนนห้วยแก้วที่สว่างไสวในความมืด   ไล่จากแยกรินคำที่มันบรรจบกับถนนซูปเปอร์ไฮเวย์ข้างหน้าห้างฯ   ผ่านถนนนิมมานเหมินทร์ไปจรดถนนสุเทพที่ทอดมาจากประตูเมืองสวนดอกข้างหน้า   มองไปทางขวาคือถนนห้วยแก้วสายเดียวกันที่ไปสุดถึงตีนดอยสุเทพ  

    บ้านหลังเดิมของเขาอยู่ทางฝั่งโน้น   ยังจำได้ถึงความเงียบสงบในวัยเด็กในบ้านสวนเชิงดอยหลังนั้นได้   หลายๆอย่างที่นั่นคือแรงบันดาลใจให้กับภาพวาดของเขาจนบัดนี้  

    มีใครบางคนเคยบอกว่าบรรยากาศที่ดีคือกุญแจสำคัญในการสร้างศิลปิน   ไม่ต่างจากเขาที่ซึมซับความสวยงามรอบข้างในวัยเด็กและตัดสินใจเดินเข้าสู่ถนนสีน้ำมันและผืนผ้าใบวาดภาพทันทีเมื่อได้เห็นภาพเขียนอันงดงามของ สงัด ปุยอ๊อก ที่นำมาจัดแสดงในโรงเรียน  

    เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าความตั้งใจอันนั้นจะทำให้เขาได้มีโอกาสเรียนวาดภาพกับอาจารย์สงัดตัวจริงในห้องเรียนในหลายปีต่อมาและจบออกมาประกอบอาชีพวาดภาพสีน้ำมันขายอย่างจริงจังในที่สุด


    เสียงรองเท้าส้นสูงที่กระทบพื้นเข้ามาใกล้ๆฉุดให้สินธุดึงความคิดคำนึงกลับมาอยู่ในวินาทีปัจจุบัน   หันไปมองเจ้าของรองเท้าส้นสูงที่ยืนอยู่เบื้องหลังเขาปรากฎว่าเป็นหญิงสาวคนหนึ่งในชุดราตรีสีดำและมีประกายเพชรประดับเหมือนประกายดาววับวาวประดับฟากฟ้าในยามนี้

    “มางานเลี้ยงทั้งทีแต่ไม่ทำตัวสนุกสนานเลย   สงสัยเจ้าของแกลอรี่คนใหม่คงจะอยู่ในอารมณ์ศิลปินอยู่ละมั้ง”  

    หญิงสาวสัพยอก   แต่ในน้ำเสียงเจือแววน้อยใจอยู่เล็กน้อย

    “เปล่าหรอก”  เขาคว้าเอวบอบบางของเจ้าหล่อนมาใกล้ๆ   จมูกเหมือนได้กลิ่นหอมละมุนจากเรือนผมดำสลวยนั้น  “ผึ้งก็รู้นี่ว่าผมไม่ชอบคนเยอะๆ  และในงานผมก็ไม่รู้จักใครเลยสักคน”

    “แป๊ะต้องเปิดตัวเข้าหาเขาบ้างสิคะ   ใครล่ะจะไม่อยากรู้จักจิตรกรที่กำลังมีชื่อที่สุดในภาคเหนือตอนนี้   แล้วถ้ายิ่งมีคนรู้จักแป๊ะมากขึ้น   โอกาสที่แป๊ะจะมีลูกค้าใหม่ๆก็มากขึ้นด้วยนะคะ   เขาถึงมีงานสังคมไว้เพื่อแบบนี้ไงล่ะคะ”

    หล่อนเรียกชื่อเล่นของเขาและจูงมือเขาออกจากมุมมืด
    สินธุกลับเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงอีกครั้งหนึ่ง   คู่หมั้นของเขายังกุมมือเขาไว้แน่นขณะเดินข้ามไปอีกฟากห้องด้วยกัน

     ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังเนียนของหล่อนที่พาเดินไปทักทายคนโน้นคนนี้อย่างประหลาดใจเป็นรอบที่ร้อยว่าเธอกับเขาที่นิสัยต่างกันคนละขั้วนั้นมาเป็นคู่หมั้นกันได้อย่างไร

    สองปีก่อนหน้านั้น   หล่อนคือคนเดียวกับเด็กสาวที่เดินเข้ามาในอาณาจักรของเขา   เวลานั้นสินธุกำลังง่วนกับการลงสีให้กับทุ่งดอกบัวตองบนผืนผ้าใบหลังร้าน   แม้จะแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นว่าลูกค้านักศึกษาสาวคนนี้เป็นลูกค้าอายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยเดินเข้ามาในร้านนี้   แต่เขาก็ปล่อยให้เธอยืนชมภาพเขียนที่แขวนอยู่รอบผนังร้านตามสบาย

    “สนใจภาพไหนสอบถามได้นะครับ”  เขาวางพู่กันลงและเอ่ยขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร   แต่ในใจนึกขันตัวเองที่คำพูดช่างเหมือนกับพนักงานขายของในห้างสรรพสินค้าเหลือเกิน

    หล่อนยิ้มและเดินมาหยุดตรงหน้าเขา   ก้มลงมองภาพเขียนล่าสุดของเขาอย่างพิเคราะห์ก่อนจะหันมามองหน้าเขา  “ฉันสนใจคนที่วาดภาพพวกนี้ค่ะ”

    เขาต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วหล่อนกำลังต้องการอาจารย์สักคนที่จะฝึกฝนวิชาวาดภาพให้กับเธอได้   เขาบอกให้เด็กสาวนั่งลง  
    “ตกลงเธอจะมาสมัครเป็นลูกศิษย์ของฉัน?”   เขาถามเด็กสาวซึ่งพยักหน้ารับอย่างมั่นใจ

    จากวันนั้นมา   มณฑารพหรือที่สินธุเรียกตามชื่อเล่นว่าผึ้งก็กลายมาเป็นผู้ช่วยจิตรกรไส้แห้งในร้านริมถนนช้างคลานอย่างเต็มใจ  เริ่มจากหน้าที่ล้างแปรงพู่กัน   เหลาดินสอ   ช่วยผสมสี   เก็บกวาดหน้าร้านที่เป็นส่วนตั้งโชว์รูปและช่วยขายภาพหน้าร้าน   ทั้งหมดนี้แลกกับความรู้เรื่องการวาดภาพที่เขาถ่ายทอดให้เธออย่างค่อยเป็นค่อยไป  

    ชายหนุ่มรู้สึกทึ่งพอสมควรที่ได้รู้ว่านอกจากชีวิตสาววัยรุ่นที่สนุกสนานเฮฮาเหมือนเด็กในวัยเรียนทั่วไปแล้ว   มณฑารพกลับแบ่งเวลาเพื่อเข้าหาศิลปะและเรียนรู้ความงามของการวาดอย่างจริงจังกับเขาทุกวันเหมือนกับเป็นคนละคนกับภายนอก  

    ไม่นานนักเธอก็มีความชำนาญเช่นเดียวกับจิตรกรทั่วไป   แต่ที่สินธุต้องทึ่งกว่าก็คือความสามารถในด้านภาษาอังกฤษและการตลาดของเธอสามารถทำให้ภาพวาดที่แขวนอยู่รอบร้านเต็มไปหมดมานานนับปีนั้นหายวับติดมือลูกค้ากลับไปได้อย่างรวดเร็ว   เร็วเสียจนกระทั่งสินธุต้องเร่งมือวาดรูปใหม่ๆขึ้นมาแขวนแทนให้ทัน   เวลานั้นเขาคิดเล่นๆว่าหากการวาดรูปสามารถเปลี่ยนเป็นการพิมพ์ภาพออกมาได้เหมือนโรงพิมพ์หนังสือเขาคงจะเหนื่อยน้อยลงกว่านี้   แต่ก็คงเพราะมณฑารพนี่เองที่ผลักดันให้เขายกระดับจากจิตรกรไส้แห้งที่เช่าตึกแถววาดรูปขายกลายมาเป็นจิตรกรมีระดับที่มีแกลอรีภาพหรูหราเป็นของตัวเอง

    หนึ่งปีต่อมา  มณฑารพเรียนจบปริญญาตรี   โดยไม่ยี่หระต่อเสียงทัดทานจากทางบ้านที่อยากจะให้เธอทำงานเป็นนักบัญชีตามที่ได้เรียนมา   เธอสลัดชุดนักศึกษาเป็นชุดไปรเวทแล้วลงมือช่วยงานที่ร้านของสินธุอย่างเต็มเวลาราวกับว่ามันเป็นร้านของเธอเอง   ความร่าเริงของหญิงสาวที่มาเติมเต็มความเงียบเหงาของชายหนุ่มทำให้บรรยากาศของแกลอรีของเขาสว่างไสวอบอุ่นและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ  

    แต่อาจจะเป็นเพราะความใกล้ชิดเกินไปหรือเปล่าที่ทำให้วันหนึ่งสินธุตื่นขึ้นมาบนเตียงและพบว่ามีหล่อนนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของเขา

    ทั้งคู่ตกลงใจหมั้นกันในที่สุด – กำหนดแต่งงานคือเดือนมิถุนายนปีนี้

    วันนี้เป็นวันที่กาดรินคำและแกลอรีใหม่ของเขาบนชั้นสามของห้างเปิดให้บริการวันแรก   ในฐานะลูกค้าผู้เช่าพื้นที่ของห้าง  สินธุและมณฑารพได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้เหมือนกับเจ้าของกิจการคู่ค้าและผู้เช่าพื้นที่รายอื่นๆ

     ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจคนที่มณฑารพแนะนำให้รู้จักมากมายเท่าไหร่นัก   เขาเฝ้ารอแต่ว่าเมื่อไหร่จะได้ออกจากงานเลี้ยงวุ่นวายนี้ไปเสียทีมากกว่า   เพียงพักเดียวเขาก็สมใจเมื่อโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวดังขึ้น   เมื่อเธอรับสายพูดคุยพักหนึ่งก็อุทานอะไรออกมาเบาๆ

    “ยายเป็นลมที่บ้านตะกี้นี้” หล่อนบอกเขาเสียงระรัว  “พ่อกับแม่พาไปส่งโรงพยาบาลอยู่   ผึ้งต้องกลับไปเฝ้าน้องเกดที่บ้าน”

    “ผมไปส่งเอง”  เขาอาสา  กึ่งหนึ่งรู้สึกโล่งใจที่ถึงเวลาปลีกตัวจากที่นี่ไปได้เสียที
     
    รถเก๋งญี่ปุ่นคันใหม่เอี่ยมมาส่งหญิงสาวถึงหน้าบ้านย่านโชตนา   เด็กหญิงวัยสิบสองขวบที่เป็นน้องสาวคนเดียวของหล่อนวิ่งมาเกาะรั้วเหล็กดูและเปิดประตูให้   มณฑารพก้าวลงจากรถแล้วมองหน้าเด็กหญิง  “พ่อกับแม่ออกไปนานหรือยังเกด”

    “สักสิบนาทีนี้เอง เห็นว่าจะพาไปโรงพยาบาลลานนา   นี่แม่ให้พี่ผึ้งกลับมาดูหนูใช่ไหม”

    มณฑารพพยักหน้า  “แม่บอกว่าเป็นห่วงไม่อยากให้เกดอยู่บ้านคนเดียว   เลยโทรมาหาพี่ให้มาอยู่กับเกดอีกคน   เอ้อ – แป๊ะคะ”  หล่อนหันมามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่นอกบ้าน  “คงไม่มีอะไรแล้วละค่ะ   แป๊ะไปพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ   แล้วพรุ่งนี้ตอนสายๆผึ้งจะไปหาที่ร้านนะคะ”

    สินธุรับคำอย่างว่าง่าย   เขาเพียงสบตาคู่หมั้นด้วยความห่วงใยขณะที่หล่อนกำลังลงกลอนประตูรั้วและส่งจูบให้เขาก่อนหันกลับเข้าไปในบ้าน   เมื่อเห็นทุกอย่างเรียบร้อยดี  เขาก็ขับรถออกจากซอยไป

    บนถนนซูเปอร์ไฮเวย์เชียงใหม่ – ลำปาง   รถของเขาทะยานไปบนความว่างเปล่าของถนนคอนกรีตราวกับม้าติดปีก   ใจลอยเพลินนึกไปถึงแกลอรีหรูหราแห่งใหม่บนห้างสรรพสินค้าที่สร้างจากน้ำพักน้ำแรงของเขาและคู่หมั้น   อีกไม่นานเขาจะได้เป็นจิตรกรที่มีฐานะและชื่อเสียงดีที่สุดอีกคนหนึ่งของภาคเหนือ

    อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที  ทำให้ความฝันของเขาไม่มีวันเป็นจริง……

    สินธุสะดุ้งตื่นขึ้นมาตามเสียงดีดนิ้วของศาสตราจารย์ดอยล์   ภาพแรกที่เขาเห็นคือห้องเรียนแบบอัฒจรรย์กว้างใหญ่ที่มีภูตินักศึกษาหลายร้อยตนนั่งจ้องมาที่เขาอย่างสนใจ   หันมามองอีกด้านก็เห็นศาสตราจารย์ดอยล์เก็บอุปกรณ์สะกดจิตลงในกล่องเหล็ก

    “เป็นไงบ้าง” ผู้สะกดจิตทัก “ในที่สุดเธอก็จำเหตุการณ์ช่วงท้ายๆที่อยู่ในโลกมนุษย์ได้ละเอียดแล้วสินะ   ภูติทุกตนในห้องเรียนนี้ก็เคยเป็นมนุษย์เหมือนกับเธอมาก่อนทั้งนั้น   แต่กฎของโลกนี้ห้ามภูติรู้อดีตชาติของตัวเองเด็ดขาด   วิชาสะกดจิตนี้จึงถือเป็นวิชาต้องห้าม   ที่ฉันสะกดจิตเธอเป็นกรณีพิเศษเพราะเป็นเรื่องของการศึกษาเท่านั้น”

    “ผมกำลังจะแต่งงาน……..”  ชายหนุ่มทวนอดีตของตัวเองอย่างเศร้าสร้อย

     “ฉันรู้…..ใช่…..มันเศร้าเกินไป”  ดอยล์เม้มปากมองตัวอย่างศึกษาอย่างเวทนา  “หลังจากภาคเรียนนี้จบลง   ถ้าเธออยากจะลบล้างความจำเกี่ยวกับอดีตชาติออกไปขอให้บอกฉันได้ทุกเมื่อ   ที่ห้องของฉันมียาดื่มลบล้างความจำหลายขวด”


    ===================

    จากคุณ : ธามาดา - [ วันฉัตรมงคล 17:02:10 ]