วันต่อมาฮั่นตงไปที่จวนฉินอ๋อง
สิ่งที่เขาพบอย่างแรกคือทารกเล็กๆ วัยไม่เกินสิบปีผู้หนึ่ง ทั้งเนื้อตัวขมุกขมอมเปรอะเปื้อนกำลังเล่นอยู่
ทารกนั้นพอเห็นฮั่นตง ก็เข้ามายืนขวางไว้
เจ้าจะมาทำอะไรที่นี่น่ะ?
ฮั่นตงเห็นฝ่ายตรงข้ามเป็นเด็กทโมนก็คร้านจะสนใจ จึงบอกให้หลีกทาง แต่ทารกนั้นกลับร้องว่า
นี่คือจวนฉินอ๋องนะ ไม่ใช่ที่ๆ เจ้าจะเข้าได้ง่าย!
ข้าเป็นเพื่อนของฉินอ๋องเอง ฮั่นตงกล่าวเนิบๆ
แต่ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนเลย!
ฮั่นตงจึงโอบอุ้มเด็กคนนั้นขึ้นอย่างง่ายๆ แล้ววางลงอีกทางหนึ่ง
พวกเราพึ่งคบหากันเมื่อสองเดือนก่อน ทารกเยี่ยงเจ้าจะรู้อันใด
ทารกนั้นร้องโวยวายแต่ติดที่ตัวเล็กกว่าไม่อาจขัดขวางได้ ฮั่นตงจึงเดินเข้าจวนไปโดยง่าย
ความที่วีรกรรมจากการสอบจอหงวนทำให้เขาพอมีชื่อเสียงในหมู่ขุนนางอยู่บ้าง ดังนั้นพอทหารยามรับแจ้งว่าผู้มาคือฮั่นตงก็รีบเปิดประตูให้มือปราบหนุ่มเข้าพบฉินอ๋องทันที
ฮั่นตงมาถึงห้องของจูคังซึ่งเป็นเรือนไม้จัดสร้างอย่างง่ายๆ แสดงความสมถะของผู้อยู่อาศัย เมื่อเขาเข้าไปก็พบกับชายกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งคอตกอยู่บนเก้าอี้ แววตาเหม่อลอย
มือปราบหนุ่มจำได้ นี่คือฉินอ๋องจูคัง ยอดยุทธซึ่งเกือบเอาชนะเขาในการประลองเมื่อสองเดือนก่อน หากแต่การพบกันคราวนี้อีกฝ่ายกลับเปลี่ยนแปลงไปมากมาย สง่าราศียังคงปรากฏอยู่อย่างชัดเจน ทว่าคนกลับดูแก่ชรายิ่ง ราวกับว่าอีกฝ่ายแก่ชราลงไปนับสิบปีในชั่วข้ามคืน นี่แสดงว่าได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจจากการสูญเสียจูอู่เอี๋ยนไม่น้อย
ฮั่นตงต้องพูดคารวะอยู่สี่ห้าครั้งจูคังจึงรู้สึกตัวและกล่าวต้อนรับ จะอย่างไรเขายังคงเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้มากมารยาทในทุกสถานการณ์ ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ก็เรียกความนับถือจากฮั่นตงได้ไม่น้อย
เมื่อรับแจ้งว่าฝ่ายตรงข้ามได้รับคำสั่งให้มาสืบคดีฆาตกรต่อเนื่องในเมืองเสียนหยางซึ่งอาจเกี่ยวพันถึงการตายของจูอู่เอี๋ยน จูคังก็ลูบคางอย่างครุ่นคิด กล่าวเบาๆว่า เข้าใจแล้ว ท่านว่าที่ลูกข้าตายอาจเป็นฝีมือของเจ้าฆาตกรรายนี้ใช่หรือไม่
หรือท่านสงสัยคนอื่น? ฮั่นตงถาม
ข้า... ฉินอ๋องครางเบาๆ เขาอ้ำอึ้งเหมือนลังเลที่จะพูด ...ข้าไม่ทราบ เขากล่าวอย่างเศร้าๆ
อืม... ในฐานะผู้สืบสวนข้าขอให้ท่านช่วยเล่าลักษณะนิสัยของผู้ตายอย่างคร่าวๆ ได้ไหม
จูคังถอนหายใจเลื่อนลอย จูอู่เอี๋ยนเป็นลูกชายคนเดียวของข้า ข้าจึงคาดหวังกับเขามากเป็นพิเศษ ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าเคี่ยวเข็ญให้เขาเรียนหนังสือ อ่านตำราสำหรับปกครองบ้านเมืองเพื่อหวังจะให้สืบตำแหน่งฉินอ๋องในอนาคต อย่างไรก็ตามความพยายามของข้ากลับทำให้เขาต่อต้าน และทำตนเหลวแหลกเอาแต่เที่ยวเล่น แม้จะดุว่าตักเตือนเท่าใดก็ไม่ฟัง... ว่าแล้วชายกลางคนก็ก้มหน้าลงตัวสั่นระริก
ฮั่นตงมองฝ่ายตรงข้ามด้วยความเห็นใจ เขาถามต่อว่า แล้วในความเห็นท่าน หากจูอู่เอี๋ยนตายจะมีใครได้ผลประโยชน์หรือเปล่า?
อืม... จูคังคราง ที่นึกออกมีคนเดียว...
เขาคือใคร?
...หวังลี่... ผู้เป็นอ๋องกล่าวราบเรียบ
หา! ฮั่นตงอุทาน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเล่า?
เมื่อปีที่แล้ว นายพลหวังหยันนำทัพปราบกบฏเผ่าหานหนูสำเร็จ พอดีใกล้กับวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ พระองค์เลยโปรดให้จัดงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่ขึ้นที่เมืองหลวง และเชิดชูนายพลหวังเป็นวีรบุรุษผู้มอบของขวัญที่ดีที่สุดให้พระองค์ ฉินอ๋องลูบคาง
คืนนั้นฮ่องเต้เมามากเผลอกล่าวออกมาว่าจะบำเหน็จให้นายพลหวังอย่างสูงสุด คือให้หวังลี่ลูกชายของเขาเป็นทายาทผู้สืบตำแหน่งฉินอ๋องต่อจากข้า เขาอธิบายต่อว่าเมื่อก่อนนี้เขากับหวังหยันเป็นเพื่อนสนิทกันมาก ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายก็สนิทกันจนนับถือเป็นญาติมิตร คำกล่าวเช่นนี้ของฮ่องเต้จึงเป็นเรื่องล้อเล่นเพราะทราบความสัมพันธ์ระหว่างจูคังกับหวังหยันดี
แต่ข้ามีลูกเอี๋ยนอยู่แล้ว และการให้คนต่างแซ่มารับตำแหน่งอ๋องนั้นจะขัดโบราณราชประเพณี ข้าจึงแกล้งเบี่ยงเบนให้เป็นเรื่องตลกโดยยกจอกเหล้าขึ้นกล่าวว่าฮ่องเต้เมาแล้วควรระวังคำพูดจะทำให้เสียวาจาสิทธิ์ ต้องปรับดื่มเหล้าจอกหนึ่ง พระองค์ก็หัวเราะและรับจอกเหล้าจากข้ามาดื่มโดยดี
งานครั้งนั้นทุกคนต่างทราบดีว่าที่ฮ่องเต้พูดล้อเล่น แต่นายพลหวังกลับถือเป็นจริงจังและคิดแค้นว่าข้ามีใจตระหนี่ทำให้ลูกชายของเขาไม่ได้เป็นอ๋อง เขาจึงเลิกไปมาหาสู่กับข้า และสั่งห้ามภรรยาและลูกของเขาคบหาสมาคมกับภรรยาและลูกของข้าด้วย
ฮั่นตงฟังจบก็นิ่งอึ้ง นึกไม่ถึงว่าแม้แต่หวังลี่ซึ่งเขาเลิกสงสัยไปแล้ว แท้จริงก็อาจเป็นฆาตกรตัวจริงก็เป็นได้ เรื่องนี้ซับซ้อนอย่างยิ่งไม่อาจประมาทเลินเล่อแม้เพียงเล็กน้อย
แล้วทำไมในวันเกิดเหตุจูอู่เอี๋ยนถึงไปเที่ยวกับหวังลี่ได้เล่า ทั้งยังฟังว่าระยะหลังนี่ทั้งสองเที่ยวเล่นกันบ่อยๆด้วย
...นั่นข้าก็ไม่รู้ แต่ตลอดมาข้ามิได้ห้ามเรื่องนี้ คนที่ห้ามคือฝ่ายหวังหยันต่างหาก ฉินอ๋องเอ่ย ทั้งสองต่างเงียบไปครู่หนึ่ง
พอดีขณะนั้นทารกน้อยทโมนที่ขัดขวางฮั่นตงตอนก่อนเข้าจวนได้เดินเข้ามาในห้องของจูคังพอดี พอเห็นฮั่นตงก็ร้องว่า
ท่านอ๋องๆ! คนนี้แหละที่บุกรุกเข้ามาพร้อมทั้งทำร้ายข้า เด็กน้อยกล่าวพลางร้องไห้จ้า
ชายกลางคนหัวเราะน้อยๆ และก้มลงกอดเด็กคนนั้น ตัวสั่น
เด็กน้อยไม่ทราบเกิดอะไรขึ้นจึงร้องว่า ท่านอ๋อง... ท่านทำอะไรน่ะ... ทำไมกอดข้าแรงเช่นนี้ข้าเจ็บ
ฉินอ๋องยิ้มทั้งน้ำตา กล่าวขอโทษเด็กปล่อยแขนออก เมื่อเด็กถามว่าทำไมเขาร้องไห้ เขาก็กล่าวกลบเกลื่อนและว่า
เสี่ยวยี้เอย เจ้าล่วงเกินเขาแล้วรู้ไหม?
เขา? เขาคือใครล่ะ? เด็กน้อยถาม
เขาคือฮั่นตง จอหงวนบู๊คนใหม่ที่ข้าเอ่ยถึงบ่อยๆอย่างไรล่ะ
พอทารกน้อยทราบว่าฝ่ายตรงข้ามคือฮั่นตง ก็เกิดหน้าแดงขึ้นมาเฉยๆ ค่อยๆ หันไปมองมือปราบหนุ่ม
ทะ... ท่านคือฮั่นตง?
ฮั่นตงถามว่า ทำไมหรือ?
ข้า... ข้า... เด็กกล่าวตะกุกตะกักอย่างเอียงอาย พลางเหลียวมองเสื้อผ้าของตนเองแล้วด้วยหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม
ข้าพบท่านไม่ได้... กล่าวจบแล้ว เด็กน้อยก็วิ่งออกไปทางประตูโดยเร็ว
ฮั่นตงงุนงงกับกิริยาดังกล่าวนัก หากจูคังกลับหัวเราะและว่า ฮาฮา จอหงวนบู๊มีคนแอบชอบแล้วรู้ไหม?
ชอบหรือ? หรือว่าทารกน้อยนั้นเป็นเด็กผู้หญิง มือปราบหนุ่มคิดทบทวนเห็นว่าหากไม่ติดที่แต่งกายสกปรกแล้ว เด็กนั้นก็เป็นเด็กที่มีหน้าตาหมดจดงดงาม จึงมองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงนั่นเอง เด็กผู้หญิงอะไรเล่นซุกซนเช่นนั้น นางเป็นบุตรหลานผู้ใดหรือ?
อืม... ฉินอ๋องครางจึงกล่าวในสิ่งที่ทำให้ฮั่นตงต้องตกใจเป็นครั้งที่สอง นางทราบแต่ว่าเป็นลูกบุญธรรมที่ข้าเก็บมาเลี้ยง แต่จริงๆ แล้วนางเป็นลูกในสายเลือดของข้าเอง
ลูกในสายเลือด!? มือปราบทวนคำ
นางเป็นบุตรนอกสมรสของข้า จูคังผงกศีรษะ หลายปีก่อนข้าก็คล้ายกับชายฉกรรจ์ทั่วไปที่คลั่งไคล้ในวรยุทธ จึงใช้อำนาจที่เป็นอ๋องรวบรวมคัมภีร์ยุทธทั่วแผ่นดินโดยเฉพาะวรยุทธของหอห้ากระบี่มาฝึกจนช่ำชอง แล้วออกท้าประลองไปทั่วล้วนแต่ได้รับชัยชนะ
กระทั่งวันหนึ่งข้าได้บุกไปถึงวัดเส้าหลิน เพื่อท้าประลองกับหลวงจีนกระต่ายน้อย เราสองคนตกลงประลองกันอย่างลับๆ ที่หลังเขาเทียนซาน ไม่ว่าผลออกมาอย่างไรก็จะไม่แพร่งพรายออกไป
ในวิชาของหอห้ากระบี่ทั้งหมด ที่ข้าถนัดที่สุดคือฝ่ามือปัญญาปรมัตถ์ ข้ามั่นใจเหลือเกินว่าใช้ท่านี้ได้ดีกว่าหลวงจีนคนใดๆ แต่ปรากฏว่าในการประลองนั้น ข้ากลับถูกหลวงจีนกระต่ายน้อยใช้กระบวนท่าดังกล่าวเอาชนะอย่างง่ายๆ ทำให้ข้าได้รับรู้รสชาติของความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก
ภายหลังข้าทราบว่าเตียหงีก็เคยประมือกับหลวงจีนกระต่ายน้อย และคิดค้นพระกระบี่สัณฐานที่สาม ขึ้นมาต้านรับฝ่ามือปัญญาปรมัตถ์โดยเฉพาะ แต่คัมภีร์นี้เป็นวิชาลับต้องห้ามมีแต่เจ้าสำนักจึงจะฝึกได้
ข้าจึงพยายามเกี้ยวพานางเหวินเซียะ บุตรสาวของเหวินหย่งพ่อบ้านสำนักบู๊ตึ้ง ให้นางใช้อำนาจของบิดาเอาคัมภีร์ออกมา
เหวินเซียะหลงเชื่อข้าก็ออดอ้อนจนบิดาต้องยอมแอบคัดลอกคัมภีร์กระบี่สัณฐานที่สามให้ข้าชุดหนึ่ง เพื่อแลกกับสัญญาที่ว่าข้าจะพานางเข้าวังไปตบแต่งเป็นฮูหยิน
แต่ตอนนั้นข้าหลงใหลวิชาจนหน้ามืด พอได้คัมภีร์มาก็ทอดทิ้งเหวินเซียะเสีย และสั่งคนทุบตีเหวินหย่งที่ตามมาโวยวายจนตาย ใช้อำนาจกลบเกลื่อนเรื่องนี้จนหายไป
แต่ที่ข้าไม่ทราบคือขณะนั้นเหวินเซียะตั้งครรภ์อยู่ และนางได้ตรอมใจตายหลังเด็กคลอดไม่นาน พอข้ารู้เรื่องนี้ก็เสียใจมากจึงรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงไว้ โดยไม่กล้าเล่าความจริงให้นางฟังเพราะกลัวนางจะรับพ่ออย่างข้าไม่ได้...
จูคังกล่าวในตอนจบว่าหลังจากนั้นเขาก็เผาคัมภีร์กระบี่สัณฐานที่สามดังกล่าวเสีย และเลิกสนใจเรื่องราวในยุทธจักรอีก
ฮั่นตงฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่ชอบผู้มีอำนาจที่ข่มเหงรังแกชาวบ้าน แม้อีกฝ่ายจะสำนึกผิดแล้วก็ตาม ที่ท่านเล่ามาล้วนเป็นความลับอันด่างพร้อยทั้งสิ้น ท่านเล่าเรื่องนี้ให้คนที่พึ่งรู้จักอย่างข้าฟังทำไม!?
นั่นเพราะข้าไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กคนนี้ได้ตลอดไปน่ะซี จูคังพูด ถ้าวันหนึ่งมีคนรู้ว่านางเป็นลูกข้า จะต้องดึงนางเข้าสู่วังวนแห่งการแย่งชิงอำนาจ นั่นอาจทำให้นางประสบอันตรายเหมือนจูอู่เอี๋ยน ...ข้า ...ข้าไม่ทานทนเรื่องเช่นนั้นได้...
ฉินอ๋องเงยหน้าขึ้นจ้องฮั่นตงด้วยสายตาวิงวอน ข้าเห็นท่านเป็นคนมีคุณธรรมและความสามารถ ถ้าหากเป็นท่านต้องดูแลบุตรสาวข้าได้ดีแน่ๆ ข้าขอร้องท่านช่วยรับนางไปเลี้ยงได้ไหม?
ฮั่นตงฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่า ไม่ได้หรอก ทารกนี้เป็นบุตรของท่าน เป็นคนที่ท่านทำให้เกิดขึ้นเอง และหากท่านคิดชดใช้ให้เหวินเซียะสองพ่อลูกที่ถูกท่านฆ่า ก็สมควรรับผิดชอบนางด้วยตนเอง เขากล่าวด้วยเสียงราบเรียบและเย็นชา
กล่าวจบฮั่นตงก็คารวะและเดินออกจากห้องไปเฉยๆ ทิ้งให้จูคังต้องนั่งอยู่คนเดียวตรงนั้น
มือปราบหนุ่มคิดในใจ ชายคนนี้อาจน่าสงสารเพราะพึ่งเสียลูก แต่ความผิดที่เขาทำมันเป็นคนละเรื่องกัน นี่หากไม่เห็นแก่เด็กผู้นั้นละก็ เขาคงดำเนินการให้ถึงที่สุดเพื่อจับกุมจูคังมาลงโทษตามกฎหมายแล้ว
ใช่ ฮั่นตงบอกกับตนเองว่าเขาไม่กลัวแม้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นฉินอ๋องก็ตาม
... ... ...
จากคุณ :
ทีมแต่งนิยาย
- [
6 พ.ค. 47 15:36:07
]