CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown



    ยังพอใจที่จะตามค้นหา

    ยังพอใจที่จะตามค้นหา…
    เคยมีบางคนบอกไว้ว่า พระเจ้าสร้างเรามาแค่เพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือคือส่วนเสี้ยวของหัวใจที่เราต้องตามหา โดยที่เราเองก็ยังไม่รู้  ว่าเมื่อไรจะพบ และเมื่อพบแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งนั้น บางครั้ง สำหรับตัวฉันเอง มักจะระลึกและคิดไว้เสมอว่า บางครั้งผู้คนที่แวะเวียนผ่านมารอบกาย เขาเหล่านั้นก็เป็นเสมือนส่วนที่ฉันกำลังตามหา แต่... มันก็ยังเป็นเพียงแค่คำว่า “เสมือน” ทุกสิ่งที่ฉันทำ ทุกการกระทำที่ฉันเป็น และทุกคำพูดที่เอื้อนเอ่ยออกมา มักจะมีข้อคัดง้างอยู่ภายในใจของฉันมาโดยตลอด ว่าเขาเหล่านั้น เทียบไม่ได้เลยกับคนที่ฉันรอคอย คนที่ฉันเคยคิดว่า เขาเป็นเพียงเศษเสี้ยวของส่วนที่ฉันตามหา แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ใครจะรู้เล่าว่า ช่วงเวลาที่ฉันตอกย้ำกับตัวเองอยู่เสมอว่า “เขาไม่ใช่” ณ ตอนนี้ กลับเหลือเพียงแค่คำว่า “ความทรงจำ”
    เรื่องราวระหว่างฉันกับเขาคนนั้น เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความสับสนวุ่นวายบนท้องถนน เช้าวันนั้นเป็นวันที่สำคัญเป็นพิเศษสำหรับฉัน หนึ่งในบริษัทชื่อดังเรียกฉันไปสัมภาษณ์หลังจากการร่อนใบสมัครอย่างเอาเป็นตายเมื่อจบการศึกษา ระหว่างที่ฉันกำลังรอข้ามถนนที่แวดล้อมไปด้วยพนักงานออฟฟิศ ฉันทั้งตื่นเต้นและประหม่า เฝ้าคิดคำนึงอยู่แต่ว่า การสัมภาษณ์งานครั้งนี้จะผ่านไปอย่างไร และผลของมันล่ะ จะทำให้ฉันก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่ฉันต้องการได้หรือเปล่านะ เมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยน ด้วยความไม่คุ้นกับถนนเส้นนี้ มันทำให้ฉันถูกคลื่นกระแสของมนุษย์เงินเดือนผลักให้ฉันออกเดินหน้า แต่รองเท้าส้นสูงเจ้ากรรมก็ช่างแสนดี มันพาเท้าข้างซ้ายของฉันไปติดกับท่อระบายน้ำ แต่จะเป็นเพราะความไม่ถนัดหรือทรงตัวไม่อยู่ก็ไม่แน่ใจ มันทำให้ฉันล้มคะมำลงไปข้างหน้า เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น ฉันก็ได้แต่อมยิ้มกับตัวเองว่า ถ้าไม่ใช่เพราะรองเท้าคู่นั้น ฉันก็คงจะไม่ได้พบกับเขาคนนี้ เขา...ที่กำลังเดินสวนมาเพื่อข้ามถนนไปอีกฝั่ง เอื้อมมือไปรับตัวฉันไว้ได้อย่างเหมาะเจาะ
    “เป็นไรอะไรมากหรือเปล่าครับคุณ”
    “คือ...รองเท้ามันติดน่ะค่ะ ว้า...แย่จัง”
    ขณะที่ฉันกำลังยืนตัวแข็งกลางถนนทำอะไรไม่ถูก ทั้งอายทั้งกลัว เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรสัญญาณไฟจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขายิ้มรับให้และก้มลงไปดึงรองเท้าคู่สวยของฉันออกให้จากซอกของท่อระบายน้ำกลางถนน
    “เอาล่ะ ออกแล้วล่ะครับ รีบข้ามถนนเถอะ ว่าแต่คุณพอจะเดินไหวไหมครับ”
    “ไหวค่ะ ไม่เป็นไร ขอบคุณมากจริงๆ นะคะ”
    “ไม่เป็นไรครับ” เขาเอ่ยตอบเบาๆ และทำท่าจะเดินข้ามถนนไปยังฝั่งที่ฉันเดินออกมา แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียง “อูย” ของฉันที่ร้องออกมาเบาๆ เมื่อออกเดิน
    “แล้วกัน ท่าทางจะไม่ไหวเสียแล้วล่ะมั้งครับ เดี๋ยวผมเดินไปส่งคุณก็แล้วกัน จะไปฝั่งนู้นใช่ไหมครับ” แล้วเขาก็หัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าเหยเกเพราะปวดข้อเท้าของฉัน
    “สงสัยเท้าจะแพลงตอนล้มเมื่อกี้น่ะค่ะ อูย” ฉันครางออกมาเบาๆ อีกครั้งเมื่อเริ่มออกเดิน
    “มาครับผมจะช่วยพยุงไป”
    ฉันได้แต่พึมพำขอบคุณเบาๆ เมื่อเขาเอื้อมมือมาพยุงให้ฉันก้าวเท้าเดินออกไป โดยไม่มีท่าทีที่คิดจะล่วงเกินใดๆ ทั้งสิ้น
    “คุณทำงานอยู่ตึกนี้เหรอครับ” เขาแหงนมองขึ้นไปยังตึกระฟ้าสูงทะมึนที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า
    “อ๋อ ยังหรอกค่ะ วันนี้มาสัมภาษณ์งานกับบริษัทที่อยู่ชั้น 19 น่ะค่ะ”
    “เอ๊ะ เหรอครับ งั้นก็บริษัทที่ผมทำงานอยู่น่ะสิ ผมกำลังจะไปหาอะไรทานน่ะครับ เลยเดินข้ามไปฝั่งนู้น งั้นเดี๋ยวผมเดินไปส่งคุณก่อนก็แล้วกันครับ”
    “ไม่เป็นไรมั้งคะ เดี๋ยวฉันเดินไปเองก็ได้ค่ะ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว”
    “จะไหวหรือครับ ผมเดินไปส่งดีกว่า ขึ้นลิฟท์ไปอีกนิดเดียวแค่นี้เอง” แล้วเขาก็ยิ้มให้ฉันอีกครั้ง ด้วยรอยยิ้มที่แม้เวลาจะห่างไกลมาจนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังไม่เคยลืม
    ในที่สุดฉันก็ได้ทำงานที่บริษัทแห่งนั้นสมความตั้งใจ วันแรกของการทำงาน ฉันก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง เมื่อพบกับชายหนุ่มคนเดิมนั่งอยู่ในแผนกของฉัน
    “สวัสดีครับ เจอกันอีกแล้วนะ ผมสังหรณ์ใจอยู่แล้วเชียว ว่าคุณต้องได้ตำแหน่งนี้ ผมวิรุฬห์ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” ฉันเพิ่งมาสังเกตเอาตอนนี้เองว่า เสียงของเขานั้น มันช่างนุ่มน่าฟังอะไรอย่างนี้ แม้รูปร่างหน้าตาของเขาจะเหมือนหนุ่มหน้าตี๋ธรรมดา แต่ก็สูงใหญ่จนทำให้ดูสมาร์ทได้อย่างไม่น่าเชื่อ “สวัสดีค่ะ ปลาค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”
    วันเวลาผ่านไปจนหน้าที่การงานของฉันเริ่มจะอยู่ตัว ความสัมพันธ์ของเราก็ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ฉันมักจะแอบชื่นชมเขาอยู่ในใจ ว่าเขาเป็นผู้ชายโรแมนติกที่ยังคงความเป็นสุภาพบุรุษไว้อย่างสม่ำเสมอ แต่ฉันก็ไม่ได้แสดงท่าทีให้เขาเห็นแต่อย่างใด ว่าฉันก็แอบยิ้มให้กับหัวใจตัวเองอยู่เหมือนกัน คนในที่ทำงานหลายคนคิดว่าเราเป็นแฟนกัน แต่สำหรับฉันมันยังไม่ใช่ ฉันคอยปฏิเสธกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ว่าอีกส่วนหนึ่งของหัวใจที่ฉันกำลังตามหา ยังไม่ใช่เขาคนนี้ ฉันยังมีอีกเวลาอีกมากมายที่จะตามหาเขาคนนั้น คนที่ฉันกำลังรออยู่ เวลาผ่านไป ทุกฤดูกาลที่หมุนเวียน แล้วก็มาถึงวันหนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ วิรุฬห์เดินมาที่โต๊ะทำงานของฉันด้วยท่าทางกระสับกระส่ายร้อนรน ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
    “เอ่อ...เย็นนี้ว่างหรือเปล่า อยากคุยอะไรด้วยหน่อยน่ะ” เขาเอ่ยถามฉันเบาๆ และทำสีหน้าเหมือนอย่างกับฉันกำลังจะขย้ำเขาอย่างนั้นล่ะ
    “ว่างค่ะ มีอะไรเหรอ คุยตอนนี้ได้ไหมล่ะ”
    “อืม...ขอเป็นเย็นนี้ได้มั้ย มีอะไรจะให้ดูด้วยล่ะ แล้วก็จะได้ทานข้าวด้วยกันเลย”
    ฉันพยักหน้ารับ และก็ไม่ได้แปลกใจอะไรมากมาย เพราะเราสองคนมักจะออกไปหาอะไรทานกันหลังเลิกงานเป็นประจำอยู่แล้ว
    หลังเลิกงานวันนั้น ซึ่งเป็นวันที่ฉันยังจำเหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำทุกรายละเอียด เราขับรถออกจากที่ทำงานไปยังร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล ฉันพยายามถามเขาอยู่เป็นระยะ ว่าเขาต้องการจะบอกอะไรกับฉัน แต่สิ่งที่ฉันได้ตอบกลับมา คือรอยยิ้มที่แสนจะอบอุ่น และคำพูดแต่เพียงว่า
    “รอไปก่อน ยังไม่ถึงเวลา”
    เมื่อเราขึ้นไปอยู่บนรถ หลังทานอาหารเสร็จ เขาหันมามองหน้าฉัน และพูดขึ้นมาก่อนจะออกรถ
    “รู้ไหมว่าวันนี้เป็นวันอะไร”
    ฉันส่ายหน้าดิก เพราะโดยนิสัยส่วนตัวแล้ว ฉันเป็นคนที่ขี้ลืมอย่างมากถึงมากที่สุด โดยเฉพาะในเวลาที่มีงานรัดตัวอยู่มากมายเหมือนในขณะนี้
    “อะไรกันวันเกิดตัวเองแท้ๆ จำไม่ได้เลยเหรอ” เขาหัวเราะขันๆ กับความป้ำเป๋อบวกเอ๋อเล็กๆ ของฉัน
    ฉันอ้าปากหวอ ได้แต่คิดคนเดียวอยู่ในใจว่า ตายล่ะ ลืมวันเกิดตัวเองเสียได้ ทั้งที่วันเกิดของฉันก็จำได้ง่ายๆ แท้ๆ เพราะไปตรงกับวันวาเลนไทน์พอดิบพอดี แล้วฉันก็แว่วยินเสียงเขาหัวเราะอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงนุ่มๆ เป็นเอกลักษณ์ของเขาว่า “มีของขวัญจะให้แต่ต้องปิดตาก่อนนะ”
    ฉันทำหน้างงๆ แต่ก็ยอมให้เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ผูกตาให้แต่โดยดี ตอนนั้นฉันจำได้ว่า ได้ยินเสียงเขาสตาร์ทรถและพาฉันไปในที่แห่งหนึ่ง เขาจูงฉันเดินไปบนเส้นทางที่ฉันก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะพาไปไหน ในใจได้แต่คิดอย่างหวาดๆ ว่า ถ้าเขาพามาข่มขืนจะทำยังไงนี่ แต่ก็นึกอุ่นใจได้อยู่อย่างว่า ระยะเวลาที่คบกันมา เขาไม่เคยแสดงท่าทีหรือนิสัยใดๆ ที่ส่อเค้าได้เลยว่าจะเป็นแบบนั้น
    ฉันตกใจเล็กน้อยเมื่อเขาพาลงไปในที่แห่งหนึ่งที่ออกจะโคลงเคลง แต่ก็ทรงตัวอยู่ได้เพราะมีมือใหญ่ๆ แข็งๆ คอยประคอง พร้อมกับเจ้าของเสียงที่คอยร้องบอกให้ระวัง และได้ยินเหมือนเสียงน้ำไหลอยู่ข้างๆ ตัว
    “เอาล่ะ นอนลงได้ มีอะไรอยากให้ดู แต่อย่าเพิ่งเปิดตานะ”
    ฉันได้แต่งงๆ และเริ่มนอนลงอย่างเงอะงะ เพราะมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น พร้อมกับจับสังเกตไปด้วยในตัว ว่าเรากำลังอยู่ที่ไหนนี่ ฉันนอนลงได้สักพัก ทุกสิ่งรอบตัวก็เริ่มเงียบ เสียงน้ำไหลเบาๆ คลออยู่ข้างหู แล้วเขาคนนั้นของฉันก็พูดขึ้นมา พอให้ฉันได้ยินว่า
    “นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่พี่เตรียมไว้ให้ เปิดตาได้แล้ว”
    ฉันค่อยๆ เอื้อมมือไปแกะผ้าเช็ดหน้าที่ผูกไว้อยู่ข้างหลัง แล้วก็ต้องร้องอุทานออกมาเบาๆ เมื่อสายตามองขึ้นไปเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนสุกสกาวไปด้วยทะเลดวงดาวที่กำลังแข่งกันอวดแสงพราวระยับ ค่ำคืนที่ปราศจากแสงจันทร์ แต่เต็มไปด้วยความงามของธรรมชาติที่ยากจะหาได้ในสังคมเมืองกรุง
    “สวยจัง เหมือนลอยอยู่ในอวกาศเลย” แล้วฉันก็ลุกขึ้นจากที่นอนอยู่ จึงได้เห็นว่า ฉันกำลังนอนอยู่บนเรือบดลำเล็กๆ กลางสระน้ำของสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
    “ว้า...ลุกขึ้นมาทำไมล่ะนั่น อย่างนี้ก็รู้หมดสิ” เขาบ่นขึ้นมาเบาๆ ฉันเองก็ได้แต่หัวเราะและมองหน้าเขาเหมือนจะค้นหา ว่าเขากำลังต้องการอะไรกันแน่ แต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกจากปาก
    เขานั่งจ้องหน้าฉันอยู่สักพัก แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “ปลา...แต่งงานกับพี่นะ”
    ฉันได้แต่อ้าปากค้าง แต่ไม่มีสรรพสำเนียงใดๆ หลุดออกมาทั้งสิ้น
    “อาทิตย์หน้าพี่จะไปเรียนต่อที่อเมริกา 3 ปี คงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว พี่อยากรู้คำตอบ”
    ฉันจำได้แต่เพียงว่า ตอนนั้นฉันไม่สามารถให้คำตอบอะไรกับเขาได้ทั้งสิ้น ในหัวคิดอยู่แต่ว่า ถ้าหากตอบรับเขาไป ฉันจะต้องเฝ้ารอคอยเขาได้เหรอ เวลาที่ผ่านไปถึง 3 ปี เขาจะเปลี่ยนไปไหม เขาจะทำให้ฉันรอเก้อหรือเปล่า ฉันได้แต่มองหน้าเขา และก็รวบรวมกำลังใจพูดให้เขาได้ยินท่ามกลางดวงดาวที่พราวระยับอยู่บนท้องฟ้า
    “ปลามักจะคิดอยู่ในใจเสมอว่า คนเราเกิดมา เพื่อจะตามหาอีกส่วนหนึ่งของหัวใจของเราที่หายไป และวันหนึ่ง เราก็จะต้องตามหาจนเจอ เวลานี้ ตอนนี้ ปลาคิดว่าพี่ เป็นคนที่ปลาให้ความไว้ใจ เชื่อใจ และทำให้ปลารู้สึกอบอุ่นได้อย่างที่สุดในเวลาที่เราได้ใกล้ชิดกัน แต่ปลาไม่แน่ใจ ว่ามันจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน และตอนนี้ปลายังให้คำตอบพี่ไม่ได้ ว่าปลาหาเขาคนนั้นเจอแล้วหรือยัง”
    เขาอึ้งไปอยู่พักใหญ่ “สามปีที่พี่ไม่อยู่ พี่จะทำให้ปลาเห็น ว่าพี่ คืออีกส่วนหนึ่งที่ปลากำลังตามหา และพี่จะกลับมาฟังคำตอบอีกครั้ง” หลังจากนั้น เราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย เขาขับรถพาฉันไปส่งที่บ้าน เราจากลากันด้วยวลีสั้นจากเขา
    “ราตรีสวัสดิ์”
    จากวันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ไม่ได้พบหรือพูดคุยกับเขาอีกเลย วันที่เขาเดินทาง ฉันก็ไม่ได้ไปส่ง เพราะไม่รู้วันและเวลาที่เครื่องบินออก ฉันพยายามติดต่อไปหา แต่เขาก็ปิดโทรศัพท์ ฉันได้แต่คิดคร่ำครวญว่า ถูกแล้วหรือที่ฉันตอบเขาไปแบบนั้น วันเวลาผ่านไปจากเดือน เข้าสู่ปีแรก ปีที่สอง และ...ปีที่สาม ฉันได้แต่คิดถึงเขาคนนั้นอยู่ตลอดเวลา คนที่เคยช่วยฉัน ไม่ให้ล้มลงไปขณะข้ามถนน ทุกๆ วันของการทำงาน ฉันมองทางม้าลายที่เราสองคนเคยเดินสวนกัน คิดถึงวันเวลาเก่าๆ ที่เราเคยมีร่วมกัน คิดถึงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงของดวงดาวในคืนที่เขาขอฉันแต่งงาน สามปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยติดต่อฉันมาเลยสักครั้ง เขาคนนั้น...ได้แต่ปล่อยให้ฉันเฝ้ารอ รอ และรอ ฉันเพิ่งมารู้ตัวเอาเดี๋ยวนี้ ว่าเผลอตัว และเผลอใจ ... รอ ... เขาไปเสียแล้ว
    วันเวลาที่ผ่านไป พร้อมกับปราศจากสัญญาณใดๆ ที่ส่งมา ไม่มีแม้แต่ข้อความหวานๆ จากจดหมาย หรือเสียงนุ่มๆ ทางโทรศัพท์ จนถึงวันนี้ เป็นวันเกิดของฉันอีกครั้ง ฉันรอด้วยความหวัง...หวังว่าเขาจะกลับมา มายืนข้างๆ ฉัน คอยรับฉันไว้เวลาฉันพลาดพลั้งหกล้ม หรือคนที่คอยเตือน ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของฉัน...ฉันมองนาฬิกาหมุนผ่านไป แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นาฬิกาตีบอกเวลา ส่งสัญญาณว่าหมดวัน วันที่ 14 กุมภาพันธ์ผ่านไปแล้ว เขาจากฉันไปเสียแล้ว เขาคนนั้นที่ฉันรอ ไม่กลับมาทวงคำตอบที่ฉันเตรียมไว้ให้เขา ฉันทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าอยู่คนเดียว และเริ่มต้นร้องไห้ เสียงนาฬิกาขยับเดิน ผ่านไป ผ่านไป ทุกวินาที...ฉันแว่วเสียงอะไรบางอย่าง ... ฉันเริ่มเงี่ยหูฟังอีกครั้ง เสียงโทรศัพท์นี่นา ฉันได้แต่บ่นโมโหอยู่ในใจ ใครกันนะ โทรมาดึกดื่นป่านนี้ บ้าหรือเปล่า ฉันเอื้อมมือออกไป เตรียมที่จะยกหูออก แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า ใครอาจจะมีธุระด่วนก็ได้
    “สวัสดีค่ะ” แล้วตัวฉันก็เย็นวาบ เพราะเสียงคุ้นหูแว่วมาตามสาย เสียงนุ่มๆ ที่ฉันจำได้ไม่เคยลืม เสียงที่ฉันไม่ได้ยินมาสามปีเต็มๆ
    “สวัสดีน้องปลา นี่พี่วิรุฬห์นะครับ พี่เพิ่งลงจากเครื่องมาเมื่อกี้นี้เอง พี่โทรมาขอคำตอบ”
    ------------------ จบ --------------------

    อันนี้เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกที่แต่งค่ะ ลองอ่านดูนะคะ

    จากคุณ : ^^น้องฟ้า^^ - [ 7 พ.ค. 47 21:39:30 ]