CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown



    Diabolic Temptation : ตอนที่ 12

    โทรทัศน์ขนาด 20 นิ้วถูกเปิดใช้งานเพื่อความบันเทิงตามหน้าที่ รายการที่ออกอากาศอยู่คือซีรี่ย์ตลกเรื่องยาวซึ่งติดอันดับสูงจากความนิยมของคนอเมริกัน เสียงหัวเราะและปรบมือกราวเกรียวจากลำโพงดังเป็นระยะปะปนกับเสียงจากการปรุงอาหารในครัว กลิ่นหอมกรุ่นยั่วน้ำลายโชยชายไปทั่วอพาร์ตเม้นต์

    “แกอยากกินอะไรก็บอกมา เดี๋ยวฉันจะทำให้” ตมิษาตะโกนถามจากครัวที่เป็นส่วนตัวด้วยการกั้นของตู้และเคาน์เตอร์ไม้สีอ่อน

    เมื่อไม่ได้รับคำตอบจึงยื่นหน้าออกมาหาสาเหตุ พบว่าโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้นั้นไม่สามารถให้ความบันเทิงแก่ใครได้ เพราะเก้าอี้นวมบุผ้าเดนิมสีน้ำเงินเก๋แบบ Bed sofa หน้าโทรทัศน์มีเพียงความว่างเปล่า ถอนใจให้ความเงียบงันแล้วเดินไปเคาะประตูไม้สีเข้มอีกด้านหนึ่งของห้อง

    “ซอ ซอ แกเป็นอะไรรึเปล่า” ไร้เสียงขานรับ หญิงสาวร่างระหงจึงเคาะประตูแรงกว่าเดิมพร้อมตะโกนเสียงดังกว่าเก่าอย่างเป็นห่วง “ซอ แกหลับอยู่รึเปล่า ฉันถามว่าแกจะกินอะไรดี ถ้าตื่นอยู่ก็ออกมาสิ จะกินข้าวเย็นแล้วนะ”

    คนในห้องคงจะนึกรู้ว่าถ้าหากไม่มาเปิดประตูให้อีกฝ่ายเห็นหน้าคืนนี้ห้องของตนคงไม่มีประตูให้ปิด จึงลุกไปเปิดให้เพื่อนก้าวเข้ามาแล้วถอยกลับไปนอนบนเตียงเหมือนเดิม

    “ทำไมแกถึงไม่เปิดไฟ ม่านก็ปิดหมด มืดจะตายชัก อยู่ได้ไงวะเนี่ย” พูดไปก็เดินไปรูดม่านเนื้อหนาหนักสีครีมเพื่อให้แสงสว่างลำแสงสุดท้ายแทรกตัวผ่านเข้ามาในห้องได้

    ร่างที่นอนอยู่บนเตียงคู่พลิกตัวหันหลังให้หน้าต่างที่เพื่อนสาวรูดม่านเปิด เธอได้เห็นร่องรอยของคราบน้ำต้องแสงแดดบนใบหน้าของพินธิตราก่อนเจ้าตัวจะกดใบหน้าลงกับหมอน เตียงเดี่ยวขนาด 5 ฟุตข่มร่างหญิงสาวที่นอนตะแคงหันหลังให้ดูเล็กลง ยิ่งเมื่อเทียบกับห้องที่ตกแต่งอย่างสดใสด้วยสีสันต่างๆแล้วก็ยิ่งดูบอบบางจนน่าใจหาย

    ภาพที่เห็นทำให้ตมิษาพูดไม่ออกไปครู่หนึ่งแล้วทำเป็นไม่สนใจ

    “เดี๋ยวกับข้าวเสร็จแล้วแกค่อยออกไปกินก็แล้วกัน”

    เจ้าของห้องผงกศีรษะเบาๆ กับหมอนพลางตอบรับในลำคอเหมือนคนหมดแรง คนมาเรียกจึงถอยออกจากห้องอย่างแผ่วเบาที่สุด ปิดประตูเข้าที่ก็ยืนพิงพลางถอนใจอีกครั้งอย่างกังวล ก่อนจะเดินไปทำอาหารมื้อเย็นต่อตามลำพัง

    ตมิษายืนใจลอยทำอาหารได้สบายโดยไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเกิดการผิดพลาด ความชำนาญของเธอถูกฝึกมาหลายปีเกินกว่าจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้ ความเป็นห่วงเพื่อนทำให้ความรู้สึกกังวลกลายเป็นม่านหมอกอันอึดอัดปกคลุมจิตใจของตน

    นึกถึงบ่ายวันที่เพื่อนกลับมาก็ยิ่งกลุ้มใจ พินธิตรากลับมาพร้อมกับสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ดีทุกอย่าง แต่สภาพจิตใจนั้นเธอไม่แน่ใจเลย ใบหน้าประดับมุมปากหยักยกราวกับยิ้มตลอดเวลาเรียบเฉยเอ่ยทักทายด้วยคำพูดไม่กี่คำด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆตามปกตินิสัย สิ่งที่สะดุดใจเธอก็คือดวงตาที่มองสบมากับท่าทางสงบนิ่งจนผิดแปลกไปจากที่ควรจะเป็น

    ดวงสีน้ำตาลเข้มคู่โตที่เป็นประกายวาววับตลอดเวลาอย่างคนโปรดปรานการเชื้อเชิญความรื่นรมย์ให้เข้ามาเยือนในชีวิตและสนุกสนานไปกับมันหลุบต่ำลงเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง อาจเป็นเพราะต้องการปิดบังความแดงช้ำจากเพื่อนผู้ที่บางคราก็มีนิสัยช่างสังเกตเกิดขึ้นมากะทันหัน ด้วยเหตุผลที่มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร

    น้อยยิ่งกว่าน้อยที่พินธิตราจะร้องไห้ เรื่องที่จะให้ใครเห็นยามเจ้าตัวเสียใจนั้นไม่มีทาง…

    พอถามถึงการไปเที่ยวอิตาลีคนเดียวก็ได้คำตอบเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไปที่มักจะเก็บความประทับใจในสิ่งที่ตนเองตื่นตาตื่นใจมาเล่าเป็นฉากๆจนกระทั่งเธอยอมแพ้เอง ไม่ว่าจะลองเลียบเคียงถามถึงสักกี่หนถึงความล่าช้าในการเดินทางกลับหรือการหายเงียบไปเป็นเดือน คำตอบก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอาการอันน่าประหลาดใจแม้แต่น้อย

    คนที่ทำให้เพื่อนเป็นห่วงลุกขึ้นนั่งหลังจากประตูถูกปิดลงอีกครั้ง มองไปยังสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างภายนอกและภายในห้องพลางถอนใจ นึกขอบคุณในความอดทนอันน้อยนิดของตมิษาที่ยอมรับและคอยสังเกตอยู่อย่างเงียบๆ มีเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมรอจนกว่าอีกฝ่ายจะพร้อมแบบนี้

    ภาพถ่ายภูมิทัศน์ฝีมือตนเองที่ปักหมุดติดอยู่บนบอร์ดข้างโต๊ะเขียนหนังสือกระทบสายตาเมื่อกวาดผ่าน จิตกระหวัดไปหาผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่แสนงดงาม โอบอ้อมอารี และเพียบพร้อมไปด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยนที่มีต่อผู้ที่อยู่รอบกายทันที

    ภายหลังจากเสร็จสิ้นพิธีศพของผู้เป็นน้า อเล็กไซน์ก็สั่งให้คนมาส่งเธอถึงหน้าที่พักตามที่เคยสัญญาไว้ แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 2 อาทิตย์หากภาพที่ประทับลงในสมองและหัวใจของพินธิตราไม่เคยเลือนหาย ร่างผอมบางในชุดกระโปรงลูกไม้สีขาวงดงามนอนในโลงไม้สีน้ำตาลเข้มบุผ้าสีขาวเช่นเดียวกับชุด เครื่องประดับงดงามมากมายที่มีถูกเลือกใช้เพียงไข่มุก แม้ดวงหน้าหวานอ่อนโยนที่เคยสดชื่นด้วยรอยยิ้มที่ติดริมฝีปากได้รับการดูแลอย่างดีราวกับจะเตรียมตัวไปออกงานราตรีสโมสรทว่าความมีชีวิตชีวากลับหมดสิ้น เหลือทิ้งไว้เพียงดวงตาปิดสนิทและสีหน้าสงบนิ่งที่จะไม่มีวันแย้มยิ้มอีกต่อไป

    กุหลาบไม่ว่าจะงามปานใด...ก็ย่อมมีวันโรยรา

    จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินมาจากไหน หากมันก็ทำให้ความรู้สึกตื้นตันและก้อนแข็งๆในลำคอหวนกลับมาอีก การจากไปของจัสมินเป็นเรื่องเศร้าเสียใจเกินกว่าเธอจะทนเพิกเฉยได้ หญิงวัยกลางคนแสนดีผู้นั้นสมควรยิ่งที่จะมีชีวิตอยู่เมื่อเทียบกับใครอีกหลายร้อยพันคนบนโลกใบนี้ กระทั่งตัวเธอซึ่งไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขยังได้รับการดูแลทั้งร่างกายและจิตใจเป็นอย่างดี เป็นโอกาสที่คนบางคนไม่เคยได้รับจากผู้ร่วมสายโลหิตเดียวกันแม้สักครั้งในชีวิต

    คนเป็นญาติสนิทคงรู้สึกโศกเศร้ามากกว่าหลายเท่า การสูญเสียผู้หญิงอันเป็นที่รักของครอบครัวไปจะเจ็บปวดสักเพียงใดเธอไม่อยากคิดต่อ เวลาเกือบ 2 เดือนที่ได้ใช้เวลาร่วมกับคนเหล่านั้นเธอได้พบว่าผู้หญิงที่เป็นน้องเมียที่น่ารักและน้าสาวที่ทั้งรักทั้งห่วงหลานยิ่งกว่าตัวเองเปรียบเสมือนศูนย์กลางแห่งจิตใจของชายที่ยืนเหนือผู้อื่นทั้งสามคน

    จัสมินคือความอ่อนหวาน ความรัก ความห่วงใยเพียงหนึ่งเดียวของครอบครัวนั้น ขาดศูนย์รวมยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างหล่อนไปพวกเขาจะเป็นอย่างไรกัน

    อาการของชายหนุ่มสองคนที่เฝ้ารอเวลาแห่งการจากไปของจัสมินในห้องเดียวกับเธอคืนนั้นไม่ต่างอะไรกับนักโทษรอการประหาร ยกเว้นแต่ความสงบนิ่งของการยอมรับและกดเก็บความรู้สึกไว้กับตัวเอง นิโคไลจับจองหน้าต่างในห้องนั่งเล่นด้วยการยืนมองออกไปยังทุ่งดอกไม้ภายนอกอย่างมั่นคง ท่ายืนตัวตรงกับแขนที่ไขว้หลังไว้อาจหลอกตาได้หากไม่เห็นกำปั้นที่กำแน่นและเงาสะท้อนจากกระจกที่ผู้เป็นเจ้าของหลุบตาซ่อนความร้าวรานไว้ภายใน เช่นเดียวกับอเล็กไซน์ผู้นั่งปล่อยตัวตามสบายเคียงข้างกายเธอ ดวงตาสีเข้มจ้องแจกันดอกไม้ราวกับตกอยู่ในภวังค์ที่ไม่อาจแตะต้อง ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบไร้ซึ่งสรรพสำเนียงใดๆจนกระทั่งเธอกดอารมณ์ไว้ไม่ไหว ต้องยอมปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาต่อหน้าคนอื่นอย่างไม่มีทางห้ามและไม่อายสายตาใคร

    สะบัดศีรษะไล่ความคิดออกจากสมอง เตือนตัวเองหนักแน่นไม่ให้คิดถึงผู้ที่ไม่มีทางจะได้พบเจอหรือเกี่ยวข้องกันอีก หาไม่จะเป็นการหาเหาใส่หัว เพิ่มความทุกข์ที่ไร้ประโยชน์ใส่ตัวให้กลุ้มใจ

    ลุกขึ้นเดินออกจากห้องเข้าห้องน้ำล้างหน้าราวกับคนไม่เจอน้ำมานานปี หญิงสาวพยายามกำจัดความเศร้าหมองออกไปจากจิตใจโดยไม่สนใจว่าเสื้อผ้าจะเปียกแค่ไหน สูดลมหายใจเอาอากาศที่ชื้นละอองน้ำเข้าไปเต็มปอด คว้าผ้าขนหนูมาซับน้ำที่เกาะพราวบนใบหน้า สบตากับเงาสะท้อนที่มองตอบจากในกระจกเงา ให้สัญญากับตัวเองว่าทุกสิ่งที่จัสมินมอบให้ด้วยความอ่อนโยน จริงใจ และหวังดีจะไม่มีวันลบเลือนจากใจไปตลอดชีวิต
    ก้าวออกจากห้องน้ำด้วยใบหน้าสดใส ความมีชีวิตชีวากลับสู่ดวงตาอีกครั้ง

    “ไหนดูซิ...มีอะไรกินบ้าง”

    น้ำเสียงสดใสที่ได้ยินบันดาลให้ความรู้สึกของตมิษาดีขึ้นหลายเท่า หญิงสาวร่างสูงจึงตอบคำถามตามนิสัยกวนประสาทของตนพร้อมยักคิ้วข้างเดียว

    “มีหลายอย่าง”

    พินธิตรายิ้มให้กับคำพูดติดปากของเพื่อนสาวพลางทิ้งตัวลงนั่ง ลงมือจัดการอาหารมื้อเย็นอย่างสบายใจเป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับมา



    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~



    “มีงานเลี้ยงของตระกูลอัลคอนต์ตอนสองทุ่มตรงค่ะ บอส” เลขานุการิณีสาวตอบคำถามเมื่อชายหนุ่มถามเกี่ยวกับตารางเวลาในช่วงบ่ายขณะวางแฟ้มงานไว้ตรงหน้าของนาย

    ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่บนเก้าอี้หนังบุนวมหนาตอบรับในลำคอ อเล็กไซน์ก้มหน้าอ่านเอกสารต่อไม่สนใจเสียงประตูที่ปิดเบาๆตามหลังเลขาสาว เพียงครู่เดียวประตูบานเดิมก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้บุคคลผู้มาใหม่เดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม เปิดปากรายงานทันทีโดยไม่สนใจว่าผู้เป็นนายจะให้ความสนใจหรือไม่

    “คัตตาออนถึงเชคแล้วครับ” คิ้วของคนที่ถูกเรียกว่า ‘บอส’ เลิกขึ้นจึงได้รายละเอียดเพิ่มขึ้น “มีอินเตอร์โพลติดไปด้วย มันสารภาพครับ บอส”

    คำตอบสงบนอบน้อมช่วยขจัดเมฆหมอกแห่งความสงสัยให้เจ้าของห้องเป็นอย่างดี ดวงตาสีม่วงเข้มราวอัญมณีน้ำงามนั้นทอประกายวาวด้วยความพอใจ ริมฝีปากได้รูปเหยียดยิ้มที่หาได้ยากให้กับสิ่งที่คนสนิทเรียกว่า ‘ความบันเทิง’ ของผู้เป็นนาย

    “พูดความจริงเป็นสิ่งที่ดี ” อเล็กไซน์ชวนคุยพร้อมวางมือจากงานที่กำลังทำอยู่ชั่วคราว

    “แต่บอสครับ ผมว่า..” ชายร่างใหญ่เจ้าของใบหน้าดุกระด้างมีกระแสกระวนกระวายอยู่ภายในเอ่ยปาก แต่ถูกเสียงเรียบเย็นของนายขัดขึ้นก่อนจะพูดจบ

    “เราควรให้ความสะดวกสบายแก่พวกเขา รอล์ฟ คุณคัตตาออนต้องดีใจมากถ้าพบกับความบันเทิงที่เราจัดไว้ให้” ชายหนุ่มพูดนุ่มๆด้วยน้ำเสียงราวกับผ้าลินินเนื้อดีเยี่ยม ก่อนเอ่ยถึงรสนิยมของบุคคลที่สามด้วยท่าทีเกียจคร้าน “เขาเป็นคนชอบสิ่งสวยงาม”

    รูดอลฟ์เลิกคิ้วขึ้นอย่างงงงันเล็กน้อย หากก็คอยเงียบฟังทุกคำที่ออกมาจากปากอเล็กไซน์ รู้แน่แก่ใจว่าไม่ว่าชายหนุ่มอายุน้อยกว่าตรงหน้าพูดอะไรออกมามันย่อมมีความหมายเสมอ

    “ยิ่งถ้าเป็นคนหน้าตาดีเขาก็ยิ่งชอบ ฉันได้แต่หวังว่าเขาจะชอบเซอร์ไพรซ์ ถึงจะหน้าตาดีแต่ก็ไม่รู้ว่าจะถูกรสนิยมเขารึเปล่า”

    ชายหนุ่มผู้ยืนตรงหน้าโต๊ะยิ่งขมวดคิ้วจนแทบเป็นปมให้กับสิ่งผู้เป็นนายกล่าว ด้วยรู้ว่าเจ้าของนามคัตตาออนเป็นคนทรยศผู้พร้อมจะแทงข้างหลังเพื่อประโยชน์ของตนได้ทุกเมื่อ และรสนิยมของเขานั้นพิสมัยผู้ชายเป็นที่สุด โดยเฉพาะถ้าเป็นเด็กผู้ชายจะได้รับความสนใจเพิ่มมากเป็นพิเศษ

    คิดแล้วคิ้วพาดตรงก็ยิ่งขมวดให้กับการพักร้อนมือขวาของนายหรือเพื่อนสนิทของตน โดยไม่อาจรู้ได้เลยว่าฝ่ายนั้นจะทำอย่างไรในเมืองมรดกโลกอย่างคุมลอฟที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกซีกโลกหนึ่ง


    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

    จากคุณ : Cipher & Pray - [ 12 พ.ค. 47 14:08:02 A:unknown X:202.44.136.50 ]