CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown



    สะพานมรณะ2

    สะพานมรณะภาค 2

    เรื่องราวที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ และมีคนเล่าขานต่อกันมาเรื่อย ๆ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่จังหวัดทางภาคอีสาน มีสะพาน
    อยู่แห่งหนึ่งซึ่งมีคำกล่าวขานกันมากในเรื่องของความเหี้ยน ผู้คนมากมายที่ผ่านสะพานแห่งนี้ในตอนกลางคืนมักจะพบกับความสยดสยองของ
    วิญาณที่สิงสถิตย์อยู่ที่สะพานแห่งนี้ วัยรุ่นที่ใจกล้าอยากลองของ หรือต้องการพิสูจน์ก็โดนอาถรรพ์ของสะพานนี้ไปมากต่อมาก
    เรื่องของนายแก้ว เกิดขึ้นเมื่อสองปีที่ผ่านมา แก้วเป็นนักศึกษา ชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน ด้วยความที่แก้วเรียนสาขา
    ทางด้านวิทยาศาสตร์ หลักทฤษฏีต่าง ๆ ที่สามารถพิสูจน์ได้เท่านั้นแก้ถึงจะยอมปักใจเชื่อ ถ้าเป็นเรื่องราวที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางกระบวนการ
    วิทยาศาตร์ นั่นถือว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เหตุนี้เองจึงทำให้เขาต้องเข้ามาพัวพันกับการพิสูจน์เรื่องวิญญาณ
    กลุ่มเพื่อน ๆ ของแก้วมีอยู่สี่คน เป็นผู้ชายทั้งหมด ทั้งสี่คนนี้พักอยู่หอพักเดียวกัน หลังจากเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เสร็จ ทังสี่คนก็เดินเท้าคุยกัน
    กลับหอพัก
    "พวกแกเคยได้ยินเรื่องสะพานผีสิงที่อยู่ท้ายมหาลัยเราหรือเปล่าวะ" แบงค์ เพื่อนของแก้วอีกคนหนึ่งซึ่งมีความเชื่อตรงกันข้ามกับแก้วทั้งหมด
    ในเรื่องของวิญญาณ
    "เคยได้ยินเหมือนกัน ฟังแล้วน่ากลัวมาก จริงเหรอที่ว่า มีคนโดนผีที่สะพานแห่งนี้ลากรถมอเตอร์ไซต์ที่วิ่งผ่านตอนกลางคืนจนล้มนะ" แดงพูดขึ้นทำ
    ท่าสยดสยอง คนนนี้เป็นคนที่กลัวเรื่องผีสางนางไม้มาแต่ไหนแต่ไร
    "ไร้สาระกันทั้งนั้น วิญญาณเป็นสิ่งที่คนสร้างมันขึ้นมาเอง มันเป็นแค่ความคิด หรืออาจจะเป็นเพียงแค่สะสาร และสะสารไม่สามารถเปลี่ยนเป็น
    พลังงานได้ ถึงขนาดทำให้รถล้มได้ พวกแกก็รู้" แก้วพูดขึ้นอย่างหมดความอดทน เพื่อน ๆ เงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเลี้ยวมุมถนนเข้าหอพักชาย ความ
    วุ่นวายของนักศึกษาเริ่มมากขึ้นเมื่อเวลาค่ำ
    "มีหลายคนนะที่ไปลองแล้วเจอดีนะ" มีน เพื่อนอีกคนหนึ่งพูดขึ้น มีนเป็นคนที่ชอบเรื่องท้าทายมาก อะไรที่หวาดเสียว น่ากลัว เขาผ่านมาหมด ถึงแม้แขน
    หักมาหลายครั้งแต่นั่นก็ไม่ทำให้ความคึกคะนองหายไป "เราไปทดสอบกันดีไหม มันจะเป็นจริงอย่างที่เขาพูดกันหรือเปล่า"
    "จะบ้าเหรอ เดี๋ยวก็โดนหรอก มันอันตรายนะ แถวนั้นก็เปลี่ยวเสียด้วยถ้าเกิดอะไรขึ้นไม่มีใครช่วยได้นะ" แบงค์พูด
    "ใช่ถ้าเกิดไม่เจอผี อาจจะเจอโจรก็ได้" แดงทำเสียงตลก
    "ถ้าไม่ลอง ก็ไม่รู้นะ วันนี้ กลุ่มพวกไอ้โต้ง มันก็จะไปลองของที่สะพานนั่นเหมือนกัน ฉันจะไปกับพวกมันละ ถ้าพวกนายกลัว ก็ไม่ต้องไป" มีนว่า
    "ไร้สาระจริง ๆ เอาสิ ฉันจะไปด้วย ดูซิว่า จะได้เห็นอะไร ฉันจะเอาเครื่องมือวัดชีพจรไปด้วย ถ้าเจอผีจะขอตรวจดูว่า หัวใจมันเต้นเหมือนคนหรือเปล่า" แก้วพูดขึ้นอย่างรำคาญ
    ทำให้แดงและแบงค์ทำหน้าตาไม่พอใจที่เพื่อนพูดลบหลู่เรื่องที่พวกเขาเชื่อกัน
    ในที่สุด เพื่อในกลุ่มทุกคนก็ตกลงจะไปทดสอบเรื่อง ผี ๆ กันที่สะพานท้ายมหาวิทยาลัยกันคืนนี้ โดยที่มีกลุ่มของเพื่อนในห้องเรียนอีกกลุ่มหนี่งไปด้วย โดยที่นัดกันที่สะพาน
    เวลาสามทุ่มตรง
    เวลาเกือบสามทุ่มครึ่งแล้ว กว่าที่กลุ่มของแก้วจะมาถึงที่สะพาน เนื้องจากทั้งกลุ่มไม่มีรถมอเตอร์ไซต์หรือจักรยาน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเดินเท้าลัดมาที่สะพานซึ่งระยะทาง
    ประมาณหนึ่งกิโลเมตรเห็นจะได้
    พวกเขามาถึงสะพานผีสิงที่มืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากกระบอกไฟฉายเท่านั้นที่ทำให้มองเห็นอะไรได้บ้าง เสียงแมลงกลางคืนร้องกันระงมมาจากป่าละเมาะที่ล้อมรอบ
    สะพานแห่งนี้แต่ก่อนเคยทอดข้ามลำธารที่มีน้ำมากมาย แต่ตอนนี้น้ำแห้งสนิทผืนดินแตกระแหงด้วยความร้อนในฤดูนี้ ทุกคนดูไม่มีท่าทางตื่นกลัวอะไรมากนัก ยกเว้นแดงที่มีอาการ
    ตื่นกลัว มองไปมาทุกทาง
    พวกเขายืนอยู่ที่ปลายสะพานอีกด้านหนึ่ง สะพานเก่าแก่แห่งนี้ยาวประมาณยี่สิบเมตร ทุกคนกำลังมองหาเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งที่บอกว่าจะเดินทางมาทดสอบเรื่องวิญญาณ
    ที่นี่เหมือนกัน แต่ไร้ร่องรอยใด ๆ ทั้งสิ้น
    "พวกมันคงปอดแหก ดีแต่คุย กลุ่มไอ้โจ้คงไม่มาแล้ว" มีนพูดเสียงดัง
    "เอาไงต่อ" แดงพูดเสียงอ่อย
    "เดินข้ามไปฝั่งโน้น" แก้วว่าพรางฉาดแสงไฟไปปลายสุดของสะพาน
    ทุกคนเดินไปถึงปลายสะพานอีกด้าน โดยที่ไม่มีเหตุการณ์แปลกประหลาดอะไรเกิดขึ้น ไม่มีวีแววสิ่งผิดปกติด้วยซ้ำ
    "ไปนั่งตรงนั้น" แก้วชี้มือไปที่โคนต้นมะค่าใหญ่ข้างถนน ที่นั่นมีขวดเหล้าแตกกระจายเต็มพื้น มีเก้าอี้ไม้โย่เย่อยู่ตัวหนึ่ง ทุกคนเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง และนั่งรอคอยต่อไป
    โดยที่ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่รอคอยนั้นคืออะไร แก้วคิดในใจว่านี่งี่เง่าที่สุด พวกเขารอคอยวิญญาณให้มาปรากฏตัว มีนรอคอยการตอบสนองความคึกคนอง ส่วน แดงและแบงค์นั้นไม่ต้องการ
    จะเจอสิ่งใดเลยในตอนนี้
    พวกเขานั่งเงียบใต้ต้นมะค่าใหญ่อยู่เกือบชั่วโมงโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แก้วทนไม่ไหวโพล่งขึ้นมาจนเพื่อนสะดุ้ง
    "โอ๊ย น่าเบื้อ ไร้สาระ กลับเถอะ เรื่องผีที่พวกแกได้ยินมาล้วนแหกตาทั้งนั้น" แก้วอารมณ์เสีย แต่เพื่อน ๆ ทุกคนไม่โต้เถียงอะไร แล้วทุกคนก็ลุกขึ้นเพื่อจะเดินกลับ
    ทันใดนั้นแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซต์ก็ส่องสว่างมาตามถนน ถนนสายนี้ตัดไปสู่บ้านหนองนาคำ ท้ายมหาวิทยาลัย ชาวบ้านส่วนมากจะไม่ค่อยใช้ทางนี้สักเท่าไหร่นักในการ
    เข้ามายังตัวเมือง เพราะมีอีกทางที่ใกล้กว่า และก็ไม่เปลี่ยวอย่างนี้ด้วย
    เมื่อแสงไฟจากรถนั่นมาถึง ทุกคนก็เห็นว่าเป็นรถมอเตอร์ไซต์ที่ถูกดัดแปลงติดกระบะด้านข้างเพื่อใช้ในการขายของ และรถคันนั้นขายน้ำเต้าหู้ รถคันนั้นมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งขับมา และ
    เมื่อเห็นพวกเขาก็แปลกใจ เขาจึงชะลอและผ่อนรถ
    "มาทำอะไรกัน พ่อหนุ่ม" ชายคนนั้นถามอย่างสงสัย
    "อ๋อ เรามาดู...." มีนพูดติดขัด กลัวชายคนนั้นหาว่าพวกเขาไร้สาระ
    "เข้าใจแล้ว" ชายวัยกลางคนพูดขึ้นขัด "ไม่รู้ทำไมถึงอยากเจอผีนักนะ ตลกจัง" ชายคนนั้นหัวเราะ
    "แล้วลุงจะไปขายที่ไหน" แก้วถาม
    "ไปขายในเมือง ตอนเช้านะ กลัวไม่มีที่เลยต้องรีบไป" ชายคนนั้นตอบ
    จากนั้นชายคนนั้นก็จากไป โดยที่แก้วได้ซื้อน้ำเต้าหูจากลุงสามถุงเพื่อไปกินแก้เซ็ง
    ความมืดมิดและเงียบกริบเข้าครอบงำอีกครั้ง แมลงกลางคืนทุกตัวเหมือนจะนอนหลับไหลไปแล้ว ทุกคนเดินมาได้ถึงกลางสะพาน เสียงรถมอเตอร์ไซต์ก็ดังขึ้นแหวกความ
    มืดและความเงียบ ทุกคนส่องไฟฉายกลับไปถนนด้านหลังทันที รถอมอเตอร์ไซต์สามคัน กำลังวิ่งตรงมาที่พวกเขา และจอดทันทีเมื่อมาถึง
    รถทั้งสามคันไม่มีไฟหน้า ชายวัยกลางคนสามคนกำลังจ้องมาที่พวกเขาและถามด้วยเสียงดุดัน
    "จะไปไหน" ชายคนหน้าถามขึ้น
    "จะกลับมหาวิทยาลัยครับ" แก้วพูดขึ้น
    "อ๋อเรียนที่นี่หรือ ติดรถเราไปได้ นี่ค่ำมืดมากแล้ว" ชายคนที่สองพูดขึ้น
    นี่ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีมากสำหรับทั้งสี่คน พวกเขาไม่ต้องเดินให้เหนื่อย ระยะทางหนึ่งกโลเมตรข้างหน้าทำเอาเหนื่อยทีเดียว ทุกคนขอบคุณชายในความมืด
    ทั้งสามคนนั้นทันที ก่อนจะก้าวขึ้นซ้อน มีนกับแดงนั่งซ้อนคันแรก แบงค์นั่งกับคนที่สอง และแก้วนั่งกับคนที่สาม ซึ่งคนขับนั้นเหมือนจะเป็นใบเพราะไม่พูดจาอะไรเลย
    ทั้งสองคันขับออกไปในความมืด มีนจึงใช้ไฟฉายส่องเป็นทางไปให้ คันที่สองตามไปอย่างรวดเร็ว ส่วนคันที่แก้วขี่นั้นเครื่องยนต์ดับ และคนขับก็เริ่มสตาร์ทเครื่องใหม่
    ในที่สุดก็ออกไปได้ แต่สองคันแรกนำไปไกลเสียแล้ว แก้วพยายามจะชวนคนขับมอเตอร์ไซต์พูด แต่ก็รู้ว่าไม่ควรทำเพราะเขาไม่มีท่าทางว่าอยากจะคุยกับแก้วเลย ทั้งสองขับผ่านป่า
    ละเมาะสุดท้ายก่อนถึงมหาลัยด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงรถมอเตอร์ไซต์ดังแหวกอากาศเท่านั้น แต่ด้วยความกระทันหัน รถมอเตอร์ไซต์ก็จอดอย่างรวดเร็วจนแก้วกระแทกกับคนขับอย่างแรง
    ด้วยความตกใจแก้วถามอย่างรวดเร็ว
    "มีอะไรหรือครับ เบรคทำไม" แก้วถามอย่างร้อนรน พร้อมมองหาว่ามีสัตว์หรืออะไรที่วิ่งตัดหน้ารถ แต่คนขับก็ยังปิดปากเงียบ ทั้งยังไม่ออกรถ ในที่สุดคนขับก็พูดออกมาได้
    แต่เป็นคำพูดที่ทำให้แก้วขนลุกซู่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่อาการขนลุกสามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์เนื่องจากอารมณ์ และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปของร่างกาย
    "แกเคยตายไหม!" ชายคนขับพูดขึ้นอย่างดุดันและหนักแน่น
    "อะไรนะครับ" แก้วถามอย่างไม่แน่ใจในสิ่ง ที่ได้ยินแต่หัวใจเขาเริ่มเต้นแรง
    "ข้าถามว่า แกอยากตายหรือไง " เสียงดุดันดังขึ้นอีกครั้ง แก้วเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ เขาพูดอะไรไม่ออก หัวใจเต้นแรง มือสั่นสะท้านไปหมด ก่อนที่คนขับจะพูดต่อไป
    "ถ้าแกไม่อยากตาย เอาน้ำเต้าหูออกจากหลังกูเดี๋ยวนี้ กูร้อน"
    ****

    จากคุณ : ไอ้่ทิด - [ 19 พ.ค. 47 15:20:03 A:10.4.9.65 X:202.44.14.194 ]